เรื่องของเรื่องประเด็นนี้มีอยู่ว่า กันสมายออกมาอ้างว่าปัจจุบันออกัสยังทำแบบนี้อยู่กับแฟนเก่าของตนเอง แล้วฝั่งหญิงสาวเอง ก็ทักแชทมาขอความช่วยเหลือเพื่อที่ต้องการให้กันสมายออกมาเตือนออกัสถึงพฤติกรรมดังกล่าวให้สังคมได้รับรู้อย่างที่เรากำลังได้เห็นกันอยู่ตอนนี้นั้น สิ่งที่ผมสงสัยในประเด็นเรื่องนี้ มันมีดังนี้
1.)ถ้าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง งั้นก็ช่วยเอาแชทของหญิงสาวคนที่ว่ามันลงข่าวประกาศให้สังคมได้รู้ด้วยนะ ไม่ใช่พูดอะไรลอยๆแบบนี้ พูดปากเปล่าใครก็พูดได้ แต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่ควรฟาดกันด้วยหลักฐาน
2.)ปกติแล้วแชทที่เราคุยกันจะต้องมีวันเวลาวันเดือนปีบอกชัดเจน แต่ในข่าวที่ออกมาจะเห็นได้ว่าไม่มีแม้แต่วันเวลา,วันเดือนปีที่คุยกันเลยแม้แต่จุดเดียว ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั้นถ้ากันสมายยอมเสียเวลาเลื่อนแชทขึ้นไปดูวันที่วันเวลาที่คุยกันแล้วแคปมาลงข่าวด้วย ข้อมูลที่พูดมันจะดูน่าเชื่อถือมากกว่านี้นะ เพราะสำหรับผมแล้วมันตัดสินไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่ออกัสทำอยู่ในปัจจุบันจริง เพราะในเมื่อไม่มีวันเวลาที่คุยกันมาพิสูจน์ได้ ผมเลยยังไม่ปักใจเชื่อตรงนี้
ผมขอยกตัวอย่างสั้นๆ 1 เคสแล้วกัน สมมุติว่าผมกับเพื่อนเราทะเลาะกันในปีนี้ 2567 นับไปอีก 4 ปีข้างหน้าผมเข้าวงการเหมือนออกัสกำลังเป็นดาราดาวรุ่งโด่งดังเลยทละครที่เล่น ก็ทำเรตติ้งสูงเชียว แล้วอยู่ๆมันก็แคปแชทที่เราคุยกันในปีนี้แล้วไปออกข่าวให้ร้ายผมในปี 2571 ว่าปัจจุบันผมยังเป็นนิสัยแบบนี้อยู่ผมยังทำแบบนี้อยู่ ซึ่งก็คืออีก 4 ปีข้างหน้า ถึงเวลานั้น ผมก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าอันนี้มันข้อความที่เราคุยกันเมื่อ 4 ปีที่แล้วไม่ใช่หรอ แต่ทำไมถึงกลับมาบอกว่าเป็นข้อความปัจจุบันที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยด้วยซ้ำ
3.)กันสมายออกมาอ้างว่าไม่อยากพูดถึงอะไรมากไปกว่านี้แล้วเพราะเกรงว่าจะไปพาดพิงถึงอีกฝ่ายนึง แต่ถ้าในความคิดของผมนะ ในตอนนี้มันเลยจุดที่จะมากังวลแล้วว่าจะต้องพาดพิงถึงคนนั้นคนนี้ เพราะถ้ามันจำเป็นต้องพาดพิงและเอ่ยถึงแล้วเรื่องทุกอย่างมันจบ แล้วความจริงมันกระจ่างสมควรจะทำ เพราะว่าอะไรรู้ไหมเพราะตนเองเป็นคนเปิดประเด็นก่อนเอง ในเมื่อเลือกที่จะเอาเรื่องขึ้นมาเปิดเผยก่อนก็ควรจะเปิดเผยให้สุดมีหลักฐานมีอะไรยังไงฟาดฟันกันมาให้หมดเลย แล้วเดี๋ยวสังคมจะเป็นคนตัดสินเองว่าใครผิดใครถูก
4.)จากข้อความฝั่งเพื่อนออกัสที่ออกบอกมาว่า ถ้ามีกล้องอยู่บนหัวจะเอามาเปิดให้ดูเลยว่าอะไรเป็นอะไร มันยิ่งทำให้ประเด็นนี้มีความเคลือบแคลงแล้วก็น่าสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะนั่นหมายความว่าถ้าหากมีการขุดคุ้ยเรื่องราวที่มันลึกขึ้นไปมากกว่านี้ มันก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีคดีพลิกเกิดขึ้นก็เป็นได้ และในตอนนี้ออกัสเองก็ได้ออกมาขอโทษและยอมรับแล้วว่าเป็นแชทของตนจริง แต่เป็นเรื่องเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ขอถามคำนึงก่อนว่า แล้วทำไมตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆถึงไม่ออกมาเปิดเผยถึงไม่ออกมาพูดถึงตั้งแต่แรก ถ้าจะบอกว่าปัจจุบันยังทำแบบนี้อยู่จริงๆ ต้องมีมูลเหตุและหลักฐานอะไรที่ชี้ชัดมากพอมากกว่านี้ที่จะบ่งบอกได้ว่าปัจจุบันเขายังทำอยู่ ซึ่งแม้แต่แชทที่คุยกันยังไม่มีแม้แต่วันเวลา,วันเดือนปีที่คุยกันบอกในนั้นเลย ถ้าเรามองเป็นกลางเราจะตัดสินเรื่องนี้ได้ยังไงครับก็ในเมื่อไม่ได้มีวันที่ไม่ได้มีวันเวลาบอกเลยว่าเขาคุยกันอะไรยังไงกันตอนไหน แต่มาบอกแค่ว่าปัจจุบันยังทำอยู่ สำหรับผมมันเชื่อถือไม่ได้เพราะไม่มีอะไรมาการันตีว่านั่นคือข้อความที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจริงๆ ถ้ามองในมุมมองของผมในฐานะผู้ชายด้วยกันนะ จากประสบการณ์ตรง มีคนที่ผมรู้จักอยู่คนนึง เขาเคยเลิกกับแฟนคนแรกมาก่อน เขารักกันมากสนิทกันมากที่สุดถึงที่สุด แต่หลังจากนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายบอกเลิกเขา ไปเพียงแค่เวลา 1 นาทีที่เขาบอกเลิกกัน จากที่รักกัน ก็กลายเป็นไม่รักกันไปเลย ไม่มีความรู้สึกผูกพันอะไรหลงเหลืออยู่อีก ความรู้สึกเปรียบเสมือนแก้วที่มันแตกสลายไปแล้วๆไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อะไรประมาณนั้น คำถามผมคือ ถ้าจะรักถ้าจะหวงถ้าจะหึงกันขนาดนั้น แล้วจะเลิกกันตั้งแต่แรกทำไม? คำว่าคนเราเลิกกันนั่นหมายความว่าเราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหึงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหวงฝั่งตรงข้ามอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่บอกเลิกกันเขาจะไปมีคนใหม่เขาจะไปได้คนอื่นหรืออะไรยังไงเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปหวงหรือจะไปโกรธที่มีคนอื่นมายุ่งกับเขาอีกแล้วเช่นเดียวกัน ผมขอยกตัวอย่างละครเรื่องนึงที่สะท้อนถึงกรณีเรื่องของความรักที่ไม่ลงรอยของคนสองคนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้แล้วกัน "สงครามสมรส" ที่บัวบงกชเองซึ่งเป็นเมียหลวง ก่อนหน้าที่จะมีประเด็นกัน ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาโดยตลอด อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสามคนพ่อแม่ลูก แบบที่ควรเป็น แต่สุดท้ายแล้วความรักก็พังลงเพราะว่าฝ่ายชายนอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่น มีหญิงอื่นไม่พอ ยังมาฟ้องหย่าเมียหลวงอีก แล้วสุดท้ายเป็นยังไงบัวบงกชยังรักเมศอยู่ไหม ก็ไม่แล้ว สิ่งเดียวที่ยังรั้งบัวบงกชแล้วก็เมศได้นั่นก็คือลูก แต่ความรักความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยามันก็ไม่ได้มีเหมือนดังเดิมกันอีกแล้ว เคสของออกัสก็เช่นเดียวกัน ถ้าเขาเป็นมือที่สามไปแทรกกลางความรักของใครเขาแล้วโดนเขาวิพากษ์วิจารณ์อะไรแบบนี้ผมไม่ติดเลยเพราะอันนั้นเขาทำผิดจริงๆ แต่อันนี้ในแชทที่เป็นข่าวดูก็รู้ว่าเป็นการพูดเล่น แต่เพียงเพราะว่าออกัสกำลังเป็นดาราดาวรุ่งพุ่งแรง มันก็เลยมีประเด็นขึ้นมา สิ่งนึงที่เราต้องยอมรับให้ได้ก็คือยุคสมัยนี้เรื่อง 18+ แทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าให้ผมพูดตรงๆนะ คำว่า ค_ย,_ี ถ้าเป็นสมัยนี้พูดกันได้สนุกปาก แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในยุคก่อนๆอย่างเช่นยุค 90 ถ้าหากเราพูดเรื่องใต้สะดือกันแบบนี้ เบาสุดอาจจะโดนนินทาต่อหน้า,ลับหลัง แต่ถ้าหนักสุดถูกด่าถึงบุพการีแน่นอน อย่าว่าแต่คำพูดเลยแม้แต่การกระทำผมเองก็เคยโดน ผมเคยโดนเพื่อนผู้หญิงคนนึงจับเป้าแล้วก็ลูบคลำเป้าผม แบบนี้เรียกคุกคามทางเพศไหม? ก็ใช่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะผมคิดว่าก็แค่เพื่อนเล่นกันก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง สิ่งที่ออกัสพูดก็เช่นกันก็เป็นเพียงคำพูดล้อเล่นที่เพื่อนสนิทชอบพูดเล่นๆกันก็แค่นั้น เพียงแต่ว่าใครจะไปคิดหล่ะครับว่าเพื่อนคนนั้นที่เราคุยด้วยได้ทุกเรื่อง,คุยกันได้หมดทุกอย่าง มันมาจะแทงข้างหลังเราในวันนี้ ผมพูดถูกไหม?
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือกันสมายควรจะออกมาพูดอะไรที่มันมากกว่านี้ ตัดคำว่าเกรงว่าจะต้องไปพาดพิงถึงคนนั้นคนนี้ออกไปได้เลย อย่างที่ผมบอกถ้ามันต้องเอ่ยถึงแล้วเรื่องมันจะจบแล้วมันไปถึงกุญแจสำคัญนั่นก็คือความเป็นจริง เพื่อให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงเสียที คือสิ่งที่เขาควรจะทำ ไม่ใช่ปล่อยเรื่องราวออกมาแล้วก็ให้มันเป็นอยู่แบบนี้หน้าตาเฉย ความเป็นจริงเป็นยังไงก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะในตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเลยจุดที่จะต้องมากังวลแล้วว่าถ้าพาดพิงถึงคนนั้นคนนี้แล้วมันจะดูไม่ดีแล้วมันจะนั่นจะนี่ เพราะถ้ามันต้องพาดพิงแล้วเรื่องราวทุกอย่างมันจบแล้วนำไปสู่ความเป็นจริง และทำให้เรื่องราวมันกระจ่างให้สังคมได้รับรู้ถึงความเป็นจริงได้มันควรจะทำ ก่อนที่เรื่องราวมันจะบานปลายไปมากกว่านี้ เพราะถ้าหากเรื่องราวที่พูดมาในบางส่วน ไม่ใช่ความเป็นจริงทั้งหมด
มีบางสิ่งบางอย่างที่เติมแต่งลงไปเพื่อให้อีกฝ่ายนึงดูแย่มากกว่าความผิดจริงที่ตนได้ทำนั้น ส่วนตัวผมก็มองว่าไม่โอเคสำหรับอีกฝ่ายมากๆนะ #ฝากไว้ให้คิด
รู้สึกสงสัยในเคสของออกัสที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ รู้สึกว่าเรื่องราวแต่ละอย่างทำไมมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
1.)ถ้าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง งั้นก็ช่วยเอาแชทของหญิงสาวคนที่ว่ามันลงข่าวประกาศให้สังคมได้รู้ด้วยนะ ไม่ใช่พูดอะไรลอยๆแบบนี้ พูดปากเปล่าใครก็พูดได้ แต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่ควรฟาดกันด้วยหลักฐาน
2.)ปกติแล้วแชทที่เราคุยกันจะต้องมีวันเวลาวันเดือนปีบอกชัดเจน แต่ในข่าวที่ออกมาจะเห็นได้ว่าไม่มีแม้แต่วันเวลา,วันเดือนปีที่คุยกันเลยแม้แต่จุดเดียว ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั้นถ้ากันสมายยอมเสียเวลาเลื่อนแชทขึ้นไปดูวันที่วันเวลาที่คุยกันแล้วแคปมาลงข่าวด้วย ข้อมูลที่พูดมันจะดูน่าเชื่อถือมากกว่านี้นะ เพราะสำหรับผมแล้วมันตัดสินไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่ออกัสทำอยู่ในปัจจุบันจริง เพราะในเมื่อไม่มีวันเวลาที่คุยกันมาพิสูจน์ได้ ผมเลยยังไม่ปักใจเชื่อตรงนี้
ผมขอยกตัวอย่างสั้นๆ 1 เคสแล้วกัน สมมุติว่าผมกับเพื่อนเราทะเลาะกันในปีนี้ 2567 นับไปอีก 4 ปีข้างหน้าผมเข้าวงการเหมือนออกัสกำลังเป็นดาราดาวรุ่งโด่งดังเลยทละครที่เล่น ก็ทำเรตติ้งสูงเชียว แล้วอยู่ๆมันก็แคปแชทที่เราคุยกันในปีนี้แล้วไปออกข่าวให้ร้ายผมในปี 2571 ว่าปัจจุบันผมยังเป็นนิสัยแบบนี้อยู่ผมยังทำแบบนี้อยู่ ซึ่งก็คืออีก 4 ปีข้างหน้า ถึงเวลานั้น ผมก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าอันนี้มันข้อความที่เราคุยกันเมื่อ 4 ปีที่แล้วไม่ใช่หรอ แต่ทำไมถึงกลับมาบอกว่าเป็นข้อความปัจจุบันที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยด้วยซ้ำ
3.)กันสมายออกมาอ้างว่าไม่อยากพูดถึงอะไรมากไปกว่านี้แล้วเพราะเกรงว่าจะไปพาดพิงถึงอีกฝ่ายนึง แต่ถ้าในความคิดของผมนะ ในตอนนี้มันเลยจุดที่จะมากังวลแล้วว่าจะต้องพาดพิงถึงคนนั้นคนนี้ เพราะถ้ามันจำเป็นต้องพาดพิงและเอ่ยถึงแล้วเรื่องทุกอย่างมันจบ แล้วความจริงมันกระจ่างสมควรจะทำ เพราะว่าอะไรรู้ไหมเพราะตนเองเป็นคนเปิดประเด็นก่อนเอง ในเมื่อเลือกที่จะเอาเรื่องขึ้นมาเปิดเผยก่อนก็ควรจะเปิดเผยให้สุดมีหลักฐานมีอะไรยังไงฟาดฟันกันมาให้หมดเลย แล้วเดี๋ยวสังคมจะเป็นคนตัดสินเองว่าใครผิดใครถูก
4.)จากข้อความฝั่งเพื่อนออกัสที่ออกบอกมาว่า ถ้ามีกล้องอยู่บนหัวจะเอามาเปิดให้ดูเลยว่าอะไรเป็นอะไร มันยิ่งทำให้ประเด็นนี้มีความเคลือบแคลงแล้วก็น่าสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะนั่นหมายความว่าถ้าหากมีการขุดคุ้ยเรื่องราวที่มันลึกขึ้นไปมากกว่านี้ มันก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีคดีพลิกเกิดขึ้นก็เป็นได้ และในตอนนี้ออกัสเองก็ได้ออกมาขอโทษและยอมรับแล้วว่าเป็นแชทของตนจริง แต่เป็นเรื่องเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ขอถามคำนึงก่อนว่า แล้วทำไมตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆถึงไม่ออกมาเปิดเผยถึงไม่ออกมาพูดถึงตั้งแต่แรก ถ้าจะบอกว่าปัจจุบันยังทำแบบนี้อยู่จริงๆ ต้องมีมูลเหตุและหลักฐานอะไรที่ชี้ชัดมากพอมากกว่านี้ที่จะบ่งบอกได้ว่าปัจจุบันเขายังทำอยู่ ซึ่งแม้แต่แชทที่คุยกันยังไม่มีแม้แต่วันเวลา,วันเดือนปีที่คุยกันบอกในนั้นเลย ถ้าเรามองเป็นกลางเราจะตัดสินเรื่องนี้ได้ยังไงครับก็ในเมื่อไม่ได้มีวันที่ไม่ได้มีวันเวลาบอกเลยว่าเขาคุยกันอะไรยังไงกันตอนไหน แต่มาบอกแค่ว่าปัจจุบันยังทำอยู่ สำหรับผมมันเชื่อถือไม่ได้เพราะไม่มีอะไรมาการันตีว่านั่นคือข้อความที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจริงๆ ถ้ามองในมุมมองของผมในฐานะผู้ชายด้วยกันนะ จากประสบการณ์ตรง มีคนที่ผมรู้จักอยู่คนนึง เขาเคยเลิกกับแฟนคนแรกมาก่อน เขารักกันมากสนิทกันมากที่สุดถึงที่สุด แต่หลังจากนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายบอกเลิกเขา ไปเพียงแค่เวลา 1 นาทีที่เขาบอกเลิกกัน จากที่รักกัน ก็กลายเป็นไม่รักกันไปเลย ไม่มีความรู้สึกผูกพันอะไรหลงเหลืออยู่อีก ความรู้สึกเปรียบเสมือนแก้วที่มันแตกสลายไปแล้วๆไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อะไรประมาณนั้น คำถามผมคือ ถ้าจะรักถ้าจะหวงถ้าจะหึงกันขนาดนั้น แล้วจะเลิกกันตั้งแต่แรกทำไม? คำว่าคนเราเลิกกันนั่นหมายความว่าเราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหึงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหวงฝั่งตรงข้ามอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่บอกเลิกกันเขาจะไปมีคนใหม่เขาจะไปได้คนอื่นหรืออะไรยังไงเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปหวงหรือจะไปโกรธที่มีคนอื่นมายุ่งกับเขาอีกแล้วเช่นเดียวกัน ผมขอยกตัวอย่างละครเรื่องนึงที่สะท้อนถึงกรณีเรื่องของความรักที่ไม่ลงรอยของคนสองคนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้แล้วกัน "สงครามสมรส" ที่บัวบงกชเองซึ่งเป็นเมียหลวง ก่อนหน้าที่จะมีประเด็นกัน ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาโดยตลอด อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสามคนพ่อแม่ลูก แบบที่ควรเป็น แต่สุดท้ายแล้วความรักก็พังลงเพราะว่าฝ่ายชายนอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่น มีหญิงอื่นไม่พอ ยังมาฟ้องหย่าเมียหลวงอีก แล้วสุดท้ายเป็นยังไงบัวบงกชยังรักเมศอยู่ไหม ก็ไม่แล้ว สิ่งเดียวที่ยังรั้งบัวบงกชแล้วก็เมศได้นั่นก็คือลูก แต่ความรักความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยามันก็ไม่ได้มีเหมือนดังเดิมกันอีกแล้ว เคสของออกัสก็เช่นเดียวกัน ถ้าเขาเป็นมือที่สามไปแทรกกลางความรักของใครเขาแล้วโดนเขาวิพากษ์วิจารณ์อะไรแบบนี้ผมไม่ติดเลยเพราะอันนั้นเขาทำผิดจริงๆ แต่อันนี้ในแชทที่เป็นข่าวดูก็รู้ว่าเป็นการพูดเล่น แต่เพียงเพราะว่าออกัสกำลังเป็นดาราดาวรุ่งพุ่งแรง มันก็เลยมีประเด็นขึ้นมา สิ่งนึงที่เราต้องยอมรับให้ได้ก็คือยุคสมัยนี้เรื่อง 18+ แทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าให้ผมพูดตรงๆนะ คำว่า ค_ย,_ี ถ้าเป็นสมัยนี้พูดกันได้สนุกปาก แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในยุคก่อนๆอย่างเช่นยุค 90 ถ้าหากเราพูดเรื่องใต้สะดือกันแบบนี้ เบาสุดอาจจะโดนนินทาต่อหน้า,ลับหลัง แต่ถ้าหนักสุดถูกด่าถึงบุพการีแน่นอน อย่าว่าแต่คำพูดเลยแม้แต่การกระทำผมเองก็เคยโดน ผมเคยโดนเพื่อนผู้หญิงคนนึงจับเป้าแล้วก็ลูบคลำเป้าผม แบบนี้เรียกคุกคามทางเพศไหม? ก็ใช่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะผมคิดว่าก็แค่เพื่อนเล่นกันก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง สิ่งที่ออกัสพูดก็เช่นกันก็เป็นเพียงคำพูดล้อเล่นที่เพื่อนสนิทชอบพูดเล่นๆกันก็แค่นั้น เพียงแต่ว่าใครจะไปคิดหล่ะครับว่าเพื่อนคนนั้นที่เราคุยด้วยได้ทุกเรื่อง,คุยกันได้หมดทุกอย่าง มันมาจะแทงข้างหลังเราในวันนี้ ผมพูดถูกไหม?
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือกันสมายควรจะออกมาพูดอะไรที่มันมากกว่านี้ ตัดคำว่าเกรงว่าจะต้องไปพาดพิงถึงคนนั้นคนนี้ออกไปได้เลย อย่างที่ผมบอกถ้ามันต้องเอ่ยถึงแล้วเรื่องมันจะจบแล้วมันไปถึงกุญแจสำคัญนั่นก็คือความเป็นจริง เพื่อให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงเสียที คือสิ่งที่เขาควรจะทำ ไม่ใช่ปล่อยเรื่องราวออกมาแล้วก็ให้มันเป็นอยู่แบบนี้หน้าตาเฉย ความเป็นจริงเป็นยังไงก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะในตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเลยจุดที่จะต้องมากังวลแล้วว่าถ้าพาดพิงถึงคนนั้นคนนี้แล้วมันจะดูไม่ดีแล้วมันจะนั่นจะนี่ เพราะถ้ามันต้องพาดพิงแล้วเรื่องราวทุกอย่างมันจบแล้วนำไปสู่ความเป็นจริง และทำให้เรื่องราวมันกระจ่างให้สังคมได้รับรู้ถึงความเป็นจริงได้มันควรจะทำ ก่อนที่เรื่องราวมันจะบานปลายไปมากกว่านี้ เพราะถ้าหากเรื่องราวที่พูดมาในบางส่วน ไม่ใช่ความเป็นจริงทั้งหมด
มีบางสิ่งบางอย่างที่เติมแต่งลงไปเพื่อให้อีกฝ่ายนึงดูแย่มากกว่าความผิดจริงที่ตนได้ทำนั้น ส่วนตัวผมก็มองว่าไม่โอเคสำหรับอีกฝ่ายมากๆนะ #ฝากไว้ให้คิด