พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๗. คัททูลพัทธสูตร
ว่าด้วยอุปมาด้วยสุนัขถูกล่าม
[๙๙] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถีพระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) นี้ มีเบื้องต้นเบื้องปลายที่ใครๆ รู้ไม่ได้
เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไป
มหาสมุทรยังมีเวลาเหือดแห้งไป มีอยู่ไม่ได้
แต่เราก็มิได้กล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปอยู่ จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ขุนเขาสิเนรุยังมีเวลาถูกไฟเผาพินาศไป มีอยู่ไม่ได้
แต่เราก็มิได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปอยู่ จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
แผ่นดินใหญ่ยังมีเวลาถูกไฟเผาพินาศไป มีอยู่ไม่ได้
แต่เราก็มิได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปอยู่ จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
สุนัขที่เขาผูกไว้ด้วยเชือก ล่ามไว้ที่หลักหรือเสาที่แข็งแรง วิ่งวนเวียนหลักหรือเสานั้นเอง แม้ฉันใด ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ไม่ได้เห็นพระอริยะ ...
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ...
พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตา ...
สัญญา ...
พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตา ...
พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา
หรือพิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ
ปุถุชนนั้นแล่นวนเวียนอยู่กับรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร แล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
เมื่อเขาแล่นวนเวียนอยู่กับรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร เมื่อแล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
เรากล่าวว่า ไม่พ้นจากรูป ไม่พ้นจากเวทนา ไม่พ้นจากสัญญา ไม่พ้นจากสังขาร ไม่พ้นจากวิญญาณ ไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และชื่อว่าไม่พ้นจากทุกข์’
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ
ได้เห็นพระอริยะ ...
ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ...
ไม่พิจารณาเห็นเวทนา ...
ไม่พิจารณาเห็นสัญญา ...
ไม่พิจารณาเห็นสังขาร ...
ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา
หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ
อริยสาวกนั้นไม่แล่นวนเวียนอยู่กับ รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ไม่แล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
เมื่อเธอไม่แล่นวนเวียนอยู่กับรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ไม่แล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
ย่อมพ้นจากรูป ย่อมพ้นจากเวทนา ย่อมพ้นจากสัญญา ย่อมพ้นจากสังขาร ย่อมพ้นจากวิญญาณ
เรากล่าวว่า ‘ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และย่อมพ้นจากทุกข์”
คัททูลพัทธสูตรที่ ๗ จบ
สิ่งที่ใกล้ที่สุด แต่ไม่อาจถูกมองเห็น
แต่เราก็มิได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปอยู่ จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
สุนัขที่เขาผูกไว้ด้วยเชือก ล่ามไว้ที่หลักหรือเสาที่แข็งแรง วิ่งวนเวียนหลักหรือเสานั้นเอง แม้ฉันใด ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ไม่ได้เห็นพระอริยะ ...
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ...
พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตา ...
สัญญา ...
พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตา ...
พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา
หรือพิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ
ปุถุชนนั้นแล่นวนเวียนอยู่กับรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร แล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
เมื่อเขาแล่นวนเวียนอยู่กับรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร เมื่อแล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
เรากล่าวว่า ไม่พ้นจากรูป ไม่พ้นจากเวทนา ไม่พ้นจากสัญญา ไม่พ้นจากสังขาร ไม่พ้นจากวิญญาณ ไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และชื่อว่าไม่พ้นจากทุกข์’
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ
ได้เห็นพระอริยะ ...
ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ...
ไม่พิจารณาเห็นเวทนา ...
ไม่พิจารณาเห็นสัญญา ...
ไม่พิจารณาเห็นสังขาร ...
ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา
หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ
อริยสาวกนั้นไม่แล่นวนเวียนอยู่กับ รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ไม่แล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
เมื่อเธอไม่แล่นวนเวียนอยู่กับรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ไม่แล่นวนเวียนอยู่กับวิญญาณ
ย่อมพ้นจากรูป ย่อมพ้นจากเวทนา ย่อมพ้นจากสัญญา ย่อมพ้นจากสังขาร ย่อมพ้นจากวิญญาณ
เรากล่าวว่า ‘ย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และย่อมพ้นจากทุกข์”