[รีวิว] The Zone of Interest - วิมานความโหดร้ายในความธรรมดาสามัญของครอบครัวเฮิส

หากพูดถึง หนังโฮโลคอสต์ (Holocaust Films) หรือภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะมีภาพยนตร์หลายเรื่องติดตราตรึงใจใครหลายคน และส่วนใหญ่มักจะนำเสนอเรื่องของ ความโหดร้าย ความหดหู่ ที่เกิดขึ้น และกลายเป็นบาดแผลที่ยากจะลบเลือน แต่กับ The Zone of Interest ที่มีความน่าสนใจตามชื่อเรื่องเลย และความน่าสนใจในการนำเสนอเรื่องราวที่ว่านั้นก็ดีพอที่จะคว้ารางวัล Grand Prix จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ รวมถึงเข้าชิงออสการ์ได้ถึง 5 สาขาเลยทีเดียว

ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 46 นาที สิ่งที่ The Zone of Interest มอบให้ คือ ภาพของกิจวัตรประจำวันที่แสนปกติธรรมดาของครอบครัวหนึ่ง ในบ้านขนาดกำลังพอเหมาะ ที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูกๆ อีก 5 คน (ลูกชาย 2 ลูกสาว 3) พร้อมด้วยคนรับใช้อีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่คนพ่อที่ดูเหมือนจะคร่ำเคร่งกับงานอย่างเห็นได้ชัด เพื่อหน้าที่การงานที่ดี ส่วนคนแม่ก็ดูแลบ้านและเลี้ยงดูลูกๆ อย่างขยันขันแข็ง พื้นที่นอกตัวบ้านเป็นสวนผักและดอกไม้ที่เธอดูจะภูมิใจนักหนา เวลาเล่าให้แขกผู้มาเยือนฟัง ถัดไปเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมสันทนาการ มีเตียงนอน สระว่ายน้ำขนาดย่อม พื้นหญ้าเขียวขจี และโรงเรือนเพาะชำ ไว้ให้สมาชิกในครอบครัวพักผ่อนหย่อนใจได้ตามตรงการ

หากนี่เป็นเรื่องราวอันผาสุกครอบครัวธรรมดาทั่วไปก็คงจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่เพราะนี่เป็นครอบครัวของ รูดอล์ฟ เฮิส (Rudolf Höss) ผู้บัญชาการค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ (Auschwitz) ที่คร่าชีวิตเชลยไปเป็นจำนวนหลักล้านคน (เกือบทั้งหมดเป็นชาวยิว) ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดใช่แล้วบ้านผาสุกที่เราได้เห็นตลอดทั้งเรื่อง ตั้งอยู่ข้างๆ ค่ายกักกันแห่งนี้ที่ถูกแบ่งกั้นด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม มันเป็นบ้านของผู้ที่ถูกขนานนามว่า “ปีศาจ” และเรากำลังได้เห็นชีวิตประจำวันของบุคคลผู้เลือดเย็นที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์

ความวิเศษของ The Zone of Interest ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาจากภาพยนตร์ในแนวเดียวกัน คือ การไม่มีภาพของความรุนแรงใดๆ แม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่จะเห็นเชลยตรงข้ามกำแพงสักคน แต่ผู้กำกับโจนาธาน เกลเซอร์ (Jonathan Glazer) กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกหดหู่ โกรธแค้น และเศร้าหมอง ไม่ต่างจากการนำเสนอภาพรุนแรง แถมไปด้วยความกระอักกระอ่วนจากความเลือดเย็น ความเย้นหยัน และเมินเฉย ที่ตัวละครปฏิบัติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง

กลยุทธิ์ของโจนาธาน เกลเซอร์ คือ การนำเสนอความรู้สึกที่ขัดแย้งกันระหว่างการใช้ชีวิตอย่างสุขสันต์ของครอบครัวเฮิสกับความทุกข์มหันต์ของเชลยในค่ายกักกัน ผ่านการใช้ “เสียง” ที่แม้จะมีกำแพงขวางกันพื้นที่ทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถกั้นเสียงของเสียงปืน เครื่องจักร และอย่างยิ่งกับเสียงร้องโหยหวนที่ลอยข้ามกำแพงมาเป็นระยะๆ หรือเสียงหวูดรถไฟในยามค่ำคืน(นำเชลยมา) ในระหว่างที่ตัวละครกำลังใช้ชีวิตอย่างไม่รู้สึกรู้สา ท่ามกลางกลิ่นอายและบรรยากาศของความตายที่ปกคลุมอยู่หนาอย่างหนาทึบ เคล้าไปกับภาพของธรรมชาติ สวน ดอกไม้และใบหญ้า

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องมีภาพความรุนแรงใดๆ ในเรื่อง แต่ประสบการณ์และภาพจำของผู้ชมแต่ละคนต่อเหตุการณ์นี้ จะเป็นตัวกำหนดความหนักมากหรือน้อยของความรู้สึกที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ไปโดยปริยาย หมายความว่าถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีชุดข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ภาพยนตร์เรื่องนี้แทบไม่มีความหมายต่อคุณ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ผู้กำกับเกลเซอร์ก็หยอด “ท่าที” ต่างๆ ข้างสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันอยู่ตลอดนอกจากเรื่องเสียง ทั้งผงสีขาว-เทา ที่ถูกทหารนำมาโปรย รอบๆ กำแพง ภาพ Night Vision ของเด็กหญิงที่แอบเอาแอปเปิ้ลไปวางไว้ในสถานที่หนึ่ง(เป็นฉากที่ทรงพลังมากหากตีความได้) รวมถึงสิ่งของและของใช้บางอย่างที่ครอบครัวนี้ได้รับมา ก็ล้วนแล้วแต่กระตุ้นความสะเทือนใจได้มากและเข้าใจได้ไม่ยากว่ามันคืออะไร

The Zone of Interest นำเสนอในเชิงของความเป็น “หนังทดลอง” คล้ายๆ กับ Under the Sikn (2013) ผลงานก่อนหน้าของเกลเซอร์ โดยแนวคิดของเขาในการสร้างงานชิ้นนี้มีความพยายามที่จะทำให้ภาพของการใช้ชีวิตของครอบครัวเฮิสนั้นออกมาธรรมดาที่สุด ทั้งการถ่ายทำที่มีการติดตั้งกล้องเอาไว้ตามจุดต่างๆ ในลักษณะคล้ายๆ กับรายการเรียลลิตี้ เพื่อให้นักแสดงรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนี้จริงๆ และผู้ชมก็จะรู้สึกเหมือนกับได้เฝ้ามองตัวละครเหล่านี้ในมุมมองที่เป็นคนนอก และการใช้สีภาพที่ไม่ได้ดูเก่าหรือย้อมเป็นสีขาวดำ เพราะต้องการให้เหมือนกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

ด้วยการนำเสนอลักษณะนี้ ว่ากันตามตรง The Zone of Interest จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ถูกใจทุกคนอย่างแน่นอน การดำเนินเรื่องที่ค่อนไปในทางจืดชืด ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ส่งผลต่อตัวละครในแบบที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของครอบครัวนี้ (มีนิดหน่อยเรื่องโดนย้ายตำแหน่ง) การวางกล้องนิ่งๆ ให้สำรวจพฤติกรรมตัวละครเหมือนนั่งดูปลาทองว่ายวนในอ่างน้ำไปมา ก็นำมาซึ่งความน่าเบื่อได้ในบางจังหวะเช่นกันหากธาตุไม่แข็งพอ

อีกสิ่งหนึ่งที่เข้าใจได้ว่าตัวผู้กำกับโจนาธาน เกลเซอร์ ตัดสินครอบครัวเฮิสไว้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นปีศาจอย่างแท้จริง ย้อนกลับไปที่ผลงานต้นฉบับที่ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียนที่ชื่อว่า มาร์ติน เอมิส (Martin Amis) ซึ่งในต้นฉบับไม่ได้ใช้ชื่อตัวละครจริงตามประวัติศาสตร์ แต่ผู้กำกับเกลเซอร์ใช้ชื่อ รูดอล์ฟ เฮิส และตัวละครอื่นๆ ตามจริงในภาพยนตร์ เพื่อย้ำชัดในบาปที่พวกเขาได้กระทำมันขึ้นมา

รวมถึงการบอกตรงๆ ไปเลยว่าพวกเขา(ครอบครัวเฮิส) รู้สึก “เฉยชาต่อระบบอันชั่วร้าย” อย่างแท้จริง จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะเห็นใจครอบครัวนี้เลย ทั้งตัวรูดอล์ฟ เฮิส (รับบทโดย Christian Friedel) ที่โหมงานหนักในการพยายามเร่งกำลังการกำจัดเชลยด้วยการออกแบบเตาเผาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉากที่แสดงธาตุแท้ของรูดอล์ฟได้ชัดเจนที่สุด คือ ฉากที่เขาทำหน้าเสียใจเมื่อต้องร่ำลาม้าคู่ใจไป ในขณะที่เขามองผู้คนถูกฆ่า(เผา)ได้อย่างหน้าตาเฉย ทางด้านภรรยาอย่างเฮดวิก เฮิส (รับบทโดย Sandra Hüller ซึ่งเธอได้ชิงออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงจากเรื่อง Anatomy of a Fall ในปีนี้) ก็ดูจะหวงแหนวิมานหลังนี้ซะเหลือเกิน หนำซ้ำยังเคยขู่เด็กสาวรับใช้ในบ้านที่ทำงานไม่ได้ดั่งใจทำนองว่าสามารถจับแกไปเผาในค่ายเมื่อไหร่ก็ได้

งานที่โดนเด่นอีกอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นงานด้านดนตรีประกอบ หากใครยังหลอนหูในดนตรีประกอบจาก Nope (2022) ของ Johnnie Burn ในฉากการปรากฏตัวของจานบินแล้ว เสียงดนตรีประกอบจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าหลอนหูไม่แพ้กัน (อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ) ทั้งในฉากเปิดและฉากปิดของเรื่อง ยิ่งในช่วงที่ตัวหนังสือเอ็นเครดิตขึ้นมามันยิ่งให้อารมณ์ของเสียงหวยโหนจากความตายได้อย่างสุดตัวจริงๆ (ควรอย่างยิ่งในการดูในโรงภาพยนตร์)

สรุป The Zone of Interest เป็นผลงานที่พลิกไปเล่าเรื่องอีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ที่แม้จะไม่มีความรุนแรงใดๆ แต่กลยุทธิ์ที่ผู้กำกับใช้กลับทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนความโหดร้ายออกมาได้ยิ่งกว่า แม้ว่าการดำเนินเรื่องอาจจะมีลักษณะเป็นหนังทดลองที่มีความเฉพาะตัวสูงมาก แต่หากเข้าใจในสิ่งที่เป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งความยอดเยี่ยมและสะท้อนชื่อไทยที่ใช้ชื่อว่า “วิมานนาซี” ได้ดีอย่างน่าขนลุกเลยทีเดียว


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่