ความน่ากลัวของเขมร กับการพยายามเคลมวัฒนธรรมไทย

ปัจจุบันเขมรมีความพยายามอย่างมากในการเคลมวัฒนธรรมไทย คนไทยบางคนก็ตื่นตัว บางคนกลับนิ่งเฉยได้แต่กล่าวว่าความจริงก็คือความจริง ทว่าพฤฒิกรรมการเคลมวัฒนธรรมไทยของเขมรฝั่งรากลึกไปมากจนเกิดการทะเลาะกันระหว่างชาวไทยกับชาวเขมรตามสื่อโซเชี่ยลต่าง ๆ 
เรื่องการพยายามเคลมวัฒนธรรมไทยมีมูลพอสังเกตได้ว่า พักหลังนี้รัฐบาลไทยมีความตื่นตัวโดยยื่น UNESCO หลายอย่าง อาทิ โขน ชุดไทย มวยไทย สงกรานต์ในประเทศไทย โบราณสถาน ฯลฯ ขณะเดียวกันเขมรก็พยายามยื่น พิพาทขัดขวางไม่ให้การยื่น UNESCO ของไทยสำเร็จ
 
พฤฒิกรรมการเคลม
กระบวนการเคลมวัฒนธรรมไทยโดยเขมร ทำเป็นขบวนการ เรียกว่า IO ทำหน้าที่หลายๆ อย่าง

1. พฤฒิกรรมเปลี่ยนเรื่องโกหกให้เป็นความเชื่อฝังหัว

โดยนำรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยแปะธงเขมร แล้วเผยแพร่โพสต์แล้วแชร์ไปเรื่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ทุกวันจนเป็น Digital Footprint การทำคลิปปั่นกระแสโดย Influencer คลิปให้ความรู้จากฝั่งเขมรฝั่งเดียว การเขียนบทความ การแปลนิทานไทยโบราณเป็นภาษาเขมรแล้วตั้งชื่ออย่างเขมร จากเดิมว่าเป็นเรื่องโกหก บัดนี้กลายความเชื่อที่ว่าต่อ ๆ กันมาแบบฝังหัว 

2. พฤฒิกรรมลอกเลียนแบบวัฒนธรรมไทย

การเลียนแบบคงไม่เป็นปัญหา หากผู้เลียนแบบรับรู้และเผยแพร่ต่อไปว่ามาจากไทย แต่สิ่งที่เขมรทำอยู่ตอนนี้ คือ ลอกเลียนแบบแล้วบอกว่าตัวเองเป็นต้นฉบับ แต่กลับบอกว่าวัฒนธรรมไทยคัดลอกมาจากเขมร ตีตราว่าไทยเป็นโจรขโมยวัฒนธรรมของเขา
 
3. พฤฒิกรรมเคลมวัฒนธรรมไทยผ่าน Wikipedia

การแก้ไข Wikipedia โดยเฉพาะบทความภาษาอังกฤษพบว่าเขมรทำเป็นขบวนการ ทั้งลบ ข้อความที่เกี่ยวข้องว่าเป็นของไทยก็ไปแก้ข้อความว่าเป็นของเขมร แล้วแทรกอ้างอิงหนังสือเขมรพร้อมแทรกคำศัพท์เขมรไว้ตามบทความต่าง ๆ ซึ่งปกตินักเขียนวิกิจะไม่ลบบทความถ้ามีอ้างอิงเพียงพอเว้นแต่บทความนั้นมีผู้เชี่ยวชาญดูแลอยู่ก็จะถูกเพ่งเล็งตรวจสอบความถูกต้องสม่ำเสมอ แต่บทความมีจำนวนมากที่ผู้เชี่ยวชาญดูแลไม่ทั่วถึงจึงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่เขมรอาศัยเข้าไปบิดเบือนบทความ

ขณะเดียวกัน คนไทยมักชอบพูดว่า Wikipedia ใคร ๆ ก็เข้าไปแก้ได้ ไม่น่าเชื่อถือ แต่มักลุความประมาทอย่างหนึ่ง คือ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูลเริ่มต้นชั้นแรก ๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่ใช่ทุกคนที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริง กอปรกับแต่ละคนต่างมีความรู้ไม่เท่ากันจึงอาจหลงเชื่อไปก่อนว่าสิ่งที่ Wikipedia เขียนไว้อาจเป็นจริงหรือมีมูลเหตุก็ได้ บทความ Wikipedia เรื่องเดียวกันมีได้หลายภาษา บทความ Wikipedia แต่ละภาษาแม้เรื่องเดียวกันก็เขียนไม่เหมือนกัน ยิ่งเป็นบทความ Wikipedia ภาษาเขมรแล้ว อะไรที่ว่าเป็นของไทยจะถูกแก้ไขเป็นของเขมรจนอาจลุกลามไปถึงบทความภาษาอื่น ๆ

 
4. พฤฒิกรรมอยากมีวัฒนธรรมร่วม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าดินแดนไทย-เขมรมีการเคลื่อนย้ายไปมาของวัฒนธรรมจึงพัวพันกันอยู่ยากจะแยกออกจากกันได้ แต่วัฒนธรรมไทยบางอย่างมีวิวัฒนาการจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย และวัฒนธรรมไทยบางอย่างมีชื่อเสียงอย่างมากจึงเคลมเป็นของตนเองได้ยาก เขมรจึงอาศัยช่องทางหนึ่งเรียกว่า วัฒนธรรมร่วม หรือ พหุวัฒนธรรม ซึ่งสารตั้งต้นวัฒนธรรมอาจมาจากแหล่งเดียวกัน แต่ปลายทางวัฒนธรรมล้วนมีวิวัฒนาการจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่น เช่น กรณีประเพณีสงกรานต์ อาจเป็นพหุวัฒนธรรมในแง่ของประเพณีแต่คำเรียกชื่อไม่เหมือนกัน และมีจารีตประเพณีไม่เหมือนกัน ขณะที่เขมรพยายามขอเป็นวัฒนธรรมร่วมโดยใช้คำว่า สงกรานต์กำพูชา (แทนคำว่า โจลชนัมทเมย) เหมือนอย่างไทยเพื่อหวังผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและชื่อเสียง แต่พฤฒิกรรมเขมรในโลกออนไลน์กำลังพยายามบอกว่าคำสงกรานต์เป็นภาษาเขมร และมีต้นกำเนิดมาจากเขมร เป็นคำสันสกฤตไม่ใช่ภาษาไทย เป็นต้น แม้คำสงกรานต์เป็นคำภาษาไทยตรงตามหลักภาษาไทยก็ตาม

5. การมีส่วนร่วมของนักการเมือง นักวิชาการ

การเคลมวัฒนธรรมไทยมีความรุนแรงมากน้อย ส่วนหนึ่งก็มาจากนักการเมือง นักวิชาการพัวพันทั้งเรื่องผลประโยชน์ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย การที่กลุ่มคนเหล่านี้ออกมาชี้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย สิ่งนั้นมาจากเขมร มาจากอินเดีย ทั้ง ๆ ที่สารตั้งต้นอาจเหมือนกันแต่วัฒนธรรมไทยหลายอย่างถูกปรับปรุงจนเป็นอัตลักษณ์แบบไทยที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณ หรือการแสดงทรรศนะในเชิงโบราณคดีภายใต้องค์ความรู้ของตนต่อผู้คนจำนวนมากล้วนมีผลต่อการเคลมวัฒนธรรมไทยในขณะนี้ อาจเป็นการสุมไฟให้การเคลมวัฒนธรรมมีความรุนแรงมากขึ้น

6. การด้อยค่าชาวไทย

หนึ่งในกระบวนการเคลมวัฒนธรรมไทยที่น่ารังเกียจที่สุด ซึ่งสร้างรอยร้าวความสัมพันธ์ของคนไทยต่อเขมร เกิดการด่าทอว่า โจรสยาม ขโมยวัฒนธรรมเขมร ขณะเดียวกันกลุ่มชาวไทยที่ตระหนักและหวงแหนวัฒนธรรมไทยก็ต้องออกมาปรามกลับ ด้วยการตั้งกลุ่มกันเอง คอยแฉ อธิบายสิ่งที่เขมรบิดเบือนจากความจริง รวมทั้งการต่อต้านด้วยการด่าทอกลับ บ้างขุยคุ้ยหลักฐานมาต่อสู้ทว่าเขมรจะยอมจำนวนต่อหลักฐานกลับกล่าวว่าหลักฐานเหล่านั้นเป็นของปลอม โดยส่วนตัวเห็นว่า การกระทำของเขมรของการพยายามเคลมวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องน่าวิตกกังวล
 
จะขอยก เสภาพระราชพงศาวดาร เรื่องตีเมืองขอม ของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) แต่งถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ตอนหนึ่งว่า

๏ ทำไมกับทัพเขมรเดนเขาเลือก
มีแต่เปลือกสู้ไทยจะได้ฤๅ
เสียแต่หย่อนอ่อนหัดไม่ฟัดปรือ
ได้ลงมือแม้นไม่สรรพไม่กลับมา

เดนเขาเลือก เป็นคำด่า หมายถึง ของเหลือที่ไม่มีใครต้องการแล้ว (สมบัติ จำปาเงิน, ปทานุกรมฉบับถ้อยคำ ฯ, 2540:80)
 
แม้แต่ด้านประวัติศาสตร์ไทยก็มีการวิเคราะห์ไว้ต่าง ๆ นานา ว่า

เขมรเคยหักหลังไทยสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจนถึงต้องเสด็จไปแก้แค้นเอาโลหิต พระยาละแวกล้างบาทาเสียให้จงได้ คราใดที่กรุงศรีอยุธยารบกับหงสาวดี เขมรก็คอยซ้ำเติมไทยโดยการยกทัพมากวาดต้อนผู้คนชาวไทยตามเมืองชายแดน อย่าง ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด จับตัวเอาไปเป็นเชลยศึกเป็นขี้ข้าเขมร ทำคนไทยไว้มาก
– โสมทัต เทเวศร์ (สมบัติ พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ), เกร็ดภาษาหนังสือไทย, 2524: 486.
– ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ, ลุยเขมร, 2538: 5.
 
พวกชวนชาติขอมและเขมรพวกนี้ เป็นชาติที่คบค้าสมาคมด้วยไม่ได้ ยิ่งคนที่เป็นใหญ่เป็นประมุขของชาติเขมร คือ สีหนุนั้นยิ่งคบไม่ได้ใหญ่ เพราะสีหนุเขมรนั้นมีพฤฒิกรรมในเชิงปฏิบัติยิ่งไปเสียโจรป่าห้าร้อย
– สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์  ปีที่ 51, 10(2547): 48.
 
รวมไปถึงสักวาสมัยรัตนโกสินทร์ต่าง ๆ 
 
๏ เชิญพระร่วงครองราชย์เพื่อชาติรอด
ไทยปลอดพวกอพยพคบไม่ได้
มันจะมาหมดเขมรไม่เป็นไร
สาปมันไปอยู่ชายแดนสมแค้นเอย
– สักวาเขมรพระประทุม
ประยอม อรฉัตร ซองทอง, สักวาวิวิธ รวมบทกลอนสดเชิงปฏิภาณกวียุคใหม่สมัยรัตนโกสินทร์, 2525.)
 
๏  รู้ว่าขอมแหกคอดมันปลอกปลิ้น
เป็นพวกเฮงสัมรินมาเลี่ยงหลบ
ขอสาปส่งลงข่าวทั่วพิภพ
ไม่ควรคบขอมดำสิ้นชาติเอย
– สักวาพราหมณ์ดีดน้ำเต้า
(ประยอม อรฉัตร ซองทอง, สักวาวิวิธ รวมบทกลอนสดเชิงปฏิภาณกวียุคใหม่สมัยรัตนโกสินทร์, 2525.)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่