ก้าวไกล รุมถล่ม ตร. ฟุ่มเฟือย ชงตัดงบซื้ออาวุธหนัก ทวงค่าน้ำมันให้สายตรวจ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8150888
สส.ก้าวไกล รุมถล่ม ตร. ชงตัดงบจัดซื้ออาวุธหนัก ชี้เป็นความฟุ่มเฟือย พร้อมทวงถามค่าน้ำมันให้สายตรวจ “กรุณพล” แนะ ตัดงบตำรวจอาสา
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 ม.ค. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีวาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วาระสอง เป็นวันสุดท้าย
โดยเริ่มต้นที่มาตรา 27 ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี จำนวน 35,434,895,500 บาท โดยน.ส.
พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายขอตัดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลง 3 เปอร์เซ็นต์ 1,781 ล้านบาท
โดยน.ส.
พนิดา กล่าวว่า งบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธหนักเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย ประกอบด้วย ปืนซุ่มยิงระยะไกลหรือสไนเปอร์ 10 ชุด 15.5 ล้านบาท, ปืนกล พร้อมอุปกรณ์ 20 ชุด 72 ล้านบาท, ปืนกลมือขนาด 9 มม. 4,000 กระบอก พร้อมอุปกรณ์ 104 ล้านบาท, ปืนเล็กสั้น ขนาด 5.56 มม. จาก 3 โครงการ 2,000 กระบอก 274 ล้านบาท, รถปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม (จีโน่) 5 คัน 87 ล้านบาท และค่าซ่อมแซมรถฉีดน้ำแรงดันสูงควบคุมฝูงชน (จีโน่) ที่ชำรุด 5 คัน 47 ล้านบาท รวม 599.5 ล้านบาท
“
ถามว่าตำรวจมีอาวุธได้หรือไม่ ตอบว่ามีได้ แต่ข้อเท็จจริงต้องดูว่าตำรวจใช้อาวุธเหล่านี้กับใคร ด้วยจุดประสงค์อะไร และถือครองไว้จำนวนเท่าไหร่ เราต้องไม่ปล่อยให้ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของรัฐ ผลักสังคมไปอยู่ในความรุนแรงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากการสะสมอาวุธสงครามมากมาย” น.ส.
พนิดา กล่าว
ขณะที่ น.ส.
ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ กรรมาธิการ (กมธ.) สัดส่วนพรรคก้าวไกล อภิปรายปรับลดงบประมาณในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 10% การจัดสรรงบประมาณของตำรวจมีปัญหาต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่เป็นภารกิจหลักของตำรวจ
หากเราพิจารณางบของตร.ในปีนี้ หรือหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากการได้รับงบประมาณน้อยเกินไป แต่เกิดจากการตั้งใช้งบประมาณกับบางอย่างที่เกินจริง ให้ความสำคัญผิดสัดส่วน
ยกตัวอย่าง ค่าน้ำมันของสายตรวจที่ได้เดือนละ 7,000 บาท หากเป็นจักรยานยนต์จะได้เดือนละ 3,500 บาท ทั้งที่ต้องใช้ขับลาดตระเวนทั้งวัน ทำให้ตำรวจต้องลดการลาดตระเวนหรือใช้วิธีการตรวจเมื่อมีการแจ้งเหตุแทน และยังต้องออกค่าน้ำมันส่วนเกินเอง
ขณะที่โครงการอื่นๆ เช่น โครงการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หรือจิตอาสา 904 ที่มีงบประมาณ 157 ล้านบาท กลับได้ค่าน้ำมันอย่างไม่ขัดสน แค่รับส่งเจ้าหน้าที่ก็ได้ค่าน้ำมันเที่ยวละ 1,000 บาท ไปกลับตกวันละ 2,000 บาท นอกจากนี้ จิตอาสา 904 ยังมีค่าน้ำมันในกิจกรรมสร้างจิตสำนึกปีละ 3.32 ล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 2.7 แสนบาท
น.ส.
ณธีภัสร์ กล่าวว่า งบประมาณอีกส่วนที่ตั้งไว้สูงคือค่าเช่ารถ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีรถจำนวนมาก ทำให้ค่าเช่าย่อมสูงตามไปด้วย ปีนี้ 3,000 กว่าล้านบาท โดยที่ค่าเช่ารถในแต่ละปีมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงมาก
ยกตัวอย่าง รถที่เช่าอยู่ 2 รุ่น คือ โตโยต้าแคมรี่ จากโครงการบริการประชาชน ที่เช่าอยู่ 215 คัน ค่าเช่าเดือนละ 37,630 บาทต่อคัน แต่ความเป็นจริงให้เช่าในราคา 30,700 บาท เท่ากับตำรวจเช่าแพงถึง 20% ส่วนรถเบนซ์ เอส 350 จากโครงการถวายความปลอดภัย เช่าอยู่ 8 คัน ค่าเช่าเดือนละ 165,500 บาทต่อคัน แต่ความเป็นจริงเช่าในราคา 137,116 บาท เท่ากับตำรวจเช่าแพงกว่า 20%
ด้านนาย
กรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบประมาณของตร.ที่ไม่จำเป็น และขอทุกปี ซึ่งสิ่งที่ควรลดหรือตัดออกไปเลย คือ ค่าตอบแทนอาสาสมัครตำรวจบ้าน ตนเข้าใจว่าภารกิจของตำรวจมีมาก และจำเป็นที่จะต้องมีอาสาสมัครมาช่วยเหลือ
แต่อาสาสมัครเหล่านี้มี 10 คนต่อสถานีตำรวจ แต่ค่าตอบแทนที่ให้กับอาสาสมัครนี้ เบิกงบต่อคนต่อปีแค่ 1,800 บาท และถือว่าเป็นแค่สินน้ำใจ ถ้าเป็นแค่สินน้ำใจการทำงานทั้งปีแล้วได้แค่นี้ สิ่งแรกที่ตำรวจต้องทำ คือ ต้องแจ้งข้อหาตัวเองก่อนเลย ที่ให้ค่าแรงที่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ หรือถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ก็ควรหางบมาทำเป็นหลักแหล่งชัดเจน
“
ฉะนั้น หวังว่าตร.จะตัดลดงบเพื่อให้กำลังพลได้มีบ้านพักอาศัยที่ดี มีสวัสดิการ และน้ำมันเพียงพอ เมื่อการจัดสรรงบไม่เป็นผลแบบนี้ตนขอปรับลดทั้งหมด 5%” นาย
กรุณพล กล่าว
จากนั้น นาย
ธเนศ เครือรัตน์ ในฐานะกมธ. ชี้แจงว่า ปืนซุ่มยิงระยะไกล ปืนกล ปืนเล็ก ทั้งหมด 6,030 กระบอก ตร.ได้ใช้งบพับตั้งแต่ปี 64 มาจัดซื้อในปี 67 เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงโควิดจัดซื้อไม่ทัน จึงมาจัดซื้อในปีนี้ ซึ่งทางอนุกมธ.ก็ไม่ได้ตัดลดในส่วนนี้ เนื่องจากได้ส่งมอบและเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว สำหรับค่าน้ำมัน ทำเป็นข้อสังเกตให้สตช.จัดสมดุล ระหว่างรถประจำตำแหน่ง และรถสายตรวจ
ทั้งนี้ ที่ประชุมลงมติเห็นชอบตามคณะกมธ.เสียงข้างมากแก้ไข ด้วยคะแนน 259 ต่อ 129 งดออกเสียงไม่มี และไม่ออกเสียง 2 เสียง
‘พลทหาร’ ดิ่งตึกในค่ายโคม่า น้องสาวเปิดแชตขอให้ช่วย ถูกรุ่นพี่กดขี่ ก่อนก่อเหตุเศร้า
https://www.matichon.co.th/region/news_4486106
พลทหาร ดิ่งตึกในค่ายสาหัส หลังส่งไลน์ขอญาติช่วย ถูกกดขี่-กลัวจนตัวสั่น แม่ไม่เชื่อลูกโดดเอง
จากกรณีที่มีเพจที่
ซ้อขยี้ข่าว ได้โพสต์ข้อความ หนุ่มคนหนึ่งได้ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์หาญาติเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังถูกรุ่นพี่ในค่ายทหารกดขี่ ข่มเหงอย่างหนัก จนต้องคิดสั้นกระโดดตึก อาการล่าสุดอยู่ ICU ใช้เครื่องปั้มหัวใจ เหตุเกิดวันนี้ : ปราจีนบุรี” โดยภายในรูปภาพเป็นข้อความที่แชทของหนุ่มหนุ่มรายดังกล่าว ที่ส่งข้อความไประบายความในใจกับเพื่อน ก่อนก่อเหตุดิ่งตึกภายในค่ายทหาร เบื้องต้นได้รับรายงานว่าหนุ่มรายนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสและนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น ของวันที่ 22 มีนาคม ทาง พลทหาร
เต้ย ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ภายในห้อง ICU ของโรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีแม่เดินทางมาเฝ้าดูอาการที่โรงพยาบาล อย่างใกล้ชิด
เบื้องต้นจากการสอบถาม น้องสาวพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ได้กล่าวกับทางผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า ตอนแรกตนอยู่หน้าบ้าน แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาหาพ่อกับแม่ประมาณเกือบ 21.00 น. ว่าพี่ชายกระโดดลงมา แต่ว่าพอไปถึงเขาบอกว่ากระโดดตั้งแต่ 6 โมงแต่ว่าเพิ่งโทรมาบอก ทางครอบครัวจึงไม่รู้เหตการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ซึ่งตามที่เขาพิมพ์มาหาหนู ก็ช่วงบ่าย 3 ถึง 5 โมงที่บอกว่า “
ช่วยพี่ด้วย”
“
มีเพื่อนบางคนพูดว่า พี่หนูมีปัญหาครอบครัว มีปัญหาเรื่องเงิน และมีคนบอกว่าเขาไปยืมเงินรุ่นพี่หรือเปล่า มันไม่มีนะ วันนั้นเพื่อนเขาที่อยู่โรงพยาบาลเมื่อคืน หนูก็ถามว่า พี่หนูไปยืมเงินใคร เขาก็บอกว่าไม่มีนะ เพราะว่าตอนไปกวาดลาน ยังเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพี่อยู่เลยจะไปยืมเงินคนอื่นทำไม ถ้ามันไม่มีเงินมันจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพี่ทำไม หนูก็ซัพพอร์ตกันตลอด ทำให้หนูไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนกระโดดลงมาเอง” น้องสาวของพลทหารผู้ได้รับบาดเจ็บ กล่าวและว่า
พี่ชายเป็นคนร่าเริง เมื่อครั้งกลับมาพักที่บ้านเมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็ยังมีนิสัยปกติ ออกไปเตะบอลกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันที่สนามฟุตบอลกลางหมู่บ้าน เบื้องต้นมีทางหน่วยงานของพี่ชายเข้ามาพูดคุยกับแม่ของตนที่โรงพยาบาลซึ่งตนไม่ทราบว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรตนหวังเพียงแค่ว่าอยากให้พี่ชายหายปกติกลับมาเหมือนเดิมแค่นั้น
ทางด้าน นาง
ติ๋ม อายุ 46 ปี มารดาของพลทหาร เล่าว่า ได้รับแจ้งว่าลูกตนโดดจากอาคารลงมาตอน 18.00 น. แต่ได้รับสายแจ้งจากทางจ่าโทรมาบอกตอน 21.00 น เดินทางมาถึงที่โรงพยาบาลตอนประมาณ 22.00 น. ก็ไม่สามารถที่จะเข้าเยี่ยมได้แล้ว เพราะทางลูกของตนมีอาการที่หนักมีเลือดออกกะโหลกเปิด เลือดออกบริเวณศีรษะ มีเลือดออกตลอดเวลา ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ให้เลือด โดยมีอาการ 50:50
ซึ่งก่อนที่ทางลูกชายของตนจะโดดนั้นมีการได้พูดคุยกับทางลูกสาว แต่ไม่ได้คุยกับตน โดยบอกกับทางลูกสาวว่าลูกชายถูกรุ่นพี่กด ซึ่งทางลูกสาวก็ถามกลับทางลูกชายว่าโดนกดเรื่องอะไรทำไมไม่แจ้งจ่า ทางลูกชายก็ตอบกลับมาว่าแจ้งไม่ได้ พอเวลา 5 โมงเย็นทางพ่อก็โทรหาลูกชายแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้
ตอนนี้ทางผู้บังคับบัญชาได้ลงมาตรวจเยี่ยมลูกชายแล้ว และได้แจ้งว่าจะทำการย้ายโรงพยาบาล เพื่อทำการรักษา แต่ยังไม่ได้แจ้งว่าจะย้ายไปโรงพยาบาลไหน ส่วนตัวโทรศัพท์ของลูกชายนั้นตอนนี้ไม่สามารถที่จะเปิดได้เพราะติดล็อค ไม่ทราบรหัส
ส่วนเรื่องที่ลูกชายของตนโดดนั้นตนก็ยังคาใจอยู่ว่าโดดเพราะอะไรสาเหตุอะไร ก็ไม่สามารถรู้ได้เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ตอนนี้ก็ขอภาวนาเพียงอย่างเดียวว่าขอให้ลูกหายเป็นปกติกลับมา
ร
อมฎอน ก้าวไกล มองปมเหตุป่วนชายแดนใต้ ขอ ‘นายกฯ’ อย่าอ่านสถานการณ์ผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4486151
“รอมฎอน” มั่นใจ เหตุบึ้มชายแดนใต้ 11 จุด เพราะครบรอบ “ตากใบ” ยัน ไม่มีความเป็นไปได้ สร้างสถานการณ์ดึงงบ ขอนายกฯ อย่าอ่านสถานการณ์ผิด บอกชีวิตคนตายต้องการความยุติธรรม แนะแยกแยะ ผู้ก่อการร้าย-นักสู้ มองต้องปิดพื้นที่พูดคุยให้มากขึ้น
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา นาย
รอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการก่อเหตุความไม่สงบขึ้น 11 จุดในพื้นที่ 5 อำเภอของจังหวัดยะลา เมื่อคืนที่ผ่านมา ว่า เป็นการส่งสัญญาณผิดพลาดหลายสัญญาณ ถ้าดูจากรูปแบบการก่อเหตุ จะเห็นได้ว่าเป็นรูปแบบที่เคยเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ขนาดนั้น หลายคนอาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่สภากำลังพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2567
“
หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่สงบก็ไม่มา เป็นเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ดึงงบ ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ดูจากรูปแบบและจังหวะช่วงเวลา ถ้านับจากปฏิทินอิสลาม เมื่อคืนเป็นวันครบรอบโศกนาฏกรรมตากใบ ซึ่งเราคุยกันมาหลายรอบ ทั้งในที่เปิด ในสภา ว่าจะทำอย่างไรกับการดำเนินคดีอาญา หาผู้รับผิดชอบต่อการทำให้คนตายเมื่อ 20 ปีที่แล้ว วันนี้ถ้านับปฏิทินอิสลามถือว่าครบรอบ 20 ปีนั้น ซึ่งหากเป็นปฏิทินปกติคือ 25 ตุลาคม” นาย
รอมฎอน กล่าว
นาย
รอมฎอน กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ก็มีการรำลึกให้กับคนตาย ตนเข้าใจความรู้สึกอึดอัดของผู้คนในพื้นที่และการปฏิบัติการณ์แบบนี้มันตอบสนองต่อความรู้สึกนั้น ตนพยายามพูดอย่างระมัดระวังให้แยกแยะระหว่างกลุ่มผู้ก่อการร้ายและกลุ่มนักสู้ เขาสัมผัสความรู้สึกที่อึดอัดแบบนั้นได้ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายรัฐบาลที่ตนรู้สึกว่าไม่ตอบสนองต่อประเด็นเรื่องความยุติธรรม จนกลายเป็นเปิดช่องว่างให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง วันนี้เราพูดคุยถึงพื้นที่สันติสุขมากพอที่จะรับฟังเสียงต่างๆเรานั้นแล้วหรือยัง
ส่วนจะฝากอะไรไปถึงนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือไม่ ในฐานะกำกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นาย
รอมฎอน ระบุว่า นายกรัฐมนตรีอย่าอ่านสถานการณ์ผิด แต่ไม่แน่ใจว่าใครรายงานให้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องการ การประเมินสถานการณ์ที่ตรงไปตรงมา ต้องการภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ในการชี้ทิศทางว่าจะไปทางไหน ถ้าปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติทางหนึ่ง ส่งเสียงทางหนึ่งแบบนี้ ประชาชนก็จะสิ้นหวัง
JJNY : ก้าวไกลรุมถล่มตร.ฟุ่มเฟือย│‘พลทหาร’ดิ่งตึกในค่ายโคม่า│ก้าวไกลมองปมเหตุป่วนชายแดนใต้│โฟกัส 6 ดาวเด่นแถวสามก้าวไกล
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8150888
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 ม.ค. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีวาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วาระสอง เป็นวันสุดท้าย
โดยเริ่มต้นที่มาตรา 27 ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี จำนวน 35,434,895,500 บาท โดยน.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายขอตัดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลง 3 เปอร์เซ็นต์ 1,781 ล้านบาท
โดยน.ส.พนิดา กล่าวว่า งบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธหนักเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย ประกอบด้วย ปืนซุ่มยิงระยะไกลหรือสไนเปอร์ 10 ชุด 15.5 ล้านบาท, ปืนกล พร้อมอุปกรณ์ 20 ชุด 72 ล้านบาท, ปืนกลมือขนาด 9 มม. 4,000 กระบอก พร้อมอุปกรณ์ 104 ล้านบาท, ปืนเล็กสั้น ขนาด 5.56 มม. จาก 3 โครงการ 2,000 กระบอก 274 ล้านบาท, รถปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม (จีโน่) 5 คัน 87 ล้านบาท และค่าซ่อมแซมรถฉีดน้ำแรงดันสูงควบคุมฝูงชน (จีโน่) ที่ชำรุด 5 คัน 47 ล้านบาท รวม 599.5 ล้านบาท
“ถามว่าตำรวจมีอาวุธได้หรือไม่ ตอบว่ามีได้ แต่ข้อเท็จจริงต้องดูว่าตำรวจใช้อาวุธเหล่านี้กับใคร ด้วยจุดประสงค์อะไร และถือครองไว้จำนวนเท่าไหร่ เราต้องไม่ปล่อยให้ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของรัฐ ผลักสังคมไปอยู่ในความรุนแรงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากการสะสมอาวุธสงครามมากมาย” น.ส.พนิดา กล่าว
ขณะที่ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ กรรมาธิการ (กมธ.) สัดส่วนพรรคก้าวไกล อภิปรายปรับลดงบประมาณในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 10% การจัดสรรงบประมาณของตำรวจมีปัญหาต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่เป็นภารกิจหลักของตำรวจ
หากเราพิจารณางบของตร.ในปีนี้ หรือหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากการได้รับงบประมาณน้อยเกินไป แต่เกิดจากการตั้งใช้งบประมาณกับบางอย่างที่เกินจริง ให้ความสำคัญผิดสัดส่วน
ยกตัวอย่าง ค่าน้ำมันของสายตรวจที่ได้เดือนละ 7,000 บาท หากเป็นจักรยานยนต์จะได้เดือนละ 3,500 บาท ทั้งที่ต้องใช้ขับลาดตระเวนทั้งวัน ทำให้ตำรวจต้องลดการลาดตระเวนหรือใช้วิธีการตรวจเมื่อมีการแจ้งเหตุแทน และยังต้องออกค่าน้ำมันส่วนเกินเอง
ขณะที่โครงการอื่นๆ เช่น โครงการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หรือจิตอาสา 904 ที่มีงบประมาณ 157 ล้านบาท กลับได้ค่าน้ำมันอย่างไม่ขัดสน แค่รับส่งเจ้าหน้าที่ก็ได้ค่าน้ำมันเที่ยวละ 1,000 บาท ไปกลับตกวันละ 2,000 บาท นอกจากนี้ จิตอาสา 904 ยังมีค่าน้ำมันในกิจกรรมสร้างจิตสำนึกปีละ 3.32 ล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 2.7 แสนบาท
น.ส.ณธีภัสร์ กล่าวว่า งบประมาณอีกส่วนที่ตั้งไว้สูงคือค่าเช่ารถ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีรถจำนวนมาก ทำให้ค่าเช่าย่อมสูงตามไปด้วย ปีนี้ 3,000 กว่าล้านบาท โดยที่ค่าเช่ารถในแต่ละปีมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงมาก
ยกตัวอย่าง รถที่เช่าอยู่ 2 รุ่น คือ โตโยต้าแคมรี่ จากโครงการบริการประชาชน ที่เช่าอยู่ 215 คัน ค่าเช่าเดือนละ 37,630 บาทต่อคัน แต่ความเป็นจริงให้เช่าในราคา 30,700 บาท เท่ากับตำรวจเช่าแพงถึง 20% ส่วนรถเบนซ์ เอส 350 จากโครงการถวายความปลอดภัย เช่าอยู่ 8 คัน ค่าเช่าเดือนละ 165,500 บาทต่อคัน แต่ความเป็นจริงเช่าในราคา 137,116 บาท เท่ากับตำรวจเช่าแพงกว่า 20%
ด้านนายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบประมาณของตร.ที่ไม่จำเป็น และขอทุกปี ซึ่งสิ่งที่ควรลดหรือตัดออกไปเลย คือ ค่าตอบแทนอาสาสมัครตำรวจบ้าน ตนเข้าใจว่าภารกิจของตำรวจมีมาก และจำเป็นที่จะต้องมีอาสาสมัครมาช่วยเหลือ
แต่อาสาสมัครเหล่านี้มี 10 คนต่อสถานีตำรวจ แต่ค่าตอบแทนที่ให้กับอาสาสมัครนี้ เบิกงบต่อคนต่อปีแค่ 1,800 บาท และถือว่าเป็นแค่สินน้ำใจ ถ้าเป็นแค่สินน้ำใจการทำงานทั้งปีแล้วได้แค่นี้ สิ่งแรกที่ตำรวจต้องทำ คือ ต้องแจ้งข้อหาตัวเองก่อนเลย ที่ให้ค่าแรงที่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ หรือถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ก็ควรหางบมาทำเป็นหลักแหล่งชัดเจน
“ฉะนั้น หวังว่าตร.จะตัดลดงบเพื่อให้กำลังพลได้มีบ้านพักอาศัยที่ดี มีสวัสดิการ และน้ำมันเพียงพอ เมื่อการจัดสรรงบไม่เป็นผลแบบนี้ตนขอปรับลดทั้งหมด 5%” นายกรุณพล กล่าว
จากนั้น นายธเนศ เครือรัตน์ ในฐานะกมธ. ชี้แจงว่า ปืนซุ่มยิงระยะไกล ปืนกล ปืนเล็ก ทั้งหมด 6,030 กระบอก ตร.ได้ใช้งบพับตั้งแต่ปี 64 มาจัดซื้อในปี 67 เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงโควิดจัดซื้อไม่ทัน จึงมาจัดซื้อในปีนี้ ซึ่งทางอนุกมธ.ก็ไม่ได้ตัดลดในส่วนนี้ เนื่องจากได้ส่งมอบและเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว สำหรับค่าน้ำมัน ทำเป็นข้อสังเกตให้สตช.จัดสมดุล ระหว่างรถประจำตำแหน่ง และรถสายตรวจ
ทั้งนี้ ที่ประชุมลงมติเห็นชอบตามคณะกมธ.เสียงข้างมากแก้ไข ด้วยคะแนน 259 ต่อ 129 งดออกเสียงไม่มี และไม่ออกเสียง 2 เสียง
‘พลทหาร’ ดิ่งตึกในค่ายโคม่า น้องสาวเปิดแชตขอให้ช่วย ถูกรุ่นพี่กดขี่ ก่อนก่อเหตุเศร้า
https://www.matichon.co.th/region/news_4486106
พลทหาร ดิ่งตึกในค่ายสาหัส หลังส่งไลน์ขอญาติช่วย ถูกกดขี่-กลัวจนตัวสั่น แม่ไม่เชื่อลูกโดดเอง
จากกรณีที่มีเพจที่ซ้อขยี้ข่าว ได้โพสต์ข้อความ หนุ่มคนหนึ่งได้ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์หาญาติเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังถูกรุ่นพี่ในค่ายทหารกดขี่ ข่มเหงอย่างหนัก จนต้องคิดสั้นกระโดดตึก อาการล่าสุดอยู่ ICU ใช้เครื่องปั้มหัวใจ เหตุเกิดวันนี้ : ปราจีนบุรี” โดยภายในรูปภาพเป็นข้อความที่แชทของหนุ่มหนุ่มรายดังกล่าว ที่ส่งข้อความไประบายความในใจกับเพื่อน ก่อนก่อเหตุดิ่งตึกภายในค่ายทหาร เบื้องต้นได้รับรายงานว่าหนุ่มรายนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสและนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น ของวันที่ 22 มีนาคม ทาง พลทหารเต้ย ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ภายในห้อง ICU ของโรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีแม่เดินทางมาเฝ้าดูอาการที่โรงพยาบาล อย่างใกล้ชิด
เบื้องต้นจากการสอบถาม น้องสาวพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ได้กล่าวกับทางผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า ตอนแรกตนอยู่หน้าบ้าน แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาหาพ่อกับแม่ประมาณเกือบ 21.00 น. ว่าพี่ชายกระโดดลงมา แต่ว่าพอไปถึงเขาบอกว่ากระโดดตั้งแต่ 6 โมงแต่ว่าเพิ่งโทรมาบอก ทางครอบครัวจึงไม่รู้เหตการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ซึ่งตามที่เขาพิมพ์มาหาหนู ก็ช่วงบ่าย 3 ถึง 5 โมงที่บอกว่า “ช่วยพี่ด้วย”
“มีเพื่อนบางคนพูดว่า พี่หนูมีปัญหาครอบครัว มีปัญหาเรื่องเงิน และมีคนบอกว่าเขาไปยืมเงินรุ่นพี่หรือเปล่า มันไม่มีนะ วันนั้นเพื่อนเขาที่อยู่โรงพยาบาลเมื่อคืน หนูก็ถามว่า พี่หนูไปยืมเงินใคร เขาก็บอกว่าไม่มีนะ เพราะว่าตอนไปกวาดลาน ยังเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพี่อยู่เลยจะไปยืมเงินคนอื่นทำไม ถ้ามันไม่มีเงินมันจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพี่ทำไม หนูก็ซัพพอร์ตกันตลอด ทำให้หนูไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนกระโดดลงมาเอง” น้องสาวของพลทหารผู้ได้รับบาดเจ็บ กล่าวและว่า
พี่ชายเป็นคนร่าเริง เมื่อครั้งกลับมาพักที่บ้านเมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็ยังมีนิสัยปกติ ออกไปเตะบอลกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันที่สนามฟุตบอลกลางหมู่บ้าน เบื้องต้นมีทางหน่วยงานของพี่ชายเข้ามาพูดคุยกับแม่ของตนที่โรงพยาบาลซึ่งตนไม่ทราบว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรตนหวังเพียงแค่ว่าอยากให้พี่ชายหายปกติกลับมาเหมือนเดิมแค่นั้น
ทางด้าน นางติ๋ม อายุ 46 ปี มารดาของพลทหาร เล่าว่า ได้รับแจ้งว่าลูกตนโดดจากอาคารลงมาตอน 18.00 น. แต่ได้รับสายแจ้งจากทางจ่าโทรมาบอกตอน 21.00 น เดินทางมาถึงที่โรงพยาบาลตอนประมาณ 22.00 น. ก็ไม่สามารถที่จะเข้าเยี่ยมได้แล้ว เพราะทางลูกของตนมีอาการที่หนักมีเลือดออกกะโหลกเปิด เลือดออกบริเวณศีรษะ มีเลือดออกตลอดเวลา ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ให้เลือด โดยมีอาการ 50:50
ซึ่งก่อนที่ทางลูกชายของตนจะโดดนั้นมีการได้พูดคุยกับทางลูกสาว แต่ไม่ได้คุยกับตน โดยบอกกับทางลูกสาวว่าลูกชายถูกรุ่นพี่กด ซึ่งทางลูกสาวก็ถามกลับทางลูกชายว่าโดนกดเรื่องอะไรทำไมไม่แจ้งจ่า ทางลูกชายก็ตอบกลับมาว่าแจ้งไม่ได้ พอเวลา 5 โมงเย็นทางพ่อก็โทรหาลูกชายแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้
ตอนนี้ทางผู้บังคับบัญชาได้ลงมาตรวจเยี่ยมลูกชายแล้ว และได้แจ้งว่าจะทำการย้ายโรงพยาบาล เพื่อทำการรักษา แต่ยังไม่ได้แจ้งว่าจะย้ายไปโรงพยาบาลไหน ส่วนตัวโทรศัพท์ของลูกชายนั้นตอนนี้ไม่สามารถที่จะเปิดได้เพราะติดล็อค ไม่ทราบรหัส
ส่วนเรื่องที่ลูกชายของตนโดดนั้นตนก็ยังคาใจอยู่ว่าโดดเพราะอะไรสาเหตุอะไร ก็ไม่สามารถรู้ได้เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ตอนนี้ก็ขอภาวนาเพียงอย่างเดียวว่าขอให้ลูกหายเป็นปกติกลับมา
รอมฎอน ก้าวไกล มองปมเหตุป่วนชายแดนใต้ ขอ ‘นายกฯ’ อย่าอ่านสถานการณ์ผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4486151
“รอมฎอน” มั่นใจ เหตุบึ้มชายแดนใต้ 11 จุด เพราะครบรอบ “ตากใบ” ยัน ไม่มีความเป็นไปได้ สร้างสถานการณ์ดึงงบ ขอนายกฯ อย่าอ่านสถานการณ์ผิด บอกชีวิตคนตายต้องการความยุติธรรม แนะแยกแยะ ผู้ก่อการร้าย-นักสู้ มองต้องปิดพื้นที่พูดคุยให้มากขึ้น
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา นายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการก่อเหตุความไม่สงบขึ้น 11 จุดในพื้นที่ 5 อำเภอของจังหวัดยะลา เมื่อคืนที่ผ่านมา ว่า เป็นการส่งสัญญาณผิดพลาดหลายสัญญาณ ถ้าดูจากรูปแบบการก่อเหตุ จะเห็นได้ว่าเป็นรูปแบบที่เคยเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ขนาดนั้น หลายคนอาจจะเกิดขึ้นในช่วงที่สภากำลังพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2567
“หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่สงบก็ไม่มา เป็นเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ดึงงบ ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ดูจากรูปแบบและจังหวะช่วงเวลา ถ้านับจากปฏิทินอิสลาม เมื่อคืนเป็นวันครบรอบโศกนาฏกรรมตากใบ ซึ่งเราคุยกันมาหลายรอบ ทั้งในที่เปิด ในสภา ว่าจะทำอย่างไรกับการดำเนินคดีอาญา หาผู้รับผิดชอบต่อการทำให้คนตายเมื่อ 20 ปีที่แล้ว วันนี้ถ้านับปฏิทินอิสลามถือว่าครบรอบ 20 ปีนั้น ซึ่งหากเป็นปฏิทินปกติคือ 25 ตุลาคม” นายรอมฎอน กล่าว
นายรอมฎอน กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ก็มีการรำลึกให้กับคนตาย ตนเข้าใจความรู้สึกอึดอัดของผู้คนในพื้นที่และการปฏิบัติการณ์แบบนี้มันตอบสนองต่อความรู้สึกนั้น ตนพยายามพูดอย่างระมัดระวังให้แยกแยะระหว่างกลุ่มผู้ก่อการร้ายและกลุ่มนักสู้ เขาสัมผัสความรู้สึกที่อึดอัดแบบนั้นได้ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายรัฐบาลที่ตนรู้สึกว่าไม่ตอบสนองต่อประเด็นเรื่องความยุติธรรม จนกลายเป็นเปิดช่องว่างให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง วันนี้เราพูดคุยถึงพื้นที่สันติสุขมากพอที่จะรับฟังเสียงต่างๆเรานั้นแล้วหรือยัง
ส่วนจะฝากอะไรไปถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือไม่ ในฐานะกำกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นายรอมฎอน ระบุว่า นายกรัฐมนตรีอย่าอ่านสถานการณ์ผิด แต่ไม่แน่ใจว่าใครรายงานให้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องการ การประเมินสถานการณ์ที่ตรงไปตรงมา ต้องการภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ในการชี้ทิศทางว่าจะไปทางไหน ถ้าปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติทางหนึ่ง ส่งเสียงทางหนึ่งแบบนี้ ประชาชนก็จะสิ้นหวัง