‘กรรมการสิทธิฯ’ ชี้ ร้านสะดวกซื้อเอาเปรียบพนักงาน ไม่ทำตามกฎหมายแรงงาน
https://ch3plus.com/news/social/ch3onlinenews/401432
กสม.ตรวจสอบกรณีร้านสะดวกซื้อเอาเปรียบพนักงาน ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับให้เป็นไปตามกฎหมาย
นางสาว
สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ระบุว่า ร้านสะดวกซื้อสาขาหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา (ผู้ถูกร้อง) เอาเปรียบผู้ร้องและพนักงานรายอื่นๆ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น อนุญาตให้พักกลางวันน้อยกว่า 1 ชั่วโมง หักหรือปรับเงินในกรณีที่พนักงานมาสายหรือสินค้าสูญหาย และมีกรณีที่พนักงานรายหนึ่งซึ่งถูกหักเงินเข้าประกันสังคมมาโดยตลอด ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รับรองเสรีภาพของบุคคลในการประกอบอาชีพ และรัฐมีหน้าที่คุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงาน ได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 รับรองสิทธิของแรงงานในการได้รับค่าจ้างในอัตราเท่ากัน สำหรับการทำงานที่มีลักษณะ คุณภาพและปริมาณเท่ากัน หรืองานที่มีค่าเท่าเทียมกัน สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) นโยบายขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)
จากการตรวจสอบเห็นว่า เรื่องดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 3 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก กรณีการลงโทษพนักงานโดยผู้ประกอบการไม่ได้จัดทำและเผยแพร่ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในส่วนของวินัยและโทษทางวินัย เห็นว่า ร้านสะดวกซื้อฯ มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแต่ใช้วิธีแจ้งหรือบอกกล่าวพนักงานให้ทราบด้วยวาจา ประกอบกับได้ลงโทษพนักงานที่ฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าวโดยไม่ได้กำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นไว้ ได้แก่ การหักเงินพนักงานที่เข้าทำงานสาย การหักเงินกรณีมีสินค้าสูญหาย อีกทั้งไม่ได้มอบสลิปค่าจ้างซึ่งแสดงเงินรายรับและรายการหักให้พนักงานได้รับทราบ เพียงแต่ให้พนักงานตรวจสอบวัน/เวลาทำงาน ค่าจ้าง และเงินพิเศษอื่นๆ ก่อนการจ่ายค่าจ้างแต่ละเดือน เป็นเหตุให้พนักงานไม่มีโอกาสตรวจทานรายรับและรายการหักเงินของตนเองอย่างรอบคอบ จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกระทบต่อสิทธิแรงงานของพนักงาน จึงเป็นการกระทำและละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ การที่ร้านสะดวกซื้อฯ ปรับสถานะพนักงานรายเดือนเป็นพนักงานรายวันด้วยเหตุแห่งการลา โดยไม่ได้กำหนดโทษของการลาที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และโทษของการขาดงานติดต่อกันไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน รวมทั้งไม่ได้ปิดประกาศเผยแพร่ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้พนักงานทราบ ส่งผลให้พนักงานไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุดและไม่ได้รับสิทธิลาโดยได้รับค่าจ้าง จึงกระทบต่อสิทธิและความมั่นคงในการทำงานของลูกจ้าง อันเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง กรณีผู้ถูกร้องไม่นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้แก่พนักงาน จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ถูกร้องได้นำส่งเงินสมทบย้อนหลังทันทีที่ทราบว่ายังมิได้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฯ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องมิได้เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของพนักงาน
ประเด็นที่สาม กรณีการให้พนักงานพักระหว่างการทำงานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง เห็นว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทำงานไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักครั้งหนึ่งน้อยกว่า 1 ชั่วโมงได้ แต่เมื่อรวมกันแล้ววันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อพิจารณาลักษณะการประกอบกิจการของผู้ถูกร้อง ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
มีการแบ่งเวลาการทำงานเป็น 3 กะ ร้านได้แบ่งเวลาพักให้แก่พนักงาน 1 ชั่วโมงต่อรอบการทำงาน เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ได้ตกลงกันแล้วว่าอาจเรียกพนักงานที่อยู่ระหว่างการพักไปให้บริการลูกค้าก่อนแล้วจึงกลับไปพักต่อ ซึ่งเป็นการบริหารงานภายในร้านเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก กรณีดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี กสม. มีข้อสังเกตว่า แม้บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกซื้อฯ จะไม่ได้มีสถานะที่ถือเป็นนายจ้างและไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาร้านสะดวกซื้อสาขาดังกล่าว แต่มีการทำธุรกิจร่วมกันในลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า โดยคัดเลือกผู้ลงทุนภายนอกเพื่อดำเนินกิจการร้านสะดวกซื้อตามกระบวนการของบริษัท วางระบบการบริหารจัดการร้านและดูแลลูกค้า กำกับดูแล รวมทั้งส่งต่อนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทให้ร้านสะดวกซื้อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริษัทเจ้าของแบรนด์จึงสามารถยกเลิกสัญญาได้ หากพบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 จึงมีข้อเสนอแนะไปยังร้านสะดวกซื้อฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(1) ให้ร้านสะดวกซื้อฯ (ผู้ถูกร้อง) จัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้ชัดเจนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะวินัยและโทษทางวินัย เผยแพร่และปิดประกาศไว้ ณ สถานที่ทำงานของพนักงานโดยเปิดเผย โดยอาจแจ้งผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ลูกจ้างได้ทราบและเข้าถึงได้โดยสะดวก และให้ดำเนินการตรวจสอบการหักเงินพิเศษกับพนักงานที่มาทำงานสายและทำสินค้าในร้านสูญหาย และชดใช้เงินคืนให้แก่พนักงานดังกล่าว เพื่อชดเชยเยียวยาให้แก่พนักงานที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการลงโทษทางวินัยโดยที่ยังไม่เคยรับทราบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้ ให้เพิ่มการสื่อสารกับพนักงานเกี่ยวกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ กฎระเบียบ บทลงโทษในการทำงาน และรับฟังข้อคิดเห็นจากพนักงานตามความเหมาะสม เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน หากพนักงานกระทำผิดกฎระเบียบให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหลักธรรมาภิบาลก่อนใช้มาตรการลงโทษ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความเป็นธรรมและสภาพการทำงานที่น่าพึงพอใจตามหลักสิทธิมนุษยชน
(2) ให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดฉะเชิงเทรา ตรวจสอบร้านสะดวกซื้อฯ ตามหน้าที่และอำนาจ หากพบการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจโดยออกคำสั่งให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง และให้คำแนะนำเรื่องการจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้สอดคล้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองแรงงานแก่นายจ้างและลูกจ้างของร้านสะดวกซื้อขณะตรวจสอบสถานประกอบกิจการต่างๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง เช่น การลา การพักระหว่างการทำงาน เป็นต้น
(3) ให้บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกซื้อ กำหนดเรื่องสิทธิแรงงานและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นหนึ่งในหัวข้อรายการตรวจสอบที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงด้านแรงงานและธรรมาภิบาลในร้านสะดวกซื้อที่เกี่ยวข้องทุกสาขา และพัฒนาการเข้าถึงช่องทางการแจ้งเรื่องร้องเรียนให้พนักงานร้านสะดวกซื้อของผู้ลงทุนภายนอก สามารถร้องเรียนต่อบริษัทได้โดยตรง โดยรับประกันว่าการร้องเรียนจะไม่กระทบต่อการทำงานของพนักงาน และประกาศนโยบายดังกล่าวให้พนักงานทราบโดยทั่วกัน
https://www.facebook.com/nhrct/posts/771360825184315
ลอตเตอรี่พลัส กลับมาขายได้แล้ว ซื้อผ่านแอพ-แอดไลน์นกพลัส เข้าระบบ 200,000 ใบ
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8251757
ลอตเตอรี่พลัส กลับมาขายได้แล้ว ซื้อผ่านแอพ-แอดไลน์นกพลัส เข้าระบบ 200,000 ใบ หลังศาลมีคำสั่งยกเลิกปิดกั้น แต่หน้าเว็บยังไม่กลับมาเป็นปกติ
วันที่ 25 พ.ค.67 เพจ
นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ โพสต์ข้อความในเพจระบุว่า
ด่วน!! ศาลมีคำสั่งยกเลิกปิดกั้น!! ลอตเตอรี่พลัสกลับมาขายได้แล้ว แต่ในขณะนี้หน้าเว็บยังไม่กลับมาเป็นปกติเนื่องจาก ต้องรอกระทรวง DE สั่งยกเลิกการปิดกั้นเว็บไซต์ตามคำสั่งศาลเสียก่อน
แต่ลอตเตอรี่เข้าระบบตอนนี้ 200,000 ใบ ในช่วงนี้ลูกค้า iPhone สามารถซื้อในไลน์ แอดไลน์นกพลัส ID Line: @lotteryplus หรือกดลิงก์นี้ https://lin.ee/ky6Ycoj ลูกค้าสามารถคลิกซื้อลอตเตอรี่ในไลน์ได้เลยครับ (รูปภาพ ปุ่ม ในคอมเมนต์)
สำหรับลูกค้าที่ใช้ android สามารถซื้อในแอพนกพลัส ได้ตามปกติ #ซื้อลอตเตอรี่พลัสโหลดนกพลัส #ลอตเตอรี่พลัส #ลอตเตอรี่ออนไลน์ #นกพลัส
https://www.facebook.com/notlotteryplus/posts/pfbid02DKhsRFVBSXJcCUvXbPcuhTXjmkbS4e3ZGX4DHYAWEZs4pLhpRyPdNrAoRoCRunQvl
เอกชน ชี้ คดี 40 ส.ว.ยื่นสอบ ‘เศรษฐา’ สะเทือนเชื่อมั่น วอน อย่าเล่นเกมการเมืองมากเกินไป
https://www.matichon.co.th/economy/news_4595237
เอกชน ชี้คดี “เศรษฐา” สะเทือนเชื่อมั่น วอนอย่าเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม นาย
อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ตัวแทนภาคเอกชน แสดงความเห็นส่วนตัวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับคำร้องของกลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 กรณีนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนาย
พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ว่า กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศแค่ระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้าจากทุกทาง รวมทั้งจากการหมักหมมของปัญหาต่างๆ มายาวนาน
นาย
อิศเรศกล่าวว่า อยากขอร้องนักการเมืองว่าอย่าเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป อยากเห็นพรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาคัดเลือกคนดี คนเก่ง ให้ได้รับการแต่งตั้ง มากกว่าที่จะแบ่งกระทรวงกันตามโควต้าทางการเมือง หรือแต่งตั้งคนที่อาจจะเป็นปัญหาในการบริหารงานเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ เพื่อให้ผู้เหมาะสมใช้ความรู้ความสามารถบริหารงาน ผลักดัน.นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ขับเคลื่อนเชิงรุกกับข้าราชการในกระทรวงได้ รวมทั้งประสานกับทุกภาคส่วน เช่น ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคสังคมอย่างใกล้ชิด ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ปราศจากการทุจริต คอร์รัปชั่น
“
หวังว่าทุกภาคส่วนจะสร้างความสมดุลของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการให้ลงตัว ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ไม่ถูกแทรกแซงจากองค์กรอิสระใดๆ นาทีนี้เราไม่ควรเล่นการเมืองใดๆ จนเกินงาม จะเป็นการทำร้ายประเทศในช่วงที่เราเจอวิกฤตเศรษฐกิจมากพออยู่แล้ว” นาย
อิศเรศทิ้งท้าย
JJNY : ชี้ร้านสะดวกซื้อเอาเปรียบพนง.│ลอตเตอรี่พลัสกลับมาขายได้แล้ว│เอกชนชี้คดี 40 ส.ว.│ฮังการีเตือนความเสี่ยงนิวเคลียร์
https://ch3plus.com/news/social/ch3onlinenews/401432
นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ระบุว่า ร้านสะดวกซื้อสาขาหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา (ผู้ถูกร้อง) เอาเปรียบผู้ร้องและพนักงานรายอื่นๆ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น อนุญาตให้พักกลางวันน้อยกว่า 1 ชั่วโมง หักหรือปรับเงินในกรณีที่พนักงานมาสายหรือสินค้าสูญหาย และมีกรณีที่พนักงานรายหนึ่งซึ่งถูกหักเงินเข้าประกันสังคมมาโดยตลอด ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รับรองเสรีภาพของบุคคลในการประกอบอาชีพ และรัฐมีหน้าที่คุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงาน ได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 รับรองสิทธิของแรงงานในการได้รับค่าจ้างในอัตราเท่ากัน สำหรับการทำงานที่มีลักษณะ คุณภาพและปริมาณเท่ากัน หรืองานที่มีค่าเท่าเทียมกัน สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) นโยบายขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)
จากการตรวจสอบเห็นว่า เรื่องดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 3 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก กรณีการลงโทษพนักงานโดยผู้ประกอบการไม่ได้จัดทำและเผยแพร่ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในส่วนของวินัยและโทษทางวินัย เห็นว่า ร้านสะดวกซื้อฯ มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแต่ใช้วิธีแจ้งหรือบอกกล่าวพนักงานให้ทราบด้วยวาจา ประกอบกับได้ลงโทษพนักงานที่ฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าวโดยไม่ได้กำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นไว้ ได้แก่ การหักเงินพนักงานที่เข้าทำงานสาย การหักเงินกรณีมีสินค้าสูญหาย อีกทั้งไม่ได้มอบสลิปค่าจ้างซึ่งแสดงเงินรายรับและรายการหักให้พนักงานได้รับทราบ เพียงแต่ให้พนักงานตรวจสอบวัน/เวลาทำงาน ค่าจ้าง และเงินพิเศษอื่นๆ ก่อนการจ่ายค่าจ้างแต่ละเดือน เป็นเหตุให้พนักงานไม่มีโอกาสตรวจทานรายรับและรายการหักเงินของตนเองอย่างรอบคอบ จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกระทบต่อสิทธิแรงงานของพนักงาน จึงเป็นการกระทำและละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ การที่ร้านสะดวกซื้อฯ ปรับสถานะพนักงานรายเดือนเป็นพนักงานรายวันด้วยเหตุแห่งการลา โดยไม่ได้กำหนดโทษของการลาที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และโทษของการขาดงานติดต่อกันไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน รวมทั้งไม่ได้ปิดประกาศเผยแพร่ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้พนักงานทราบ ส่งผลให้พนักงานไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุดและไม่ได้รับสิทธิลาโดยได้รับค่าจ้าง จึงกระทบต่อสิทธิและความมั่นคงในการทำงานของลูกจ้าง อันเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง กรณีผู้ถูกร้องไม่นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้แก่พนักงาน จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ถูกร้องได้นำส่งเงินสมทบย้อนหลังทันทีที่ทราบว่ายังมิได้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฯ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องมิได้เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของพนักงาน
ประเด็นที่สาม กรณีการให้พนักงานพักระหว่างการทำงานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง เห็นว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทำงานไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักครั้งหนึ่งน้อยกว่า 1 ชั่วโมงได้ แต่เมื่อรวมกันแล้ววันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อพิจารณาลักษณะการประกอบกิจการของผู้ถูกร้อง ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
มีการแบ่งเวลาการทำงานเป็น 3 กะ ร้านได้แบ่งเวลาพักให้แก่พนักงาน 1 ชั่วโมงต่อรอบการทำงาน เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ได้ตกลงกันแล้วว่าอาจเรียกพนักงานที่อยู่ระหว่างการพักไปให้บริการลูกค้าก่อนแล้วจึงกลับไปพักต่อ ซึ่งเป็นการบริหารงานภายในร้านเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก กรณีดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี กสม. มีข้อสังเกตว่า แม้บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกซื้อฯ จะไม่ได้มีสถานะที่ถือเป็นนายจ้างและไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาร้านสะดวกซื้อสาขาดังกล่าว แต่มีการทำธุรกิจร่วมกันในลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า โดยคัดเลือกผู้ลงทุนภายนอกเพื่อดำเนินกิจการร้านสะดวกซื้อตามกระบวนการของบริษัท วางระบบการบริหารจัดการร้านและดูแลลูกค้า กำกับดูแล รวมทั้งส่งต่อนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทให้ร้านสะดวกซื้อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริษัทเจ้าของแบรนด์จึงสามารถยกเลิกสัญญาได้ หากพบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 จึงมีข้อเสนอแนะไปยังร้านสะดวกซื้อฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(1) ให้ร้านสะดวกซื้อฯ (ผู้ถูกร้อง) จัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้ชัดเจนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะวินัยและโทษทางวินัย เผยแพร่และปิดประกาศไว้ ณ สถานที่ทำงานของพนักงานโดยเปิดเผย โดยอาจแจ้งผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ลูกจ้างได้ทราบและเข้าถึงได้โดยสะดวก และให้ดำเนินการตรวจสอบการหักเงินพิเศษกับพนักงานที่มาทำงานสายและทำสินค้าในร้านสูญหาย และชดใช้เงินคืนให้แก่พนักงานดังกล่าว เพื่อชดเชยเยียวยาให้แก่พนักงานที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการลงโทษทางวินัยโดยที่ยังไม่เคยรับทราบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้ ให้เพิ่มการสื่อสารกับพนักงานเกี่ยวกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ กฎระเบียบ บทลงโทษในการทำงาน และรับฟังข้อคิดเห็นจากพนักงานตามความเหมาะสม เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน หากพนักงานกระทำผิดกฎระเบียบให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหลักธรรมาภิบาลก่อนใช้มาตรการลงโทษ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความเป็นธรรมและสภาพการทำงานที่น่าพึงพอใจตามหลักสิทธิมนุษยชน
(2) ให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดฉะเชิงเทรา ตรวจสอบร้านสะดวกซื้อฯ ตามหน้าที่และอำนาจ หากพบการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจโดยออกคำสั่งให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง และให้คำแนะนำเรื่องการจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้สอดคล้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองแรงงานแก่นายจ้างและลูกจ้างของร้านสะดวกซื้อขณะตรวจสอบสถานประกอบกิจการต่างๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง เช่น การลา การพักระหว่างการทำงาน เป็นต้น
(3) ให้บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกซื้อ กำหนดเรื่องสิทธิแรงงานและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นหนึ่งในหัวข้อรายการตรวจสอบที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงด้านแรงงานและธรรมาภิบาลในร้านสะดวกซื้อที่เกี่ยวข้องทุกสาขา และพัฒนาการเข้าถึงช่องทางการแจ้งเรื่องร้องเรียนให้พนักงานร้านสะดวกซื้อของผู้ลงทุนภายนอก สามารถร้องเรียนต่อบริษัทได้โดยตรง โดยรับประกันว่าการร้องเรียนจะไม่กระทบต่อการทำงานของพนักงาน และประกาศนโยบายดังกล่าวให้พนักงานทราบโดยทั่วกัน
https://www.facebook.com/nhrct/posts/771360825184315
ลอตเตอรี่พลัส กลับมาขายได้แล้ว ซื้อผ่านแอพ-แอดไลน์นกพลัส เข้าระบบ 200,000 ใบ
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8251757
ลอตเตอรี่พลัส กลับมาขายได้แล้ว ซื้อผ่านแอพ-แอดไลน์นกพลัส เข้าระบบ 200,000 ใบ หลังศาลมีคำสั่งยกเลิกปิดกั้น แต่หน้าเว็บยังไม่กลับมาเป็นปกติ
วันที่ 25 พ.ค.67 เพจ นอท พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ โพสต์ข้อความในเพจระบุว่า
ด่วน!! ศาลมีคำสั่งยกเลิกปิดกั้น!! ลอตเตอรี่พลัสกลับมาขายได้แล้ว แต่ในขณะนี้หน้าเว็บยังไม่กลับมาเป็นปกติเนื่องจาก ต้องรอกระทรวง DE สั่งยกเลิกการปิดกั้นเว็บไซต์ตามคำสั่งศาลเสียก่อน
แต่ลอตเตอรี่เข้าระบบตอนนี้ 200,000 ใบ ในช่วงนี้ลูกค้า iPhone สามารถซื้อในไลน์ แอดไลน์นกพลัส ID Line: @lotteryplus หรือกดลิงก์นี้ https://lin.ee/ky6Ycoj ลูกค้าสามารถคลิกซื้อลอตเตอรี่ในไลน์ได้เลยครับ (รูปภาพ ปุ่ม ในคอมเมนต์)
สำหรับลูกค้าที่ใช้ android สามารถซื้อในแอพนกพลัส ได้ตามปกติ #ซื้อลอตเตอรี่พลัสโหลดนกพลัส #ลอตเตอรี่พลัส #ลอตเตอรี่ออนไลน์ #นกพลัส
https://www.facebook.com/notlotteryplus/posts/pfbid02DKhsRFVBSXJcCUvXbPcuhTXjmkbS4e3ZGX4DHYAWEZs4pLhpRyPdNrAoRoCRunQvl
เอกชน ชี้ คดี 40 ส.ว.ยื่นสอบ ‘เศรษฐา’ สะเทือนเชื่อมั่น วอน อย่าเล่นเกมการเมืองมากเกินไป
https://www.matichon.co.th/economy/news_4595237
เอกชน ชี้คดี “เศรษฐา” สะเทือนเชื่อมั่น วอนอย่าเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ตัวแทนภาคเอกชน แสดงความเห็นส่วนตัวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับคำร้องของกลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ว่า กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศแค่ระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้าจากทุกทาง รวมทั้งจากการหมักหมมของปัญหาต่างๆ มายาวนาน
นายอิศเรศกล่าวว่า อยากขอร้องนักการเมืองว่าอย่าเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป อยากเห็นพรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาคัดเลือกคนดี คนเก่ง ให้ได้รับการแต่งตั้ง มากกว่าที่จะแบ่งกระทรวงกันตามโควต้าทางการเมือง หรือแต่งตั้งคนที่อาจจะเป็นปัญหาในการบริหารงานเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ เพื่อให้ผู้เหมาะสมใช้ความรู้ความสามารถบริหารงาน ผลักดัน.นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ขับเคลื่อนเชิงรุกกับข้าราชการในกระทรวงได้ รวมทั้งประสานกับทุกภาคส่วน เช่น ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคสังคมอย่างใกล้ชิด ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ปราศจากการทุจริต คอร์รัปชั่น
“หวังว่าทุกภาคส่วนจะสร้างความสมดุลของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการให้ลงตัว ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ไม่ถูกแทรกแซงจากองค์กรอิสระใดๆ นาทีนี้เราไม่ควรเล่นการเมืองใดๆ จนเกินงาม จะเป็นการทำร้ายประเทศในช่วงที่เราเจอวิกฤตเศรษฐกิจมากพออยู่แล้ว” นายอิศเรศทิ้งท้าย