JJNY : อดีตเสื้อแดงทวง 'นิรโทษกรรมปชช.'│78.85% ไม่เห็นด้วยมียาบ้า5เม็ด│สิบล้อโอด ขึ้นดีเซล│สงครามแตกหัก!ทัพรัสเซียรุกคืบ

อดีตเสื้อแดง เจ็บใจ โชว์ 'ขันสงกรานต์เลือด' ไม่ได้สาดน้ำ เจอแต่กระสุน ทวง 'นิรโทษกรรมปชช.'
https://www.matichon.co.th/politics/news_4514192

อดีตเสื้อแดง เจ็บใจ โชว์ ‘ขันสงกรานต์เลือด’ ไม่ได้สาดน้ำ เจอแต่กระสุน ทวง ‘นิรโทษกรรมปชช.’
 
2 ป้าอดีตเสื้อแดง เจ็บใจ โชว์ ‘ขันสงกรานต์เลือด’ ทวง ‘นิรโทษปชช.-ดันเข้าศาล ICC
 
เมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่ร้านอะไรอะไร (Arai Arai) ใกล้กับวงเวียน 22 ถนนไมตรีจิต เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ พิพิธภัณฑ์สามัญชน ร่วมกับ ARAIARAI และ เครือข่ายกวีสามัญสำนึก จัดกิจกรรม The Reader’s Night ตอน ‘the Red Memories สดับเสียง(อักษร)ในตะกอนความทรงจำสีแดง’ อ่านออกเสียงเรื่องราวของผู้ผ่านเหตุการณ์ ฟังบทกวีถึงนักสู้และผู้วายชนม์ พร้อมสนทนา ย้อนรำลึกถึงผู้คนและเหตุการณ์
 
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในร้าน มีการจัดแสดงสิ่งของซึ่งล้วนเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของ ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในปี พ.ศ. 2553 อาทิ เสื้อยืด ผ้าโพกหัว ขัน มือและเท้าตบ ตลอดจนนิตยสารและสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย โดยพิพิธภัณฑ์สามัญชน
 
นอกจากนี้ หลังอ่านหนังสือและบทกวี ยังมีการจุดเทียนรำลึก ในโอกาสครบรอบ 14 ปี เหตุการณ์ปราบปรามคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สงกรานต์เลือด 10 เมษายน 2553 และเหตุการณ์ล้อมปราบ ที่แยกราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553
 
บรรยากาศเวลา 17.50 น. อดีตผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ได้แก่ น.ส.สาคร คำแถลง หรือ ป้าสาคร, นางนภัสสร บุญรีย์ หรือ ป้านก ล้อมวงบอกเล่าถึงเหตุการณ์
 
นางนภัสสร หรือ ป้านก เผยว่า ตนอยู่ในเหตุการณ์ วันที่ 10 เมษายน เพราะตอนนั้นตกงาน จึงมานอนที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ วันที่เริ่มยิงแถวสตรีวิทยา การ์ดเมธี ประกาศรับอาสาสมัคร จึงแบ่งกำลังเป็น 2 ส่วน แต่โดยส่วนมาคนจะตามแกนนำไปราชประสงค์เยอะ
 
พอเขาประกาศของอาสาสมัครที่ สตรีวิทยา ลูกชายก็วิ่งไป ตอนนั้น จาตุรนต์ ฉายแสง พูดอยู่ ที่เวทีผ่านฟ้า แล้วมีการโปรยกระดาษลงมาจากฮอล ให้เลิกชุมนุม ก่อนจะเป็นแก๊สน้ำตา
 
“มีการโปรยแก๊สน้ำตาลมา ทำไงดี มีคนไห้นมลูกอยู่ พวกผู้ชายก็เอากระสอบที่ใส่น้ำไปคลุม” นางนภัสสรเผย
 
เมื่อถามว่า ตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้า มีสัญญาณหรือไม่ว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ?

นางนภัสสรเผยว่า ไม่มีสัญญาณ ตอนนั้นยังมีการแจกขันแดงให้เล่นน้ำกันแล้ว
ขันแดงคืออาวุธ ใครมีเยอะเขาก็ตามจับ” นางนภัสสรเผย
 
นางนภัสสรกล่าวอีกว่า ช่วงที่เริ่มสลายการชุมนุมน่าจะประมาณ 16.00 น. เขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์โปรยกระดาษ สักพักก็เป็นแก๊สน้ำตา โดยข้อความที่โปรยลงมา ความว่า
 
การบุกรุกในสถานที่ที่ห้าม ถือเป็นความผิดตามกฏหมาย ขออย่างเชื่อตามคำยุยงปลุกปั่น ขอให้พี่น้องหยุดทำลายประเทศไทย และกลับบ้านกันเถอะครับ
 
เรียกว่าเป็นการเตือนได้หรือไม่ ?

นางนภัสสรเผยว่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแก๊สน้ำตา ห่างกันเป็นชั่วโมงอยู่
 
พวกผู้ชายใครมีประทัดก็ยิงสวน แต่ยิงไม่ถึง ตอนนั้นช่วงโพล้เพล้แล้ว 17.00 กว่า ยังไม่มืดดี เราวิ่งไปตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปเอาลูกออกมา เอาน้ำราดหน้าให้ แล้วออกไปด้านหลังเพราะเราไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออก เขาโปรยจากเวทีผ่านฟ้าก่อน แล้วไล่มาทางแยกคอกวัว
 
ประชาชนที่ไม่เคยโดน เขาก็กลัว พวกผู้ชายที่เป็นการ์ด ฝึกมา ก็เก็บเข้าถุงมัดปากไม่ให้ควันมันฟุ้งออกมา แต่ชาวบ้านไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เสียงปืน จะมาจากทางคอกวัว และนางเลิ้ง แถวกองทัพบก ก็มา” นางนภัสสรกล่าว และว่า
 
วันนั้นไม่น่าจะเป็นวันนองเลือด น่าจะเป็นวันสงกรานต์เล่นน้ำ เพราะเราไปเรียกร้องให้ยุบสภา ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็บึ้มบั้ม คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำ อยู่กลางเมือง กลางกรุงฯ ขนาดนั้น
 
นางนภัสสรเผยถึงเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องช่วงเดือนเมษายน-พฤษาคมอีกว่า ตอนนั้นตนอยู่ตรงกลุ่มเชียงใหม่ 51 แถว รพ.จุฬาลงกรณ์ วันที่ 13 เมษายน 2553 นอนตรงอนุสาวรีย์ ที่สวนลุมพินี แต่ทุกเช้าจะกลับมาเวลา 10 โมง เพื่อทำกาแฟ ข้าวต้ม เป็นแม่ครัว ทำอะไรได้ก็ช่วยทำ ซึ่งจะมีเต็นท์พระอยู่ติดสวนลุมฯ แล้วถัดมาเป็นเต็นท์อาหาร ตนอาศัยนอนอยู่แถวนั้น
 
เมื่อถามถึงเหตุการณ์เสี่ยงตาย ?
 
นางนภัสสรเผยว่า คือช่วงวันที่ 18-19 พฤษภาคม ที่มีการอบย่างหนัก ได้ยินเสียงปังๆ ที่สวนลุมฯ
 
ยังคิดอยู่ว่ากระสอบข้าวเอาอยู่ไหม ถ้าจะคลุมแล้วแอบดู ว่าใครยิง 3 วันสุดท้ายเขาห้ามคนในออก คนนอกเข้า
 
นางนภัสสรกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสลายการชุมนุม เช้าวันที่ 19 พฤษภาคมที่แยกราชประสงค์ว่า เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้ระบบจากเบาไปหาหนัก แต่ทำไมไม่มีน้ำยิงมาก่อน มีแต่กระสุน
 
การ์ดบอกให้ป้าๆ ถอยออกมาได้แล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ระดมมา แต่ตอนกลางคืนเราไปนอนฟังเสียง ว่าฝ่ายไหนยิง เราได้ยินเขาพูดว่า เอ็ม 79 มาเป็นสิบๆ ลูกแล้ว ถ้ามันลงรางรถไฟ สงสัยเราหัวแบะแน่
 
พอเขายิงมามากๆ พระก็หิ้วบาตรกันอิรุงตุงนัง จะต้มกาแฟก็ต้มไม่ทัน เราก็เอาไข่ลงไปเต็มกระทะ ใครจะกินก็กิน คุณณัฐวุฒิ อยู่หลังเวที ประกาศให้ถอยกลับบ้าน เขาจะมอบตัว เข้า รพ.ตำรวจ แต่ประชาชนไม่ยอม จะสู้ แต่เรายังต้มมาม่าอยู่ เพราะคนหิว นักข่าวก็เยอะ จากนั้นก็เข้าไปหลบที่วัดปทุมวนาราม” นางนภัสสรกล่าว
 
นางนภัสสรกล่าวต่อว่า เวลานั้นมีสายโทรเข้ามาว่า ให้ออกมาทางสนามกีฬา มีผู้ใหญ่รับรองความปลอดภัยให้ เราก็เดินมาทางโรงหนังลิโด้ พากันออกไป เจอทหารกันเป็นกลุ่มเลย ทหารเอาปืนเล็ง ถามว่าจะไปไหนกัน เราก็บอกว่า ‘ไหนรัฐบาลบอกว่า ใครจะกลับบ้านให้ออกมา’ เขาบอกให้เรานั่ง เขาก็วอคุยกัน แล้วค่อยให้เราออกไป เราขึ้นไปบนสะพานลอย (สกายวอล์กในปัจจุบัน) ปืนจ่อเป็นสิบๆ คิดอยู่ว่า สมองระเบิดแน่
 
เจ้าหน้าที่โคตรเยอะเลย เพื่อนอยู่ในวัดปทุมฯ ก็เยอะ ออกมาแถวหน้าหอศิลป์ เราก็โทรศัพท์หาเพื่อนว่า ตรงนี้ทหารเยอะมาก เขารื้อทุกอย่างในกระเป๋า เทออกมา ช่องเล็กๆ ก็ดูหมด เพื่อนเราดันหยิบลูกกระสุนออกมาด้วย เขาก็ยึดกลับไป เจ้าหน้าที่ถามว่า รู้ไหมว่าอะไร เพื่อนบอกไม่รู้ (หัวเราะ) เก็บไว้เป็นที่ระลึก กระสุนปืน M16 เขายึดบัตรเราไป แต่สุดท้ายก็ปล่อยกลับ ไล่เราขึ้นรถเมล์ พอเต็มแล้ว ทหารก็เอาปืนคุม ไปปล่อยที่ไหนไม่รู้” นางนภัสสรเผย
 
เมื่อถามว่า กลัวหรือไหม ว่าขึ้นรถไปจะไม่ได้กลับมา?
 
นางนภัสสรเผยว่า กลัว เพราะมีอาจารย์เคยบอกว่า ถ้าเขาจะไปส่งให้บอก ‘ไม่ต้อง กลับเอง’
 
แต่จะกลับเองได้อย่างไร ปืนจ่อขนาดนั้น ในใจคิดว่าถ้าเอาไปใส่ตู้คอนเทนเนอร์ปล่อยลงทะเล ปล่อยลงน้ำให้จรเข้กิน เพื่อน 40-50 คนก็กลัว มองหน้ากันแต่ไม่กล้าพูด
 
ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่รู้จะเอากูไปทำอะไร เพราะเคยมีเพื่อนผู้ชายหายไปเยอะ แล้วไม่ได้กลับมา คิดว่าถ้าเราหายสาปสูญไปจะเป็นอย่างไร” นางนภัสสรเผย
 
ในช่วงท้าย นางนภัสสร ยังฝากถึงรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยด้วยว่า ตนขอบอกตรงๆ กับ พรรคเพื่อไทย ในเมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว ตอนนี้เรากำลังทำเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ขอให้รับไว้ เมื่อก่อนตนรัก นายทักษิณ ชินวัตร อย่างมาก ตอนนี้ก็ยังรักอยู่ แต่หมดศรัทธา เพราะมีคนติดคุกตอนนี้เกือบ 50 แล้ว
 
อานนท์ นำภา เขาก็อยากอยู่กับลูกกับเมีย เหมือนที่คุณอยากเลี้ยงหลาน คุณก็รักหลาน อานนท์ นำภา ก็รักลูก ถ้าคุณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สัก 1-2 เดือนจะไม่ว่า แต่คุณไม่ได้เข้าเลยสักวัน
 
อานนท์คดียังไม่ถึงที่สุด ทำไมไม่ให้ประกันตัวเขาออกมาอยู่กับลูก ฝากรัฐบาลด้วย นิรโทษกรรมประชาชนทุกกรณี” นางนภัสสรกล่าว
 
ด้าน น.ส.สาคร กล่าวว่า ช่วงนั้นตนทำงานโรงงาน แต่ไปร่วมชุมนุมอยู่แถวสะพานผ่านฟ้า แล้วย้ายไปราชประสงค์ พอใกล้มืด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศพอดี จึงเลยย้ายมาแยกคอกวัว เพื่อนเรียกขึ้นรถกันมา
 
เข้าไปก็ได้ยินเสียงเลย แปะๆๆ แล้วเห็นคนล้ม ปืนอะไรวะทำไมเสียงเหมือนประทัดเลย เราไม่เคยเห็น เห้ย อันนั้นชาวบ้านนะ คุณคิดยังไงมาทำกับประชาชนแบบนี้ เขามือเปล่า แก๊สน้ำตาที่เวที หยุดไปแล้ว แต่อันนี้คือที่สตรีวิทยา เราก็โดนแก๊สน้ำตาด้วย
 
น.ส.สาครกล่าวอีกว่า เราเข้าไปตรงฐาน ถึงเห็น ว่าหลานอยู่ในนั้น บอกให้ถอยออกมา
 
เราแอบอยู่ตรงมุมโค้ง เห็นศพแล้วศพเล่าที่หาใเข้ามา มันก็ผ่านตาเรา บางคนไม่ตายก็เจ็บเฮ้อ ไม่น่าทำแบบนี้ เราอยู่คอกวัวถึงประมาณเที่ยงคืน จนเริ่มสงบ ย้อนกลับมาก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” น.ส.สาครกล่า
 
จุดไหนคิดว่าเป็นเหตุการณ์เสี่ยงตายที่สุด?
 
น.ส.สาครเผยวาา ถ้าไม่มีเสียง เอ็ม 79 ดัง จุดที่ มีคนใหญ่ๆ เสียชีวิต ตรงนั้นจะตายเยอะ
 แต่งง ว่า ‘เขตพื้นที่ใช้กระสุนจริง’ มันไม่ควรมี มันไม่ใช่สนามรบ แล้วคนที่มาก็เป็นชาวบ้าน จากต่างจังหวัด
 
เมื่อถามว่า หลังสลายชุมนุมครั้งนั้น เกิดอะไรขึ้น?
 
น.ส.สาครกล่าวว่า รุ่งขึ้น เราก็ไปช่วยกันย้ายของ วันเดียวกัยที่มีการยกโลงแดงขึ้นไปไว้ อยู่ที่แยกคอกวัว จากนั้นจึงย้ายเวที ซี่งช่วงก่อนมีการสลายใหญ่ มีสัญญาณ มีข้อมูลว่ามีอาวุธสงครามร้ายแรง มีการประกาศกฎหมายพิเศษ
 
เราอยู่สะพานลอยแรก หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ พอมีคนตายคนนึง เขาก็จะเปิดเพลง ‘นักสู้ธุลีดิน’รับไม่ไหว เดี๋ยวก็มีคนหามเข้ามา พันธมิตรก็ยิงหัวนอตเข้ามาจากฝั่งทหาร พวกเราก็เอาสแลนไปจึงไว้ไม่ให้โดนประชาชน
 
โดนแก๊สน้ำตา หนีไปอยู่ในตู้โทรศัพท์ ตู้นิดเดียวอยู่เป็น 10 คน ต้องเอาถุงคลุมหัวกันแก๊ส ถ้าไม่มีลมก็แย่เหมือนกัน” น.ส.สาครเผย
 
น.ส.สาครกล่าวอีกว่า ส่วนมากผู้ชุมนุมที่มาเสริมมีทั้งนั่งเรือจสกคลองแสนแสบมา รวมถึงมอเตอร์ไซค์ แล้วโดนยิงตัดขา ก็ต้องกลับไปตามข่าวอยู่บ้าน ในคืนที่สลาย ที่วัดปทุมวนาราม
 
โดยยังกล่าวอีกว่า ไม่น่าเชื่อที่ตนและป้านก ทผ่านเหตุการณ์มาด้วยกัน แต่เพิ่งมารู้จักป้านก ช่วงปี 2564 ในการชุมนุมของคนรุ่นใหม่
 
นอกจากนี้ น.ส.สาคร ยังฝากถึงรัฐบาลว่า ช่วยเซ็นลงนามขอให้ผลักดันกรณีการสลายชุมนุมคนเสื้อแดง เมษายน-พฤษภาคม 2553 เข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC เพื่อค้นหาความจริงและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย
 
ของให้เซ็นลงนาม ICC ทวงความเป็นธรรมให้ผู้ 99 ศพ เพราะเราในฐานะคนเสื้อแดง เจ็บใจ
ทำไมคนที่ทำรัฐประหาร ถึงไม่ติดคุกสักวัน สักชั่วโมงก็ยังดี”
 
จากนั้น มีการอ่านบทกวีของ วัฒน์ วรรลยางกูร ‘คนไม่ใช่ผักปลา’ เนื้อหากล่าวถึง การรัฐประหาร การที่คนยิงคนกลางเมือง ในเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 รวมถึฃบทกวีที่สะท้อนถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ,บทกวี ‘ชนชั้น’ และ ‘อำมหิต’ เป็นต้น
 
บรรยากาศในช่วงท้าย นายอานนท์ จากไอลอว์ ยังหยิบยำคำของ นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. ซึ่งเคยกล่าวในงานรำลึก 13 ปี เมษายน 2553 เมื่อปี 2566 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอก เนื้อหากล่าวถึงการตั้ง คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสีย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่