หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธสมควรศึกษาอ่านเพื่อไปค้นคว้าต่อด้วยตนเอง)

กระทู้คำถาม
ที่มา https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/82779

หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธสมควรศึกษา โดยพศิน อินทรวงศ์
(อ่านเพื่อไปค้นคว้าต่อด้วยตนเอง)
โดย พศิน  อินทรวงค์

1. "อิทธิบาทสี่"
ศึกษาเพื่อบ่มเพาะคุณธรรมแห่งความสำเร็จ  ไม่สับสนระหว่างฉันทะกับตัณหา  คือความรักที่จะลงมือทำและความอยากมี อยากได้ อยากเป็น   ผู้เข้าใจอิทธิบาทสี่จะประเมิณตนเองได้ว่า  สิ่งที่ตนกำลังทำอยู่จะพบกับความสำเร็จได้หรือไม่  เป็นหลักธรรมที่หาค้นคว้าได้ทั่วไป

2. "ศีลห้า"
ศีลห้านี้เป็นหลักธรรมที่เราได้ยินกันบ่อยที่สุด  แต่ความจริงแล้ว  เป็นเรื่องละเอียดอ่อน  มีแง่มุมที่น่าสนใจมากมาย  โดยเฉพาะศีลในข้อวาจา  งดเว้นการพูดเท็จ  ซึ่งในสังคมปัจจุบันทำผิดกันมาก  จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา  ในพระสูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า  ผู้ใดก็ตามที่โกหกจนเป็นนิสัย  หรือบิดเบือนความจริงจนเป็นนิสัย  ทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่กระพริบตา  บุคคลผู้นั้นย่อมมีอันตรายเพราะมีโอกาสสูงที่จะต้องตกอบายภูมิ  ดังนั้น  ศีลห้าจึงเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่  ที่จะทำให้ชีวิตของตน  และสังคมสงบได้  คุณธรรมนี้สามารถศึกษาค้นคว้าได้ทั่วไป

3. "อริยสัจสี่"
อริยสัจสี่นี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา  เป็นความจริงของชีวิต  เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบและทำให้พระองค์หลุดพ้น    ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  คืออะไร  ชาวพุทธทั้งหลาย  ไม่ควรสงสัย  คลุมเครือ หรือไม่แน่ใจ  แต่ควรจะมีความเข้าใจ  แตกฉาน  สามารถตอบคำถามและแนะนำได้  หากมีผู้สงสัย   แม้ไม่รู้จักสิ่งนี้  คุณกำลังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าของตนเอง  หลักธรรมข้อนี้  สามารถศึกษาค้นคว้าได้ทั่วไป

4. "ขันธ์ห้า"
หลักธรรมที่ว่าด้วยเรื่องขันธ์ห้านี้  อาจดูไกลตัวสำหรับคนทั่วไป  แต่ที่จริงแล้ว  ขันธ์ห้าคือสิ่งที่ทุกคนต้องศึกษาเล่าเรียน  เพราะขันธ์ห้านี้เอง  ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวกูของกู  พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า  มนุษย์ทั้งหลายไม่เคยตื่นขึ้นเลย  มนุษย์ล้วนใช้ชีวิตอยู่ในการหลับไหล  ก็เพราะไม่รู้เรื่องขันธ์ห้า   ตราบที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องขันธ์ห้า  อย่าพูดเด็ดขาดว่าท่านรู้จักชีวิตของท่านดีแล้ว

5. "ระบบกรรม"
กรรมนิยาม  เป็นหนึ่งในกฏธรรมชาติห้าอย่าง  ที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกมาสั่งสอนชาวโลก  ระบบกรรมเป็นระบบที่ยุติธรรมเสมอ  ไร้ช่องโหว่  ถ้าเราศึกษาจนเข้าใจ  เราจะสามารถตอบคำถามของชีวิตได้อีกหลายอย่าง  ระบบกรรมนี้  ไม่ได้ระบุไว้เพียง  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  หากแต่ยังมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากมาย  ซึ่งถ้าไม่ศึกษา  ก็ไม่มีวันเข้าใจได้จากการคิด  วิเคราะห์ด้วยตนเอง  เพราะต้องใช้ปัญญาระดับพระพุทธเจ้าเท่านั้น  จึงสามารถแยกย่อย  ตีแผ่ออกมาได้  แนะนำให้ศึกษาโครงสร้างของกรรม  เพราะจะสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง  ไม่ต้องไปถามใครต่อใครอีกว่า  ทำไมเราเกิดมาเป็นแบบนี้  ทำไมต้องพบกันคนนี้  ทำไมมีแต่เรื่องแบบนี้  และจะแก้ไขชีวิตได้อย่างไรให้ดีขึ้น  ครุกรรมคืออะไร  อาสันนกรรมคืออะไร  อาจิณกรรมคืออะไร  กตัตตากรรมคืออะไร  เหล่านี้คือสิ่งที่ชาวพุทธคนสนใจศึกษาเล่าเรียน

6. "ภพภูมิและการเวียนว่ายตายเกิด"
ในเรื่องภพภูมินี้  แม้คนส่วนใหญ่จะพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาไม่ได้  แต่หากไม่ศึกษาค้นคว้าไว้เลย  ก็จะเป็นเหตุให้มองโลกผิดไปจากความเป็นจริงอยู่มาก  เพราะความรู้ภพภูมินี้  จะทำให้เราเข้าใจว่า  เราเองไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน  ไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่ใช่คนที่เก่งกาจที่สุด  ตรงกันข้าม  เรานี่แหละที่เคยเกิดเป็นสัตว์นรก  เป็นเปรต  เป็นอสุรกาย  เป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วนับไม่ถ้วน  เป็นเทวดาก็เป็นมาแล้ว    สูงที่สุดก็เคยเป็นมาแล้ว  ต่ำที่สุดก็เคยเป็นมาแล้ว  ทุกคนเป็นเพียงสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิด  ไม่มีใครดีไปกว่าใคร  ความเข้าใจเรื่องภพภูมินี้  จะทำให้เราสำนึกตนเองว่า  เราไม่สมควรประมาทต่อชีวิต อีกทั้งควรมองผู้อื่นดุจกัลยาณมิตร  หรือคนในครอบครัว  ไม่แบ่งเขา  แบ่งเรา  ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ  กระทำตนต่อผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ  ความรู้เรื่องภพภูมินี้  สามารถศึกษาได้จากหนังสือเล่มต่างๆ (ร้านบริเวณท่าพระจันทร์จะมีหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาขายอยู่เป็นจำนวนมาก  ลองไปหาซื้อมาอ่านได้ตามอัธยาศัย) 

7. "จิตสุดท้าย"
หลักธรรมในข้อนี้  ถ้าพูดกันตามตรงอาจเป็นหัวข้อแรกๆ  ที่เราควรทำความเข้าใจ  เพราะความตายนั้นเป็นสิ่งใกล้ตัวมากกว่าที่คิด  วันพรุ่งนี้กับชาติหน้า  เราไม่สามารถรู้เลยว่าอะไรจะมาก่อนมาหลัง ในการเวียนว่ายตายเกิดนั้น  มีคำว่า  "จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป"  คุณคนเดียวเท่านั้นที่เกิด  คุณคนเดียวเท่านั้นที่ตาย  คุณคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือตนเองในนาทีสุดท้ายของชีวิต  ความรู้เรื่องจิตสุดท้ายนี้จะทำให้เราเข้าใจว่า  เราควรวางจิตก่อนตายอย่างไรเพื่อไม่ต้องเสวยภูมิอยู่ในนรก  นรกไม่ได้มีสำหรับคนชั่วเท่านั้น  แต่ยังมีไว้สำหรับคนดีที่มีความประมาทด้วย  เมื่อศึกษาความรู้เรื่องจิตสุดท้ายแล้ว  ขอให้ลองสังเกตอารมณ์ระหว่างวันของตนเองให้ดี  การสังเกตอารมณ์ของตนเอง  เป็นเหมือนการทำนาย  ประเมิณผลแบบคร่าวๆ  ว่าเมื่อสิ้นภพชาตินี้แล้วเราจะไปเกิดเป็นอะไรต่อ  สิ่งนี้ไม่ต้องไปถามใคร  ไม่ต้องไปพึ่งหมอดูที่ไหน  รู้ได้เป็นปัจจัตตังเฉพาะตน  ทำอย่างไร  ได้อย่างนั้น  ฝึกจิตมาอย่างไร  เตรียมรับผลแห่งการกระทำไว้ได้เลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่