อย่านิ่งนอนใจเมื่อลูกปวดท้องเรื้อรัง

     อาการปวดท้องในเด็กเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลำไส้อักเสบท้องอืด แก๊ส อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในเด็กทุกวัย  อย่างไรก็ตามหากเด็กบ่นว่ามีอาการปวดท้องบ่อย ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดท้องก่อนที่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้น

ภาวะปวดท้องเรื้อรังหมายความว่าอย่างไร
     ภาวะปวดท้องเรื้อรัง คือ อาการปวดท้องนานกว่า 3 เดือน อาจปวดแบบเป็นๆหายๆหรือปวดเรื้อรัง ซึ่งสามารถเกิดจากโรคที่ไม่รุนแรง เช่น ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ไปจนถึงการเป็นโรคที่รุนแรง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบเรื้อรัง มะเร็งลิมโฟมา นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

ปวดท้องเรื้อรังอย่างไรจึงควรมาพบแพทย์
📌 อาการปวดท้องเกิดขึ้นบ่อยจนต้องหยุดโรงเรียน
📌 กินอาหารได้น้อยลง น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์
📌 น้ำหนักลด
📌 มีการขับถ่ายที่ผิดปกติไป เช่น ท้องผูกหรือท้องเสีย

อาการปวดท้องเรื้อรังเป็นอย่างไร
      ปวดท้องเรื้อรังมีอาการแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ปวดและสาเหตุของการปวดท้องซึ่งเด็กอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น
📌 คลำพบก้อนก้อนในช่องท้อง
📌 ท้องอืดบวมผิดปกติ
📌 เลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด
📌 อ่อนเพลีย
📌 มีไข้
📌 น้ำหนักลด ทานอาหารได้ลดลง ความอยากอาหารลดลลง
📌 ตัวเหลือง
📌 มีแผลที่ก้น หรือในช่องปาก
📌 ซีด

สาเหตุของอาการปวดท้องเรื้อรังมีอะไรบ้าง
     อาการปวดท้องเรื้อรังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจากความผิดปกติทางร่างกายหรือปัจจัยด้านจิตใจ ดังนี้
📌 ท้องผูก
📌 ท้องเสีย เช่น จาการติดเชื้อ ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้(Lactose intolerance)
📌 ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease, IBD)
📌 ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome, IBS)
📌 การเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารผิดปกติ เช่น มีแก๊สหรือมีการย่อยที่ผิดปกติ
📌 กระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร
📌 โรคตับอ่อนอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
📌 โรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหารหรือลำไส้ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
📌 ปวดท้องจากสาเหตุด้านจิตใจ เช่น ความเครียดจากปัญหาที่โรงเรียนหรือที่บ้านหรือต้องการเรียกร้องความสนใจ

วินิจฉัยได้อย่างไร
     แพทย์วินิจฉัยโดยการซักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไป ดูการเจริญเติบโตของเด็กและพิจารณาตามประวัติบ่งชี้ว่าต้องตรวจร่างกายเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง เช่น
📌 การทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้องเพื่อดูความผิดปกติในช่องท้อง เช่น ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี เนื้องอกในช่องท้อง
📌 การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT Scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในช่องท้องอย่างละเอียดชัดเจน ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ
📌 การส่องกล้องทางเดินอาหาร  เพื่อวินิจฉัยอาการผิดปกติในท่อทางเดินอาหาร  เช่น การอักเสบเป็นแผลและเลือดออกในกระเพาะอาหารและ📌 ลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อ เนื้องอก นอกจากนี้ยังสามาถสามารถตัดชิ้นเนื้อหรือเยื่อบุทางเดินอาหารที่สงสัยไปตรวจเพิ่มเติม และสามารถให้การรักษาผ่านทางการส่องกล้องได้อีกด้วย
📌 เจาะเลือดเพื่อดูการอักเสบและแพ้อาหารในกรณีที่สงสัย
📌 การตรวจอุจจาระหาการติดเชื้อ การตรวจพิเศษทางอุจจาระที่บ่งชี้ถึงการอักเสบในลำไส้และภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำมากขึ้น
📌 การเป่าลมหายใจเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร และเป่าลมหายใจเพื่อตรวจหาภาวะการย่อยน้ำตาลแลคโตสฟรุกโตสที่ไม่สมบูรณ์

การรักษาและการป้องกัน
     เบื้องต้นสามารถป้องกันได้ด้วยสุขอนามัยที่ดี เช่น กินร้อน ใช้ช้อนกลาง กินอาหารครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ
สำหรับการรักษาแพทย์จะรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ ซึ่งส่วนใหญ่รักษาไม่ยากหากทราบสาเหตุที่แท้จริง 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่