ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย #ชีวิตที่นครนายก

หลังจากคลอดลูกแล้ว ก็ยังคงหางานให้สามีต่อไป สมัยนั้นอินเตอร์เนตยังไม่ฮิต เราก็ซื้อหนังสือพิมพิ์ ต่างประเทศมา น่าจะบางกอกโพสต์ เราเห็นมีประกาศอันนึงน่าสนใจ เป็นของสถาบันสอนภาษา Text & Talk ประกาศว่ารับฝึกอบรมเป็นครูและมีงานรองรับ เราก็เลยโทรไปถามข้อมูล ได้ความว่าคอร์สนึงเรียน 1 เดือน แล้วสอบถ้าผ่าน จะมอบประกาศนียบัตรให้ และมีงานให้ทำ สามีสนใจเลยไปสมัคร ร.ร.อยู่แถวพหลโยธิน เราไปส่งอยู่สองครั้ง หลังจากนั้นเขาไปเอง แต่ก็หลงทางตลอด เขาเลยตัดสินใจซื้อรถจักรยานแล้วปั่นจากบ้านที่เจริญผลไปที่ร.ร.ที่พหลโยธิน OMG เขาบอกว่าแบบนี้ดีกว่า ไม่หลงทาง ไม่แปลื่องค่าแท๊กซี่ เขาใช้จีพีเอส จับเส้นทางไป 
พอเรียนจบและสอบผ่าน ทางร.ร.เสนองานสอนที่จ.นครนายกให้ สามีก็ตอบตกลงทันทีและนัดวันไปดูร.ร.กัน เขาไปกับทางสถาบันฯเราไม่ได้ไปด้วย กลับมาเขาบอกว่าร.รโอเคนะ เงินเดือนดี มีบ้านพักครูให้ด้วย ก็เลยตัดสินใจย้ายไป ตอนนั้นลูกมีอายุได้ 4 เดือน
ตอนย้ายไปใหม่ๆก็ลำบากอยู่เหมือนกัน เพราะเราเป็นคนกรุงเทพติดความสะดวกสบายไปไหนมาไหนมีรถเมล์ มีแท๊กซี่ และหาของกินก็ง่าย แต่ที่นี่รถมอไซต์เราก็ขี่ไม่เป็น จะไปตลาดที่ก็ต้องเดินเป็นกิโลไป ไม่มีรถผ่านจากหน้าบ้านพักครูไปตลาด นานๆเข้าก็เลยซื้อจักรยานคันนึง และเราก็เริ่มมีคอนแนคชั่น มีเบอร์วินมอไซต์ประจำที่เราจะเรียกให้มารับ เวลาจะไปตลาด ชีวิตก็ดูไม่เดือดร้อนอะไร เป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกไป จนเพื่อนสนิทยังแซวว่า นี่เธอได้เป็นคุณนายแล้วนะ............
ในทุกๆวันก็ตื้นแต่เช้ามาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้สามี แซนวิชกับกาแฟ ง่ายๆเขาไม่กินมื้อหนักๆตอนเช้า กลางวันบางวันก็กลับมากินข้าวบ้าน อากาศบ้านเรามันร้อน สามีเป็นคนต่างชาติก็จะทนไม่ไหว ทุกวันหลังจากสอนเสร็จกลับมาบ้านจะรีบวิ่งขึ้นบ้านเปืดแอร์นอน อีเมียก็ไม่เข้าใจ ชั้นก็รอเธอมาทั้งวัน กลับมาบ้านก็หนีขึ้นบ้านปิดประตูนอนซะงั้น แอบขึ้นไปดู อ้าวล๊อคประตูซะอีก เราก็โกรธ ไม่ถามเขาหรอกนะว่าเป็นไร สบายดีไหม แล้วล๊อคประตูทำไม เก็บความโกรธไว้ จนประมาณทุ่มเขาก็ลงมาอาบน้ำ แล้วก็กินข้าวกัน กินข้าวเย็นเสร็จเขาก็กลับขึ้นไป คราวนี้ไม่ปิดประตู แต่เปืดคอมนั่งทำงาน เราก็นั่งดูทีวีอยู่ข้างล่างกับลูกไป 
เขาทำแบบนี้ทุกวัน จนเราก็เริ่มรำคาญก็เลยโทรไปถามแม่ แม่ก็ด่าผัวให้ เออมันจะเป็นอะไรของมัน แค่ไปสอนหนังสือจะเหนื่อยอะไรหนักหนา แล้วทำไมต้องล๊อคประตู 
ชีวิตก็ดำเนินไปแบบนี้ทุกวัน จนเราเริ่มเบื่อ ก็บ่นกับสามีว่าอยากไปทำงาน แล้วก็เริ่มหางานจรืงจังด้วยนะ ไปกรมจัดหางานของจังหวัด แต่ถ้างานไหนจ่ายน้อยกว่า 10,000 สามีไม่ให้ทำ มันจะไปหาได้ไง ก็หายากอยู่เพราะมัน ตจว. แรกๆแม่ก็ด่าว่าจะทำงานทำไม มีผัวหาเลี้ยงก็ดีแล้ว ก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกไปสิ แต่เราก็บ่นด่าผัวให้แม่ฟังทุกวัน จนนางก็เริ่มเห็นด้วยที่จะไปทำงาน นางบอกว่าดีจะได้หาเงินใช้เองไม่ต้องง้อผัว แม่เราเป็นคนที่ข่มผัว นางเป็นช้างเท้าหน้า เลยเห็นด้วยที่เราจะมาเป็น working woman พ่อเราไปเยี่ยมหลานเกือบทุกอาทิตย์นะ พ่อกับสามีนี่รักกันดี 
และเราก็เริ่มหาเรื่องทะเลาะกับสามีไม่เว้นแต่ละวัน ทะเลาะกันประจำ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนั้นแหละ หนักๆเข้าก็ขู่จะกลับบ้าน และสุดท้ายกีกลับจริงๆ ครั้งแรกที่ไป ไปตอนกลางคืนด้วยนะ นั่งรถทัวร์กลับ ไปนอนบ้านเพื่อน พอเช้าก็กลับบ้านแม่ ไม่ได้บอกพ่อกับแม่หรอกว่าทะเลาะกัน แล้วสามีก็มาง้อตามกลับบ้านก็วนเวียนอยู่แบบนี้ จนวันนึงมาเดินเล่นที่เซียร์รังสิต ก็เจอป้ายประกาศรับสมัคร ผจก.ร้านและพนง.ขาย ประจำร้านคอมพิวเตอร์ ก็สนใจจดเบอร์ไว้ บริษัทรับคนไปประจำที่สาขาแยกหลักสี่ แล้วเราก็ไปสมัคร สามีบอกให้สมัคร
ตำแหน่งผจก.เลย ถ้างั้นก็ไม่ต้องไปสมัคร ไปสมัคร สัมภาษณ์ก็ผ่าน ได้เงินเดือน 12,500/เดือน สามีโอเค รวมเวลาที่อยู่นครนายกด้วยกัน เกือบ 3 ปี แล้วก็ตัดสินใจเก็บเสื้อผ้า หอบลูกกลับเข้ากรุงเทพฯมาทำงาน ทิ้งสามีไว้อยู่คนเดียว โดยคิดเห็นแก่ตัวว่าเขาก็คงอยู่ได้เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วและก็เป็นผู้ชายด้วย 
เคยอ่านข้อความมีคนเขียนไว้ว่า "ผู้ชาย ทิ้งความสุขของตัวเอง เพื่อครอบครัว แต่ผู้หญิงทิ้งครอบครัว เพื่อความสุขของตัวเอง" นั่นแหละ คือฉันเอง!! 😥
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่