JJNY : นพ.เหวง บอกเลิกคิด ‘หยุดประเพณีรปห.’│“เบญจา”ก้าวไกลเซ็ง"ทบ.-ทร."│ทองปลอมยอดขายพุ่ง│“สหรัฐ-ญี่ปุ่น” จับมือยกระดับ

นพ.เหวง บอกเลิกคิด ‘หยุดประเพณีรปห.’ ฝาก รบ.พท.จับมือสังหารลอยหน้า ขึ้นศาลปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4520395
 
 
นพ.เหวง ชี้ ไทยมี ‘2 ประเพณีเลวร้าย’ เลิกคิดหยุดรปห.ได้ ถ้ายังคนผิดยังลอยหน้า ดัน ขึ้นศาลปชช.
 
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ เนื่องในวาระครบรอบ 14 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ (10 เม.ย.2553) คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) จัดงานรำลึกและสดุดีวีรชน ’14 ปี เมษา – พฤษภา 53
ต่อมา เวลา 15.38 น. หลังประกอบพิธีงสงฆ์ มีการร่วมวางพวงหรีดจากญาติวีรชน, คณะประชาชนทวงความยุติธรรม, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช., อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ อดีตประธาน นปช., นพ.เหวง โตจิราการ อดีตแกนนำ นปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย, นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีตสส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำนปช. ไปจนถึงพวงหรีดของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งจากจุฬา ธรรมศาสตร์ ทะลุแก๊ซ ทะลุฟ้า ทะลุวัง เป็นต้น
 
ท่ามกลางนักการเมือง และญาติวีรชนร่วมด้วย อาทิ นายชัยธวัช หัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ เจี๊ยบ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้, น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล อดีตแกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ทนายแจม, นายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.พรรคก้าวไกล ซี่งล้วนเป็นผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์ เมษ-พฤษภา 53
จากนั้น เวลา 16.00 น. อดีตแกนนำ (นปช.) และตัวแทนญาติวีรชน ร่วมกล่าวไว้อาลัยและสดุดีวีรชน
 
นพ.เหวง โตจิราการ อดีตแกนนำ นปช. กล่าวรำลึกความตอนหนึ่งว่า ตนได้นำหนังสือไปยื่นต่อ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขานุการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ทั้งหมด 2 ฉบับ อีกฉบับได้ยื่นต่อนายกฯ ซึ่งอยากให้มาร่วมปราศรัยกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะพวกเราเป็นตัวแทนของความรู้สึก ของผู้รักประชาธิปไตย ต่อสู้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน เป็นการต่อสู้นับกว่า 20 ปี
 
“ในชีวิตของผม มีประเพณีเลวร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อยู่ 2 ประการ คือการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งผมใช้คำว่า ’ประเพณี‘ เพราะเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
 
ฝากถึงพรรคเพื่อไทยด้วยว่า เห็นด้วยหรือไม่กับขนบธรรมเนียมประเพณีที่เลวร้ายที่สุดในประเทศไทย ในการยึดอำนาจรัฐประหาร หากไม่เห็นด้วย ควรมีการยุติและหยุดยั้งการยึดอำนาจ รปห. และประเพณีอันเลวร้ายประการที่ 2 คือ การที่ทหารฆ่าประชาชนสองมือเปล่า แล้วลอยนวล ” นพ.เหวงกล่าว
 
นพ.เหวงกล่าวต่อว่า ชีวิตของตนผ่านมาอย่างยาวนาน ต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 ซึ่งความคิดเพ้อฝัน ที่จะนำไปเขียนในรัฐธรรมนูญว่าการ รปห.ห้ามนิรโทษกรรม ให้เลิกคิดได้เลย เพราะการที่จะสามารถหยุดรัฐประหารได้ คือ การนำคนที่ทำรัฐประหาร มาลงโทษทางกฎหมายให้ได้
 
“ดังนั้นการที่ผมมาวันนี้ และไม่ว่าวันไหนก็ตาม ตราบเท่าที่ประเพณีอันเลวร้าย 2 ประการนี้ ยังไม่ถูกลบเลือนไปจากประเทศไทย ผมก็จะพูดเช่นนี้ไปชั่วกัลปาวสาน หรือจนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ และผมไม่ได้กล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ว่าคนที่ฆ่าประชาชนสองมือเปล่าบนท้องถนน ได้รับการนิรโทษกรรมทั้งสิ้น ยกเว้นครั้งนี้ ที่ไม่มีการนิรโทษกรรม
 
นพ.เหวงกล่าวด้วยว่า ตนขอปรบมือให้กับรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการชันสูตรพลิกศพและนำเรื่องส่ง ศาลชี้ให้มีคำสั่งการเสียชีวิตประมาณ 20 กว่าศพ ซึ่งตนไม่ได้มองว่าคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งประกาศตนว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และเป็นเหตุให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ายึดอำนาจ ซึ่งตนมองว่าประการสำคัญที่สุด คือคำสั่งของศาล อย่างเช่น การเสียชีวิตของประชาชน 6 ศพที่ถูกยิงโดยทหาร ที่หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร บนรางรถไฟฟ้า
 
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีการยื่นเรื่องไปถึงอัยการทหาร แต่ทันทีที่ยื่นไปที่อัยการทหารได้ยุติการสั่งฟ้อง เราจึงยอมไม่ได้ ทำให้ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มีการไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นจำนวนมาก ซึ่งให้คำแนะนำว่าให้มีการแก้กฎหมาย โดยให้ทหารที่ฆ่าประชาชน ต้องขึ้นศาลพลเรือน โดยได้ฝากถึงนายกฯ เนื่องจากพรรคพท.มีเสียงข้างมากในสภา ในการเขียนกฎหมายฉบับนี้ แก้ไข ให้ทหารที่ทำผิดอาญาต่อประชาชน ต้องขึ้นศาลพลเรือน” นพ.เหวงกล่าวทิ้งท้าย


 
“เบญจา” ก้าวไกล เซ็ง "ทบ.-ทร." เลี่ยงให้ข้อมูลธุรกิจพลังงานกองทัพ
https://www.thairath.co.th/news/politic/2777549

เกาะติดทหาร “เบญจา” สส.ก้าวไกล เซ็ง "ทบ.-ทร." เลี่ยงให้ข้อมูลธุรกิจพลังงานของกองทัพ อ้างปั๊มน้ำมันมีเพื่อสนับสนุนภารกิจของหน่วยงาน แต่กลับแสวงหารายได้จากภายนอก รายได้ไม่ส่งคลัง

วันที่ 10 เม.ย. 67 น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม กล่าวถึงการประชุม กมธ. วิสามัญฯ เมื่อวานนี้ (9 เม.ย) มีเรื่องน่าตั้งข้อสังเกต 2 ประเด็น
 
หนึ่ง กรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ให้ความคิดเห็นทางกฎหมายตามที่ กมธ.วิสามัญฯ แจ้งขอ โดยให้เหตุผลว่า เพราะ กมธ. ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ
 
สืบเนื่องจาก กมธ. ต้องการให้มีการตีความสถานะทางกฎหมายของ ททบ.5 และ RTA (Royal Thai Army Enterprise) ว่าเป็นอะไรกันแน่ เช่นเป็นหน่วยงานของรัฐภายใต้กองทัพบกหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการบริหารจัดการในอนาคต แต่กฤษฎีกากลับระบุว่า กมธ. ไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ กฤษฎีกาจึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องให้ความเห็น
 
น.ส.เบญจา กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ตนพบกรณีเช่นนี้ และเห็นว่ามีปัญหา 2 ส่วน 
 
(1) การตีความว่า กมธ.วิสามัญฯ ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจของสภาฯ และสภาฯ แต่งตั้งขึ้น เป็นกรรมาธิการ ไม่ใช่หน่วยงานรัฐนั้น ความน่ากังวลของเรื่องนี้คือ กมธ. ถูกตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาฯ เป็นหนึ่งในกลไกของฝ่ายนิติบัญญัติในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร การที่กฤษฎีกาให้ความเห็นเช่นนี้ จะนำไปสู่ปัญหาของกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล ที่จะเป็นการลดอำนาจการพิจารณา สอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ที่เป็นหน้าที่ของสภาฯ หรือไม่ 
 
(2) หากกฤษฎีกายืนยันว่า กมธ. ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ เหตุใดที่ผ่านมากฤษฎีกาจึงวางตนไม่สม่ำเสมอ เมื่อไหร่อยากให้ความเห็นทางกฎหมายก็ให้ แต่พอถึงเรื่องที่ไม่อยากให้ความเห็นก็อ้างว่าไม่ใช่หน้าที่ อ้างว่า กมธ. ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ ทั้งที่ในอดีต กมธ. คณะต่างๆ ก็เคยเชิญกฤษฎีกามาให้ความเห็นทางกฎหมายหลายต่อหลายครั้ง
 
การหาคำตอบให้ได้ว่า ททบ.5 มีสถานะอะไร เป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากตอนนี้ ททบ.5 ซึ่งประกอบกิจการโทรทัศน์ ที่มีกองทัพบกเป็นผู้รับใบอนุญาต และ RTA ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ ททบ.5 ไม่เคยยอมรับว่าเป็นบริษัทของตนเอง เป็นบริษัทที่มีกองทัพบกถือหุ้นใหญ่เกินกว่าร้อยละ 50 ถือเป็นกิจการที่มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐถือหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น มิใช่กองทัพบกถือหุ้นอย่างโดดๆ เพราะมีข้าราชการทหารเป็นเสมือนผู้แทนในหุ้นนั้น ซึ่งก็เป็นประเด็นข้อสงสัยสำคัญว่า สถานะของ ททบ.5 และ RTA เป็นกิจการของรัฐประเภทใด เข้านิยามตามกฎหมายใด เป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ เพราะขณะนี้ไม่สามารถยืนยันสถานะทางกฎหมายของ ททบ.5 และ RTA ได้
 
หลังจากนี้ กมธ. จะทำหนังสือส่งถึงกองทัพบก เพื่อขอให้กองทัพบกสอบถามไปที่กฤษฎีกาว่าสรุปแล้ว ททบ.5 และ RTA มีสถานะเป็นอะไร เชื่อว่าแนวทางนี้จะได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน เช่นเดียวกับกรณีธนาคารกรุงไทย ที่ตนเคยดำเนินการตามคำแนะนำของกฤษฎีกามาแล้ว
 
กล่าวคือเมื่อครั้งมีคำถามว่าธนาคารกรุงไทยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แนะนำให้สอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะอดีตหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารกรุงไทย ได้คำตอบกลับมาว่าธนาคารกรุงไทยยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมาย 3 ฉบับ ซึ่งหากตนเทียบเคียงกับกรณี ททบ.5 และ RTA จึงควรทำหนังสือถึงกองทัพบกในฐานะผู้ถือหุ้นมากกว่า 50% เพื่อให้กองทัพบกส่งให้กฤษฎีกาให้ความเห็นว่า ททบ.5 และ RTA มีสถานะใดกันแน่
 
เบญจา กล่าวต่อว่า อีกกรณีคือข้อมูลด้านธุรกิจพลังงานของกองทัพ ที่พบว่าบางเหล่าทัพพยายามหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา
โดยในอนุกรรมาธิการก่อนหน้านี้ ได้ให้เหล่าทัพต่างๆ เข้ามาชี้แจง พบว่ากองทัพอากาศและกองบัญชาการกองทัพไทยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ 2 เหล่าทัพที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง คือกองทัพเรือ ไม่สามารถให้ความชัดเจนเกี่ยวกับกิจการที่ตัวเองมี และอ้างว่าสถานีบริการน้ำมันเป็นเพียงส่วนสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์หรือภารกิจของกองทัพเรือ ทั้งที่ความจริงกองทัพเรือมีรายได้จากหน่วยบริการเหล่านี้

อีกหน่วยงานคือ กองทัพบกที่ไม่ยอมให้ข้อมูลตามที่อนุกรรมาธิการขอไป อ้างว่ากิจการ เช่น สถานีบริการน้ำมัน ไม่ใช่กิจการด้านพลังงาน จึงไม่มีเอกสารรายรับ รายจ่าย รายได้ หรืองบการเงิน ตามที่ขอไปมาชี้แจง ซ้ำยังขอเวลารวบรวมเอกสารเพิ่มเติมทั้งที่กองทัพบกเองก็เคยถูกขอมาแล้วหลายครั้ง
 
"เรื่องนี้ทำให้นึกถึงกรณีการผลิตปิโตรเลียมที่บ่อน้ำมันในกลุ่มแอ่งฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือชี้แจงว่าสงวนพื้นที่ไว้เป็นหลักประกันความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในช่วงวิกฤติ แต่ความเป็นจริงคือปิโตรเลียมถูกขุดและนำมากลั่นที่โรงกลั่นน้ำมันฝาง ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น แนฟทา (Naphtha) น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกส่งออกไปขายภายนอกยังคู่ค้าเอกชน ทั้งที่ปิโตรเลียมถือเป็นสมบัติของชาติ เป็นทรัพยากรร่วมกันของคนไทยทุกคน หากจะทำธุรกิจด้านนี้ต้องเสียค่าภาคหลวงเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ปตท. แต่กรณีบ่อน้ำมันที่ฝาง ตลอดกว่า 66 ปีที่ผ่านมา กรมการพลังงานทหารกลับครอบครองไปใช้สร้างรายได้ให้หน่วยงานตัวเองโดยไม่เสียค่าภาคหลวงแต่อย่างใดเบญจา กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่