วิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ไทยเอาทุนสำรองไปพยุงค่าเงินบาทจนเจ๊ง เป็นหัวคิดใครเหรอครับ

วิกฤติต้มยำกุ้งปี40 ที่ค่าเงินบาทโดนบริษัทเฮดจ์ฟันด์โจมตี  แล้วไทยเอาเงินทุนสำรอง 2.4 หมื่นล้านUSD ไปสู้กับบริษัทเฮดจ์ฟันด์จนเจ๊งหมดตัว   สุดท้ายต้องปล่อยลอยตัวเงินบาท   อันนี้เป็นหัวคิดใครเหรอครับ

ฟังข่าวบางแห่งก็ว่า  เป็นฝีมือธนาคารแห่งประเทศไทย
ข่าวบางแห่งก็ว่า เป็นฝีมือนักการเมืองที่กดดันธนาคารแห่งประเทศไทย 

สรุปแล้วเป็นฝีมือใครเหรอครับ  และสงสัยว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศตอนนั้นไม่มีใครรู้ตัวเลยเหรอว่าตัวเองสู้ไม่ได้  เค้าทำกันเป็นขบวนการใหญ่ระดับที่โดนกันทั้งเอเชีย

คือถ้ากล้าปล่อยลอยตัวค่าเงินบาทแต่แรก   ไม่เอาเงินสำรองไปพยุง  ต้มยำกุ้งมันจะเผ็ดน้อยลงไหม
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
.


จุ๊บๆ





เรื่องต้มยำกุ้งปี 40 ไม่ได้เกิดจาก ปัจจัยหนึ่ง ปัจจัยใด เพียงอย่างเดียวครับ

แต่มันคือการรวมตัวกัน ของความผิดพลาด
และความบิดเบี้ยวหลายๆ อย่าง ที่ดำเนินไปโดยไม่มีการแก้ไข

พอนานวันเข้า มันก็กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่รอวันระเบิดเท่านั้นเอง


ลำดับเหตการณ์ วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เเบบคร่าวๆ


– ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงปี 10 ปีก่อนเกิดต้มยำกุ้งนั้น
เหตุผลหลักเป็นเพราะการย้ายฐานผลิตของบริษัทใหญ่ๆ มาในประเทศไทย
และการส่งออกสินค้าสร้างรายได้เข้าประเทศ

– เมื่อเศรษฐกิจเติบโต ประเทศร่ำรวยขึ้น
รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่อยากจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค

– ปี พ.ศ.2533 แนวคิด “เสรีทางการเงิน” จึงเกิดขึ้น
เพื่อให้การเคลื่อนย้ายเงินตราเป็นไปได้อย่างเสรี แทนที่จะจำกัดแบบเดิม

– เมื่อเศรษฐกิจไทยดี ใครๆ ก็อยากได้เงินบาท
เงินบาทก็จะแพง(หรือแข็งค่าขึ้น) ซึ่งถ้าหากแข็งไปมากๆ
ถึงขั้น 15-20 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ สินค้าไทยก็จะแพง ส่งออกยาก

– จึงแก้ปัญหานี้ด้วย " นโยบายตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไปไว้ที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ "

– ตัวอย่าง ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องเอาเงินบาทที่มี
ไปซื้อเงินดอลลาร์มาเก็บไว้ เพื่อทำให้มีเงินบาทในตลาดเยอะขึ้น อะไรที่มันมีเยอะ ราคามันก็จะถูกลง

– ตรงกันข้ามกับเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ก็ต้องเอาเงินดอลลาร์ในคลัง
ไปซื้อเงินบาทกลับมา เพื่อให้มีปริมาณเงินน้อยลง และเงินแข็งค่าขึ้น

นโยบายต่อมาก็คือ การอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์เปิดบริการวิเทศธนกิจในปี พ.ศ.2536
หรือพูดง่ายๆ ก็คือสามารถกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ในประเทศต่อ

– เพราะประเทศไทยขณะนั้นดอกเบี้ยในประเทศสูงราว 14-17% ต่อปี

– ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศถูกกว่าที่ประมาณ 5% ต่อปี

– เห็นช่องว่างใช่ไหมครับ?? การทำกำไรง่ายๆ
ก็คือ การกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ต่อ ได้กำไรไปเหนาะๆ เลยเป็น 10%

– พอกู้เงินมาเยอะ ก็อยากปล่อยกู้เร็วๆ เพื่อกำไร
ทีนี้มาตรฐานการพิจารณาก็ปล่อยกู้กันง่ายๆ ใครมาขอกู้มีเครดิตหน่อยก็เอาเงินไปเลย

– เงินเหล่านั้นไปไหน ก็ไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน คอนโด หรือกระทั่งตลาดหุ้น

– กลายเป็นยุคที่เงินหาง่าย เพียงกู้จากต่างประเทศมา ให้คนในประเทศกู้กันต่อ

– เมื่อเงินหาง่าย สินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำออกมาก็ขายง่าย
พอขายง่ายก็กำไรดี กำไรดีก็ทำมาขายต่อในราคาที่สูงกว่าเดิม ก็ยังขายได้

ทีนี้ก็ทำออกมาขายใหม่ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง ก็ยังขายได้อีก เอาเข้าไป!!

– ภาวะที่สินค้าราคาแพงกว่าความเป็นจริง นี่แหละครับที่เรียกกันว่า “ฟองสบู่”

– ทีนี้จะทำให้เสร็จแล้วขายก็ไม่ทันใจ ก็ขายใบจอง
บ้างก็กู้เงินมาเพื่อ " ซื้อใบจอง เเล้วเอาใบจองไปขายทำกำไรต่อ " เพราะขายง่าย ขายต่อกันเป็นทอดๆ  

– ทางฝั่งคนในตลาดหุ้น เมื่อเห็นหุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา คนก็เกิดความโลภ
จากเดิมที่เล่นด้วยเงินสด กลายเป็นเล่นด้วยเงินกู้ เพราะซื้อไปมันก็มีเเต่ขึ้นเรื่อยๆ
(คำว่า "หุ้นตก" ในช่วงนั้นไม่มีใครรู้จักหรอก เหมือนเป็นศัพท์ ที่ไม่มีในพจนานุกรมประเทศไทย)

– สินค้าต่างประเทศได้รับความนิยม
เพราะคนรวยนำเข้าของหรูหราตามสมัยนิยมมาใช้กันมากมาย


เห็นความบิดเบี้ยวกันได้ชัดขึ้นหรือยังครับ??

– ประเทศไทยยุคนั้นคนมีเงินเยอะขึ้น แต่เป็นการรวยไม่จริง รวยจากการกู้ยืมชาวบ้านมาแทบทั้งสิ้น

– ขณะเดียวกันประเทศก็ขาดดุลการค้าต่อเนื่องมาตลอด ยอดนำเข้าเยอะกว่ายอดส่งออก ขาดทุนสะสมหลายปีติดต่อกัน

– แถมหนี้ที่กู้ยืมสถาบันการเงินต่างประเทศเป็นหนี้ระยะสั้น ที่ใกล้จะครบกำหนดชำระเป็นเงินสกุลดอลลาร์

– จนกระทั่งปี พ.ศ.2539 เงินที่กู้มาเรื่อยๆ ชักจะหมุนไม่ทันเสียแล้ว
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัว โครงการใหม่ที่ขึ้นมาเริ่มจะขายไม่ออก เพราะเงินในระบบเริ่มหมด

– ความเชื่อมั่นในประเทศไทยน้อยลง เพราะเจ้าหนี้ต่างก็ไม่มั่นใจว่าไทยจะมีเงินคืนหรือไม่

– นักลงทุนต่างชาติ ก็พากันถอนทุนออกจากไทย ขายเงินบาททิ้ง
เนื่องจากมองเห็นถึงความบิดเบี้ยว และมีโอกาสที่เงินบาทจะด้อยค่าไปมากกว่าเดิม

– ขณะที่กองทุนก็เห็นแผลที่กำลังเปิดอยู่นี้ พร้อมใจกันเทขายเงินบาท
แถมตั้งอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ไว้ที่ 50 บาทต่อดอลลาร์

– กู้เงินมาตอน 25 บาทต่อดอลลาร์ แต่ต้องจ่ายคืนที่ 50 บาทต่อดอลลาร์ มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง

อย่างที่เกริ่นให้ทุกคนเข้าใจไปด้านบน ว่าพอหลายฝ่ายเทขายเงินบาท เงินบาทก็จะอ่อนค่า
การจะตรึงราคาไว้ได้ก็ต้องเอาเงินดอลลาร์ในคลังออกมารับซื้อใช่ไหมครับ??

– ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงออกมาอุ้มปัญหาเหล่านั้นในตอนแรก
ด้วยการกัดฟันสู้ ขอรับซื้อเงินบาทที่ราคา 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ต่อไป

จากเงินสำรอง 40,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือ 2,500 ล้านดอลลาร์อย่างรวดเร็ว เงินแทบหมดคลัง

– จะโทษกองทุนต่างชาติได้เต็มปากไหม ก็คงไม่… เพราะพวกเขาคือนักธุรกิจ ย่อมทำกำไรเป็นธรรมดา
ทำกำไรที่มาจากการเห็นความบิดเบี้ยวที่เราสร้างขึ้นมาเองภายในประเทศ

จนสุดท้ายสู้ไม่ไหว ต้องยอมปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540

คนไทยที่เป็นหนี้ต่างชาติ กลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเกือบจะ 2 เท่าในทันที

เงินหายออกไปจากระบบ ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นตก หรือแค่โครงการสร้างไม่เสร็จเท่านั้น

แต่เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังธุรกิจต่างๆ
เกิดการลดคน เลิกจ้าง จนถึงขั้นเลิกกิจการมากมายทั่วประเทศ


ประเทศไทยจะใช้คำว่า “เจ๊ง” ก็คงไม่ผิดนัก

Facepalm...Facepalm...Facepalm



และนั่นทำให้ประเทศไทย ที่หันไปทางไหนก็ไม่มีใครให้เครดิต
ต้องกู้เงินจาก IMF เป็นมูลค่ากว่า 510,000 ล้านบาท เพื่อมาเป็นทุนสำรองในคลัง

รวมถึงการกู้เงิน “กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน”
หรือ FIDF มูลค่ากว่า 1.14 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยพยุงสถาบันการเงินไม่ให้ล้ม



มีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า…
หากไทยไม่ตั้งอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ในตอนนั้น
ค่อยๆ ปล่อยให้เงินบาทลอยตัวไป สถาบันการเงินก็คงจะระวังมากขึ้นในการกู้เงินมาปล่อยกู้ต่อ

หรือกระทั่งการควบคุมการปล่อยกู้ในประเทศ
ไม่ให้ปล่อยอย่างง่ายดาย ลดปัญหาฟองสบู่จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ

เศรษฐกิจไทยยุคนั้นก็อาจจะถดถอยจากการขาดดุลการค้า แต่เป็นในแบบค่อยเป็นค่อยไป

ไม่เหมือนกับการบิดเบือน เอาเงินมาพยุง จนกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่สายเกินแก้




อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดขึ้น
ทำให้ประเทศไทยดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น

ควบคุมการปล่อยกู้ในประเทศ ปัญหาหนี้
และปัญหาฟองสบู่ต่างๆ ถูกจัดการได้ดีขึ้นหากเทียบกับในยุคก่อนหน้า

จุ๊บๆจุ๊บๆ


อ้างอิงเเหล่งที่มาข้อมูล

https://fleth.co.th/index.php/th/news/544-544


https://www.bot.or.th/th/statistics/financial-institutions.html



กะพริบตา





.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่