"มดลูกเทียม" หนทางการให้กำเนิดชีวิตใหม่ในอนาคต ?
สำรวจความเป็นไปได้ของ "มดลูกเทียม" เทคโนโลยีฟูมฟักตัวอ่อนมนุษย์ให้เจริญเติบโตนอกครรภ์มารดา แก้ปัญหาการมีบุตรยาก และผลกระทบทางจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ในอนาคตศตวรรษที่ 21 นั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็รวมไปถึงแนวคิดของนวัตกรรมใหม่อย่าง “มดลูกเทียม” (Artificial Womb) ที่จะช่วยเข้ามาแก้ปัญหาการมีบุตรยาก หรือปัญหาการคลอดบุตร กำลังได้รับความสนใจในหมู่นักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากมดลูกเทียมนั้นสามารถใช้ฟูมฟักตัวอ่อนของมนุษย์ให้เจริญเติบโตนอกครรภ์ของมารดาผู้ให้กำเนิดได้ โดยที่สตรีไม่ได้ต้องผ่านการคลอดบุตรแต่อย่างใด
ล่าสุดสถาบันวิทยาศาสตร์ไวส์มันน์ (Weizmann Institute of Science) จากประเทศอิสราเอลก็ได้ประสบความสำเร็จในการเจริญเติบโตตัวอ่อนหนูทดลองในมดลูกเทียม จนกระทั่งตัวอ่อนนี้พัฒนาอยู่ช่วงตัวอ่อนระยะเริ่มต้นได้แล้วเมื่อปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังสามารถเห็นการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย
ทั้งฝ่ายสตรีนิยมบางส่วนก็ยังสนับสนุนแนวคิดการพัฒนามดลูกเทียมนี้อีกด้วย เนื่องจากการตั้งครรภ์นั้นเป็นภาระที่เพศหญิงต้องแบกรับเพียงฝ่ายเดียวโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่อาจสร้างความเท่าเทียมเท่ากับเพศชายได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าในยุคสมัยใหม่ผู้หญิงจะสามารถทำงานและเข้าถึงการศึกษาได้เท่าเทียมกับผู้ชายก็ตาม
ประกอบกับการที่มดลูกเทียมในอนาคตอาจช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตขณะคลอดบุตรได้ เพราะถ้าหากดูจากสถิติแล้วจะพบว่าในปี ค.ศ. 2020 มีผู้หญิงเสียชีวิตจากการคลอดบุตรทั่วโลกวันละประมาณ 800 คน ทั้งยังมีรายงานว่าเกิดการฉีกขาดของปากมดลูกไปจนถึงรูทวารมากกว่า 2-8% เลยทีเดียว ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเย็บแผลกลับเข้าไปใหม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจมากนักที่แนวคิดเรื่องมดลูกเทียมนั้นจะเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในทุก ๆ ปี
บทบาทของการพัฒนา เทคโนโลยี "มดลูกเทียม" ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันงานวิจัยหลายร้อยชิ้นที่เกี่ยวกับมดลูกเทียมส่วนใหญ่นั้นไม่ได้เป็นไปในลักษณะการพัฒนานวัตกรรมมดลูกเทียมสำหรับเลี้ยงดูตัวอ่อนของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงมีการพัฒนาอวัยวะอย่างเต็มที่ครบทุกส่วนเสียทีเดียว แต่เป็นการวิจัยในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตในครรภ์ต่าง ๆ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนามดลูกเทียมเพื่อรองรับทารกที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งมดลูกเทียมอาจช่วยพัฒนาอวัยวะให้เจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นกว่าการใช้เทคโนโลยีตู้อบในปัจจุบัน มิฉะนั้นอวัยวะที่จำเป็นต่อระบบการหายใจอย่างปอดทั้งสองคู่ อาจพัฒนาไม่ได้เต็มที่และนำไปสู่โรคประจำตัวอย่าง “หอบหืด” ได้ในอนาคต
ส่วนอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการพัฒนามดลูกเทียมเพื่อให้อวัยวะปลูกถ่ายจากสเต็มเซลล์ของผู้ที่ต้องการอวัยวะนั้น ๆ เจริญเติบโต เนื่องจากอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายจากสเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเองจะมีรหัสพันธุกรรมตรงกันทุกประการ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการปฏิเสธอวัยวะหลังการปลูกถ่ายตามมา โดยวิธีการนี้ถือเป็นอีกทางเลือกเพิ่มเติมจากเทคโนโลยีการพิมพ์อวัยวะ 3 มิติ
ปัญหาทางจริยธรรมกับเทคโนโลยี "มดลูกเทียม" ในอนาคต
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการพัฒนาเทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้น ย่อมมีปัญหาทางจริยธรรมตามมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไปจนถึงความผิดพลาดร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีมดลูกเทียมก็ตาม
Christine Overall นักปรัชญาชาวแคนาดาแสดงความคิดเห็นต่อเทคโนโลยีมดลูกเทียมว่า เทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้นจะเป็นภัยต่อเมื่อฝ่ายหญิงไม่สามารถเลือกได้ว่าสามารถจะให้บุตรของตนเติบโตในมดลูกเทียมหรือไม่ ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการค้าอวัยวะมนุษย์
ทางที่ดีสังคมควรให้โอกาสให้ผู้หญิงมีตัวเลือกมากขึ้นว่าจะใช้นวัตกรรมมดลูกเทียมหรือไม่ตามแต่ความสมัครใจ เพราะสุดท้ายแล้วมดลูกเทียมก็อาจไม่ต่างอะไรการผ่าตัดคลอดมากนัก ซึ่งอาจช่วยชีวิตมารดาและบุตรได้อย่างมากมาย
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรลืมว่าเทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้นก็อาจเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน เมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อย่างเช่น การใช้มดลูกเทียมเลี้ยงดูตัวอ่อนมนุษย์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ทางภาคกฎหมายควรเข้ามารักษามาตรฐานทางจริยธรรมกับเทคโนโลยีมดลูกเทียมที่กำลังได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดนี้
ที่มา
https://www.thaipbs.or.th/news/content/326765
ทุกคนคิดว่า มดลูกเทียมที่อาจจะนำมาใช้ในอนาคต สามารถช่วยแก้ปัญหาประชากรโลกในอนาคตที่กำลังลดลง ได้มากน้อยเพียงใด?
สำรวจความเป็นไปได้ของ "มดลูกเทียม" เทคโนโลยีฟูมฟักตัวอ่อนมนุษย์ให้เจริญเติบโตนอกครรภ์มารดา แก้ปัญหาการมีบุตรยาก และผลกระทบทางจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ในอนาคตศตวรรษที่ 21 นั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็รวมไปถึงแนวคิดของนวัตกรรมใหม่อย่าง “มดลูกเทียม” (Artificial Womb) ที่จะช่วยเข้ามาแก้ปัญหาการมีบุตรยาก หรือปัญหาการคลอดบุตร กำลังได้รับความสนใจในหมู่นักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากมดลูกเทียมนั้นสามารถใช้ฟูมฟักตัวอ่อนของมนุษย์ให้เจริญเติบโตนอกครรภ์ของมารดาผู้ให้กำเนิดได้ โดยที่สตรีไม่ได้ต้องผ่านการคลอดบุตรแต่อย่างใด
ล่าสุดสถาบันวิทยาศาสตร์ไวส์มันน์ (Weizmann Institute of Science) จากประเทศอิสราเอลก็ได้ประสบความสำเร็จในการเจริญเติบโตตัวอ่อนหนูทดลองในมดลูกเทียม จนกระทั่งตัวอ่อนนี้พัฒนาอยู่ช่วงตัวอ่อนระยะเริ่มต้นได้แล้วเมื่อปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังสามารถเห็นการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย
ทั้งฝ่ายสตรีนิยมบางส่วนก็ยังสนับสนุนแนวคิดการพัฒนามดลูกเทียมนี้อีกด้วย เนื่องจากการตั้งครรภ์นั้นเป็นภาระที่เพศหญิงต้องแบกรับเพียงฝ่ายเดียวโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่อาจสร้างความเท่าเทียมเท่ากับเพศชายได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าในยุคสมัยใหม่ผู้หญิงจะสามารถทำงานและเข้าถึงการศึกษาได้เท่าเทียมกับผู้ชายก็ตาม
ประกอบกับการที่มดลูกเทียมในอนาคตอาจช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตขณะคลอดบุตรได้ เพราะถ้าหากดูจากสถิติแล้วจะพบว่าในปี ค.ศ. 2020 มีผู้หญิงเสียชีวิตจากการคลอดบุตรทั่วโลกวันละประมาณ 800 คน ทั้งยังมีรายงานว่าเกิดการฉีกขาดของปากมดลูกไปจนถึงรูทวารมากกว่า 2-8% เลยทีเดียว ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเย็บแผลกลับเข้าไปใหม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจมากนักที่แนวคิดเรื่องมดลูกเทียมนั้นจะเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในทุก ๆ ปี
บทบาทของการพัฒนา เทคโนโลยี "มดลูกเทียม" ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันงานวิจัยหลายร้อยชิ้นที่เกี่ยวกับมดลูกเทียมส่วนใหญ่นั้นไม่ได้เป็นไปในลักษณะการพัฒนานวัตกรรมมดลูกเทียมสำหรับเลี้ยงดูตัวอ่อนของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงมีการพัฒนาอวัยวะอย่างเต็มที่ครบทุกส่วนเสียทีเดียว แต่เป็นการวิจัยในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตในครรภ์ต่าง ๆ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนามดลูกเทียมเพื่อรองรับทารกที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งมดลูกเทียมอาจช่วยพัฒนาอวัยวะให้เจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นกว่าการใช้เทคโนโลยีตู้อบในปัจจุบัน มิฉะนั้นอวัยวะที่จำเป็นต่อระบบการหายใจอย่างปอดทั้งสองคู่ อาจพัฒนาไม่ได้เต็มที่และนำไปสู่โรคประจำตัวอย่าง “หอบหืด” ได้ในอนาคต
ส่วนอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการพัฒนามดลูกเทียมเพื่อให้อวัยวะปลูกถ่ายจากสเต็มเซลล์ของผู้ที่ต้องการอวัยวะนั้น ๆ เจริญเติบโต เนื่องจากอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายจากสเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเองจะมีรหัสพันธุกรรมตรงกันทุกประการ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการปฏิเสธอวัยวะหลังการปลูกถ่ายตามมา โดยวิธีการนี้ถือเป็นอีกทางเลือกเพิ่มเติมจากเทคโนโลยีการพิมพ์อวัยวะ 3 มิติ
ปัญหาทางจริยธรรมกับเทคโนโลยี "มดลูกเทียม" ในอนาคต
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการพัฒนาเทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้น ย่อมมีปัญหาทางจริยธรรมตามมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไปจนถึงความผิดพลาดร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีมดลูกเทียมก็ตาม
Christine Overall นักปรัชญาชาวแคนาดาแสดงความคิดเห็นต่อเทคโนโลยีมดลูกเทียมว่า เทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้นจะเป็นภัยต่อเมื่อฝ่ายหญิงไม่สามารถเลือกได้ว่าสามารถจะให้บุตรของตนเติบโตในมดลูกเทียมหรือไม่ ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการค้าอวัยวะมนุษย์
ทางที่ดีสังคมควรให้โอกาสให้ผู้หญิงมีตัวเลือกมากขึ้นว่าจะใช้นวัตกรรมมดลูกเทียมหรือไม่ตามแต่ความสมัครใจ เพราะสุดท้ายแล้วมดลูกเทียมก็อาจไม่ต่างอะไรการผ่าตัดคลอดมากนัก ซึ่งอาจช่วยชีวิตมารดาและบุตรได้อย่างมากมาย
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรลืมว่าเทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้นก็อาจเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน เมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อย่างเช่น การใช้มดลูกเทียมเลี้ยงดูตัวอ่อนมนุษย์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ทางภาคกฎหมายควรเข้ามารักษามาตรฐานทางจริยธรรมกับเทคโนโลยีมดลูกเทียมที่กำลังได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดนี้
ที่มา https://www.thaipbs.or.th/news/content/326765