โรคกรดไหลย้อน คือ โรคที่ไม่ควรมองข้ามเพราะอาจเสี่ยงถึงชีวิตได้เลย

GERD หรือ โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease) เป็นภาวะที่กรดจากกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับขึ้นมายังหลอดอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานผิดปกติของ หูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร ทำให้กรดที่ควรอยู่ในกระเพาะอาหารนั้นไหลย้อนกลับขึ้นมา

กรดไหลย้อนอาการ คือ
✓ แน่นหน้าอก ไหม้หรือรู้สึกปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกเนื่องจาก กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อน ขึ้นมาในหลอดอาหาร
✓ มีรสเปรี้ยว หรือ รสขม ๆ ไหลขึ้นมาที่คอและปาก (กรดในกระเพราอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาเรียกว่าอาการเรอเปรี้ยว
✓ เจ็บคอ เสียงแหบพร่า
✓ อาจมีอาเจียน หรือ คลื่นไส้
✓ ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังจากรับประทานอาหาร
✓ อาหารแน่นท้อง ท้องอืด
✓ หลังจากรับประทานอาหารจะมีอาการจุกแน่น ที่ลิ้นปี่หรือลำคอร่วมได้

อาการเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น การเป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือ หลอดอาหาร เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ควรเลือกรับประทานอาหารดังนี้
■ อาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ปีก เนื้อสัตว์สีขาว ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เนื่องจากย่อยง่าย
■ ผลไม้สุก เช่น กล้วย แอปเปิล ส้ม แต่หลีกเลี่ยงผลไม้รสเปรี้ยว
■ ผักสุก ผักใบเขียว รวมถึงแครอท มันฝรั่ง
■ ธัญพืชและผลิตภัณฑ์จากธัญพืชที่ไม่มีผงฟู เช่น ขนมปังธรรมดา ข้าวกล้อง แป้งข้าวโพด
■ น้ำมันพืช เนย หรือนมที่เป็นกลาง
■ อาหารประเภท โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
■ เครื่องเทศ เกลือ น้ำมันมะกอก น้ำมันงา
■ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมัน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสเปรี้ยวจัด พริกแรง ขนมปังหรืออาหารที่มีส่วนผสมของผงฟู

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน โดยหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทที่กระตุ้นให้เกิด กรดไหลย้อน และเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้จะช่วยลดอาการของโรคได้
โรคกรดไหลย้อน วิธีรักษา ?
การรักษาโรคกรดไหลย้อนมีหลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยา และการผ่าตัด ซึ่งวิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของอาการ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นวิธีการแรกที่แนะนำให้ผู้ป่วย โรคกรดไหลย้อน ควปฏิบัติ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นสาเหตุหนุนให้เกิดกรดไหลย้อน เช่น 
1. รับประทานอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง
2. หลีกเลี่ยงการนอนหลังจากรับประทานอาหารทันที ควรรอให้ผ่านไปอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
3. นอนหนุนหมอนสูง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขณะนอน
4. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรค
5. งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
6. จัดการกับความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
7. สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆ ไม่รัดแน่นบริเวณเอว

การรักษาด้วยยา หากปฏิบัติตามข้างต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น จึงควรพิจารณาการรักษาด้วยยารักษา   สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง การรักษาด้วยยาเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ โดยชนิดของยามีหลายแบบ เช่น
1. ยากลุ่มยับยั้งการหลั่งกรด (Proton Pump Inhibitors) เพื่อลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร
2. ยารักษาภาวะกระเพาะหลั่งกรดมากเกินไป (H2 Blockers)
3. ยาป้องกันและบรรเทากรดไหลย้อน (Prokinetics)
4. ยาป้องกันกรดด่าง (Antacids)
5. ยาลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร

นอกจากนี้ ยังมี ยารักษาแผลกรดไหลย้อน ที่มีผลต่อการรักษาโรคในระยะยาว แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงของการใช้ยาในระยะยาวการรักษาด้วยการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือต้องการลดการพึ่งพายาในระยะยาว อาจพิจารณาการผ่าตัดรักษาโรคกรดไหลย้อน วิธีการผ่าตัดมีหลายวิธี เช่น

Fundoplication หรือที่เรียกว่า การผ่าตัดพันกระเพาะอาหารโอบหลอดอาหาร เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร (LES) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อาหารและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่อวัยวะส่วนบน

LINX ย่อมาจาก Laparoscopic Implantable Nissen Fundoplication เป็นการผ่าตัดรักษาโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โดยวิธีผ่าตัดแบบส่องกล้อง แพทย์จะสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปผ่านรูเล็กๆ ที่หน้าท้อง ทำการเย็บติดแถบผ้าสังเคราะห์รอบๆ ส่วนล่างของหลอดอาหาร เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร (LES) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อาหารและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่อวัยวะส่วนบน
LINX แตกต่างจากการผ่าตัด Fundoplication แบบดั้งเดิม ตรงที่ไม่ต้องตัดหรือเย็บกระเพาะอาหาร ทำให้แผลผ่าตัดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

Endoscopic procedures หรือ การส่องกล้องทางการแพทย์ เป็นการตรวจวินิจฉัย รักษา หรือผ่าตัด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า endoscope ซึ่งเป็นท่อบางๆ ยาวๆ ปลายมีกล้องและไฟส่องสว่าง แพทย์จะสอดกล้องเข้าไปในร่างกายผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น ปาก จมูก ทวารหนัก หรือผ่านรอยแผลผ่าตัดเล็กๆ

นอกจากผ่าตัดแบบเปิดแล้ว ปัจจุบันยังมีวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องส่องตรงและระบบหุ่นยนต์ ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากบาดแผลเล็กและฟื้นตัวเร็ว แต่วิธีการผ่าตัดก็ยังคงมีความเสี่ยงและผลข้างเคียง ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงความเหมาะสมและข้อดีข้อเสียแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจ 

สรุปแล้ว การรักษาโรคกรดไหลย้อนสามารถทำได้หลายวิธี โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นอันดับแรก หากอาการไม่ดีขึ้นอาจพิจารณาใช้ยารักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนการผ่าตัดจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง

โรคกรดไหลย้อน อันตรายถึงชีวิตไหม ?

โดยทั่วไปแล้วไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้ ดังนี้ 
■ การเกิดแผลในหลอดอาหาร (Esophageal ulcers) เนื่องจากกรดไหลย้อนมากระทบบริเวณหลอดอาหารเรื้อรัง อาจทำให้เกิดแผลลึกจนทะลุหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
■ หลอดอาหารตีบแคบ (Esophageal strictures) เนื่องจากการเกิดแผลและการหายของแผลในหลอดอาหารเรื้อรัง อาจทำให้หลอดอาหารตีบแคบ ส่งผลให้กลืนอาหารลำบาก
■ พังผืดกลืนลำบาก (Barrett's esophagus) เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อบริเวณปลายหลอดอาหารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้ถึง 30-125 เท่า
■ มะเร็งหลอดอาหาร เป็นภาวะร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุมาจากการเกิดแผลและการเสียดสีจากกรดไหลย้อนเป็นเวลานาน
■ การติดเชื้อปอดจากการสำลักของกระแสอาหารที่ย้อนกลับ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีกลไกการกลืนบกพร่อง
■ การขาดเลือดจากหลอดอาหาร เนื่องจากการเกิดแผลจากกรดไหลย้อน

ดังนั้น แม้ โรคกรดไหลย้อน จะไม่อันตรายในระยะแรก แต่หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นจึงควรได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มมีอาการ
----------------------------
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตนั้น มีแหล่งอ้างอิงมาจาก
1. American College of Gastroenterology (เว็บ gi.org/topics/acid-reflux/)
2. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/acid-reflux-ger-gerd-adults)
3. Mayo Clinic ( เว็บ mayoclinic.org/diseases-conditions/gerd/symptoms-causes/syc-20361940)
4. Gastroenterology & Hepatology (เว็บ gastroenterologyandhepatology.net/archives/february-2015/GERD-Long-term-Risks-and-Complications/)
5. UpToDate - นิตยสารและฐานข้อมูลทางการแพทย์ (เว็บ www.uptodate.com/contents/complications-of-gastroesophageal-reflux-in-adults)
6. รีวิวและงานวิจัยเกี่ยวกับ GERD ในวารสารทางการแพทย์ชั้นนำ เช่น Gastroenterology, American Journal of Gastroenterology, Gut เป็นต้น

แหล่งอ้างอิงเหล่านี้มาจากองค์กรทางการแพทย์ชั้นนำ นิตยสารและฐานข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ รวมถึงการทบทวนงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อน

สมุนไพรรักษากรดไหลย้อน ดียังไง ?

ย้อนกลับไปในสมัยโบราณ เมื่อยังไม่มียาสมัยใหม่ สมุนไพรลดกรดไหลย้อน ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ เนื่องจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากธรรมชาติ และโรคกรดไหลย้อนก็เป็นหนึ่งในโรคที่สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้ วันนี้แม้ว่าโลกแห่งการแพทย์จะก้าวหน้าไปมาก แต่สมุนไพรก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาสังเคราะห์ นอกเหนือจากคุณสมบัติในการรักษา สมุนไพรลดกรดไหลย้อน ส่วนใหญ่ยังมีกลิ่นและรสชาติที่อร่อยและให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะสำหรับการนำมาปรุงอาหารหรือทำเป็นเครื่องดื่ม

ชาลดกรดไหลย้อน MOOR JEEN 
เป็นชาสมุนไพรจากธรรมชาติที่คัดสรรสมุนไพรจีนสำคัญหลายชนิดมาผสมผสานกัน ช่วยลดกรดในกระเพาะและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน ชาลดกรดไหลย้อน จากแบรนด์  MOOR JEEN ผลิตจากสมุนไพรจีนแท้ 11 ชนิด ไม่มีผลข้างเคียง เพราะมีแต่ส่วนผสมของสมุนไพรไม่มีสารเคมี หรือสารสังเคราะห์ในกระบวนการผลิต ปลอดภัย เชื่อถือได้ 

แก้ไขข้อความเมื่อ

สินค้าอื่นๆ ของ ยิ้มเพราะชอบ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่