อีกมุม(เล็กๆ)ของนักศึกษาไทยในเกาหลี

เกริ่นก่อนว่าช่วงที่ตัดสินใจมาเรียนที่เกาหลี เป็นช่วงแรกๆของโควิด เราได้ลองสมัครไปแล้วหลายที่หลายประเทศ แต่ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงรัดเข็มขัดของหลายๆมหาลัย การรับเด็กต่างชาติมาเรียนก็เป็นเรื่องยากมากๆ เราเลยจับพลัดจับผลูมาได้ทุนมาเรียนปเอกที่เกาหลี สายวิทยาศาสตร์ ช่วงเลือกมหาลัยเราเลือกจากมหาลัยที่ระบบการสอนเป็นภาษาอังกฤษล้วน เลยมาลงเรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่งในแดจอน

ในปีแรก เราต้องเรียนภาษาเกาหลีเป็นเวลา1ปี โดยที่ *ไม่สามารถออกจากประเทศได้* เป็นเวลา1ปี ตามเงื่อนไขทุน 
ช่วงการเรียนภาษา เราไม่ได้เจอปัญหาอะไรมากมาย มีเพื่อนต่างชาติหลากหลายจากทั่วโลก ได้ลองใช้ชีวิต ใช้ภาษาเกาหลีในชีวิตประจำวัน วันหยุดก็ออกไปสำรวจเมืองกับเพื่อนๆ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าสำหรับเรามากๆ

แต่เรื่องมันอยู่ตรงนี้ค่ะ จุดเริ่มต้นของความปวดหัว ในปีที่สองจนถึงปัจจุบัน
ในปีที่สองเราย้ายจากรรสอนภาษามามหาลัยในแดจอน อาจารย์ที่ปรึกษาแกรับเราเข้าแลปตั้งแต่เราอยู่ไทยโดยที่เราแค่ยื่นresume ไม่ได้สัมภาษณ์อะไรกัน
ในขั้นตอนของการเลือกมหาลัย เราเลือกจากแรงค์มหาลัย ระบบความช่วยเหลือ แหละความพร้อมในการรับมือนศต่างชาติ ประวัติการใช้ชีวิตของอาจารย์ที่ปรึกษาว่าเคยใช้ชีวิตในต่างแดนมั้ย เพราะเรารู้ตัวว่าเวลาแค่1ปี ภาษาเกาหลีเราก็คงจะไม่ได้เก่งพอที่จะเรียนวิชาการเป็นภาษาเกาหลี หรือคุยในหัวข้อวิชาการเป็นภาษาเกาหลีได้มากนัก

จากนักเรียนภาษาสู่นักศึกษาปเอก ชีวิตเหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามเลือกสภาพแวดล้อมที่ไม่โหดจนเกินไปในการใช้ชีวิต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหามันมีอยู่ทุกที่จริงๆ วันแรกของการเจอกับที่ปรึกษา เป็นอะไรที่ฟังใจเรามากจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่เขาพูดคือ "รู้มั้ยว่าปัญหาของคุณคืออะไร คุณไม่เก่งภาษาเกาหลีไง" ... โอ้โห ตั้งแต่วันแรกเลยหรอ 555 อะไรกันเนี่ย
 
ที่แลปของเราใช้ภาษาเกาหลีเป็นภาษากลาง(ถึงจะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการก็เถอะ) การประชุม การคุยงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในที่ประชุมเป็นเกาหลีล้วนถึงแม้ว่าในแลปจะมีนักศึกษาต่างชาติสองคน แม้กระทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอาจารย์ที่ปรึกษาก็อธิบายแต่ภาษาเกาหลี เรารู้สึกเหมือนเป็นอากาศทุกครั้งที่ประชุม มันไม่สำคัญเลยว่าเราจะเข้าใจหรือจะเสนอความคิดเห็นมั้ย แต่เราต้องไปอยู่ตรงนั้นในที่ประชุมให้คนครบ ถ้าไม่ร่วมก็โดนตำหนิ นินทา

มีอยู่ครั้งนึงหัวหน้าแลปเรียกเราไปคุยว่ามีคนมาฟ้องว่าเราไม่ตั้งใจฟังประชุม  เราเลยสวนกลับไปว่าเราฟังไม่ออก555 แล้วมันก็ไม่ใช่แค่เราที่ไม่ได้โฟกัสกับการประชุม เด็กพื้นที่เล่นมือถือไม่ได้ฟังทำไมถึงมาโฟกัสเราล่ะ

มีวันนึงหัวหน้าคนดีคนเดิม ก็มาพูดใส่เราว่า "เนี่ย โปร(ต่อจากนี้ขอเรียกอาจารย์ที่ปรึกษาว่าโปรนะคะ) เขามาเล่าให้ฟังว่าคนไทยนิสัยแปลกๆ" จนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าไอที่ว่าแปลกมันแปลกยังไง 555

นานวันเข้า เราเริ่มทนไม่ไหวเพราะของเราหายบ้าง เครื่องทดลองที่เราตั้งค่าไว้มีคนใจดีมาเปลี่ยนคอนดิชันบ้าง โดนเหน็บบ้าง เราเลยไปหาโปรเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตของเราในแลปและข้อเสนอ ถึงจุดนี้เราไม่ได้สนใจอะไรในคุณภาพชีวิตแล้ว ขอแค่เข้าใจหรือได้ความรู้ในที่ประชุมบ้าง ได้ออกความเห็นบ้างในที่ประชุม

เอาวะไหนๆโปรก็เคยใช้ชีวิตในเมืองนอกมา ท่านน่าจะเข้าใจเราบ้างไม่มากก็น้อย

ผลลัพธ์ผิดคาดค่ะ โดนด่าค่ะ 555555
"คุณคิดว่าแจ้งผมแล้วมันจะช่วยอะไรได้ คุณคิดว่าถ้าคุณไปทำงานคุณจะบอก CEO โดยที่ไม่บอกผู้จัดการก่อนหรอ มันไม่ด้ายยย แล้วคุณจะเปลี่ยนคนอื่น บังคับคนอื่นให้พูดอังกฤษหรอ มันไม่ด้ายยยย"
อ่าโอเคเบบี้มายด์เลยค่ะ ถึงจุดนี้ต่างสว่างแพร่บ ถ้าโปรทัศนคติขนาดนี้เด็กจะขนาดไหน ยอมค่ะ ขออยู่เงียบๆเอาจบพอก็ได้

จริงๆเรื่องมันมีอีกร้อยแปดพันอย่างเลยค่ะ อย่างพวกโปรเจกต์อื่นๆนอกจากงานวิจัยส่วนตัว แทบไม่ถึงมือเด็กต่างชาติ รวมทั้งเงินด้วย
ใช่เลย! เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใคร พอเรากับคนต่างชาติอีกคนหอบเงินทุนมาด้วย เขาก็ไม่ค่อยอยากจ่ายเงินพวกเรา เหมือนได้แรงงานฟรีบวกเพิ่มชื่อเสียงแลป และในจุดนี้ (จะมีอีกกี่จุดนะ แหะๆ) ถึงกับตาสว่างว่า อ้อ นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าอยู่เท่าที่เขาให้อยู่ ทำดีเสมอตัวจริงๆ

แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีผลกับจิตใจเรา คลับคล้ายคลับคลาว่าไม่ว่าอะไรก็ตามเราจะทำถูกแต่เราก็จะผิดอยู่ดี เหมือนโดน gas lighting ให้ผิดในทุกเรื่อง จนเกือบจะเป็นซึมเศร้า ดีหน่อยที่มหาลัยเรามีศูนย์สำหรับนักศึกษาต่างชาติ และนักจิตวิทยาประจำมหาลัยที่พูดภาษาอังกฤษได้ ก็เหมือนเป็นกาวรักษาแผลใจให้เราปรับทัศนคติในสถานการณ์ที่เราเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไม่ได้

หลังจากที่เราได้คุยกับเพื่อนๆทั้งต่างชาติ คนไทย คนเกาหลีนอกแลป เราก็ได้ข้อสรุปว่าทุกอย่างมันแล้วแต่โปรจริงๆว่าเขาจะคุมแลปไปในทิศทางไหน คณะไหนต่างชาติเยอะหน่อยก็จะอินเตอร์มากขึ้น บังเอิญว่าคณะเรามันสายโบราณซะหน่อย ก็เลยเป็นอย่างนี้ตามสภาพ

กลับกันชีวิตในฝั่งเด็กเกาหลีก็ลำบากไม่ใช่น้อย สังคมที่นี่เป็นสังคมแข่งขัน (แม้ว่าต่างชาติจะไม่อยู่ในสมการนี้ก็ตาม 555) ต้องเอาใจโปร โดนโปรใช้งานหนักมากกกกก แต่มันก็แลกมากับการได้เป็นที่มักที่ชอบของโปรและโอกาสหลายๆอย่างที่ตามมา อาจจะเป็นข้อดีของการเป็นต่างชาติ(รึเปล่ากันนะ)ที่เราไม่ได้โดนจับตามากทำให้เรามีเวลาในการสนใจแต่งานวิจัยตัวเอง

ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ทิ้งภาษาเกาหลี ยังเรียนเพิ่มเติมอยู่บ้าง เพราะเป็นนักเรียนที่นี่ต้องคอยจัดการเอกสารใบกำกับภาษี ใบสั่งซื้ออุปกรณ์ทดลอง ติดต่อเจ้าหน้าที่เกาหลี ฯลฯ ได้แต่หวังว่าถ้าเราเก่งขึ้น สักวันมันจะพอมีพื้นที่ให้เราได้หายใจ ได้พอจะแสดงศักยภาพบ้าง

ขอจบกระทู้นี้แต่เพียงเท่านี้ค่า ถ้าเพื่อนๆท่านไหนอยากแลกเปลี่ยนความเห็น สามารถทิ้งคอมเมนต์ได้เลยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่