ลองวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันในไทย (แบบบ้านๆ ข้อมูลเท่าที่หาได้)
1. ราคาน้ำมันสำเร็จรูป (ราคาน้ำมันดิบ + ค่าการกลั่น + อัตราแลกเปลี่ยน + อื่นๆที่ไม่รู้)
2. ภาษี
3. กองทุนน้ำมัน
4. ค่าการตลาด
ราคาน้ำมันสำเร็จรูป
ดูแล้วคงไม่ต่ำกว่า $80 หรือลงไประดับ $60 ได้ง่ายๆ ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปของเราก็คงอยู่ที่ลิตรละ 20 บาท ++
โครงสร้างราคาน้ำมัน
ภาษี
รัฐคงไม่ลดภาษาสรรพสามิตรดีเซลเพื่อเอามาชดเชยเงินกองทุนน้ำมันให้ แบบกลางปี 65-66 ได้ (จาก 5 บาทกว่า เหลือ 1.34) เนื่องจากมีเรื่องให้ใช้เยอะสำหรับดิจิตอลวอลเล็ต (เดา)
กองทุนน้ำมัน
ปัจจุบัน
ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 12 พฤษภาคม 2567 ติดลบ -110,296 ล้านบาท เงินเหลืออีก 39,976 ล้านบาท แต่เข้าใจว่าที่เอามาใช้กับน้ำมันได้น่าจะมีประมาณ 9 พัน ถึงหมื่นล้าน ต้นๆ
ค่าการตลาด
ผู้ค้าคงไม่ลดให้ง่ายๆ เพราะเห็นข่าวก็เขียนว่า ดีเซล Euro5 ก็ยังต้องเข้าเนื้ออยู่
PTG ต้นทุนบริการ-ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ฉุดกำไร Q1 เหลือ 258 ล้านบาท
...
ทีนี้ลองมาคำนวณดูว่า ด้วยนโยบายกำหนดราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท มันจะเกิดอะไรขึ้น
สถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรอบ 2 เดือนของปี 2567 (มกราคม – กุมภาพันธ์)
ตารางข้างบนคือสมมติว่า หากรัฐจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 33 บาท จะต้องใช้เงินกองทุนอุดหนุน ประมาณ 1 บาทต่อลิตร โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลยังอยู่ที่ประมาณ 22-23 บาท วันหนึ่งๆก็จะต้องใช้เงิน 60 กว่าล้าน
ส่วนเบนซิน 95E10 ปัจจุบันเก็บเงินเข้ากองทุน 3.4 บาท (E20 1.4 บาท) ผมขอคิดแบบง่ายๆว่า เราใช้แต่ 95E10 วันละ 31 ล้านลิตรก็แล้วกัน เงินเข้ากองทุนวันนึงก็จะอยู่ทีประมาณ 100 ล้านบาท (ของจริงก็น่าจะน้อยกว่านี้)
เอาเงินเบนซินหักลบดีเซลไป เราจะเหลือ 41 ล้านบาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม LPG ก็มีการสนันสนุนด้วย กิโลละ 4.1 บาท (ไม่รู้เค้าแยกสนับสนุน ครัวเรือน รถยนต์ อุตสาหกรรม รึเปล่านะ) เอาเป็นว่า ผมใช้ยอดรวม 16.67 ล้านกิโล จาก link ด้านบน มาคิดชดเชย ก็จะต้องใช้เงิน อีก 69 ล้านบาทต่อวัน (ถ้าเค้าแยก ตรงนี้อาจจะลดลงได้เยอะ)
เงินกองทุนที่เหลือต่อวันลบกับ lpg ก็จะติดลบ 27 ล้านบาทต่อวัน แปลว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ
...
หากรัฐไม่ปรับเพิ่มราคาดีเซลหรือ lpg มันก็จะเป็นการยากมากๆ ที่จะทำให้ฐานะของกองทุนดีขึ้น สมมติว่าไม่ชดเชยดีเซลและ lpg เลย
ให้เบนซินเป็นคนหาเงินคืนกองทุน (ที่ไม่เคยจะได้ใช้เลยมั้ง) อย่างเดียว ลำพังเบนซินที่หาเงินได้วันละ 100 ล้านบาท จะไปชดใช้เงินกองทุนที่ติดลบอยู่ แสนล้าน (100,000 / 100 = 1,000 วัน) ก็ใช้เวลาเกือบสามปี
เอาจริงๆไม่เห็นแสงสว่างในอุโมงค์เลยว่ามันจะถูกได้อีกเมื่อไหร่ 38 บาท +- นี่คงเป็นฐานราคาน้ำมันใหม่ต่อไปในอนาคตละมั้ง
เราจะต้องใช้น้ำมันราคาแพงไปอีกนานแค่ไหน
1. ราคาน้ำมันสำเร็จรูป (ราคาน้ำมันดิบ + ค่าการกลั่น + อัตราแลกเปลี่ยน + อื่นๆที่ไม่รู้)
2. ภาษี
3. กองทุนน้ำมัน
4. ค่าการตลาด
ราคาน้ำมันสำเร็จรูป
ดูแล้วคงไม่ต่ำกว่า $80 หรือลงไประดับ $60 ได้ง่ายๆ ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปของเราก็คงอยู่ที่ลิตรละ 20 บาท ++
โครงสร้างราคาน้ำมัน
ภาษี
รัฐคงไม่ลดภาษาสรรพสามิตรดีเซลเพื่อเอามาชดเชยเงินกองทุนน้ำมันให้ แบบกลางปี 65-66 ได้ (จาก 5 บาทกว่า เหลือ 1.34) เนื่องจากมีเรื่องให้ใช้เยอะสำหรับดิจิตอลวอลเล็ต (เดา)
กองทุนน้ำมัน
ปัจจุบัน ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 12 พฤษภาคม 2567 ติดลบ -110,296 ล้านบาท เงินเหลืออีก 39,976 ล้านบาท แต่เข้าใจว่าที่เอามาใช้กับน้ำมันได้น่าจะมีประมาณ 9 พัน ถึงหมื่นล้าน ต้นๆ
ค่าการตลาด
ผู้ค้าคงไม่ลดให้ง่ายๆ เพราะเห็นข่าวก็เขียนว่า ดีเซล Euro5 ก็ยังต้องเข้าเนื้ออยู่ PTG ต้นทุนบริการ-ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ฉุดกำไร Q1 เหลือ 258 ล้านบาท
...
ทีนี้ลองมาคำนวณดูว่า ด้วยนโยบายกำหนดราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท มันจะเกิดอะไรขึ้น
สถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรอบ 2 เดือนของปี 2567 (มกราคม – กุมภาพันธ์)
ตารางข้างบนคือสมมติว่า หากรัฐจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 33 บาท จะต้องใช้เงินกองทุนอุดหนุน ประมาณ 1 บาทต่อลิตร โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลยังอยู่ที่ประมาณ 22-23 บาท วันหนึ่งๆก็จะต้องใช้เงิน 60 กว่าล้าน
ส่วนเบนซิน 95E10 ปัจจุบันเก็บเงินเข้ากองทุน 3.4 บาท (E20 1.4 บาท) ผมขอคิดแบบง่ายๆว่า เราใช้แต่ 95E10 วันละ 31 ล้านลิตรก็แล้วกัน เงินเข้ากองทุนวันนึงก็จะอยู่ทีประมาณ 100 ล้านบาท (ของจริงก็น่าจะน้อยกว่านี้)
เอาเงินเบนซินหักลบดีเซลไป เราจะเหลือ 41 ล้านบาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม LPG ก็มีการสนันสนุนด้วย กิโลละ 4.1 บาท (ไม่รู้เค้าแยกสนับสนุน ครัวเรือน รถยนต์ อุตสาหกรรม รึเปล่านะ) เอาเป็นว่า ผมใช้ยอดรวม 16.67 ล้านกิโล จาก link ด้านบน มาคิดชดเชย ก็จะต้องใช้เงิน อีก 69 ล้านบาทต่อวัน (ถ้าเค้าแยก ตรงนี้อาจจะลดลงได้เยอะ)
เงินกองทุนที่เหลือต่อวันลบกับ lpg ก็จะติดลบ 27 ล้านบาทต่อวัน แปลว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ
...
หากรัฐไม่ปรับเพิ่มราคาดีเซลหรือ lpg มันก็จะเป็นการยากมากๆ ที่จะทำให้ฐานะของกองทุนดีขึ้น สมมติว่าไม่ชดเชยดีเซลและ lpg เลย
ให้เบนซินเป็นคนหาเงินคืนกองทุน (ที่ไม่เคยจะได้ใช้เลยมั้ง) อย่างเดียว ลำพังเบนซินที่หาเงินได้วันละ 100 ล้านบาท จะไปชดใช้เงินกองทุนที่ติดลบอยู่ แสนล้าน (100,000 / 100 = 1,000 วัน) ก็ใช้เวลาเกือบสามปี
เอาจริงๆไม่เห็นแสงสว่างในอุโมงค์เลยว่ามันจะถูกได้อีกเมื่อไหร่ 38 บาท +- นี่คงเป็นฐานราคาน้ำมันใหม่ต่อไปในอนาคตละมั้ง