ทำไมตำแหน่งโชกุน คนถือต้องมาจากสายมินะโมโตะ ทุกคนครับ?

พอสังเกตชื่อที่เป็นทางการของแต่ละคน (ไม่ว่าจะจริงหรือสมอ้าง) ชื่อของโชกุนไม่ว่าจะเป็นอะชิคะงะ หรือ โตตุกะวะ ก็ล้วนเป็น "มินะโมะโตะ โนะ ....) ทั้งหมดเลย

แต่คนที่ยิ่งใหญ่พอๆกันหลายคนกลับไม่ได้รับตำแหน่งโชกุน อย่าง โนบุนะงะ กับ ฮิเดะโยชิ เมื่อสังเกตชื่อทางการของ 2 คน จากรายชื่อ ไดโจะ ไดจิน ทั้ง 2 กลับเป็น "ไทระ โนะ โนบุนะงะ" กับ "ฟูจิวะระ โนะ ฮิเดะโยชิ" พอเป็น อิเอะยะสุ ไม่ว่าจะสืบสายมาจริงหรือไม่ แต่ชื่อก็ขึ้นเป็น "มินะโมะโตะ โนะ อิเอะยะสุ" คล้ายกับของ โชกุนอะชิคะงะ ที่ใช้ชื่อแนวนี้ อย่าง "มินะโมะโตะ โนะ โยชิมิตสึ" (อะชิคะงะ โยชิมิตสึ)

เลยสงสัย ทุกคนอ้างมาจากตระกูลยิ่งใหญ่ แต่ทำไม มีแค่คนจาก มินะโมะโตะ ถึงจะรับตำแหน่ง เซอิ ไท โชกุน ได้ครับ?
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ในสมัยเฮอันจะมีโคตรวงศ์ (clan) สำคัญสูงสุดในราชสำนักอยู่สี่ตระกูลคือ มินาโมโตะ (เก็นจิ) ไทระ (เฮเกะ) ฟุจิวาระ ทาจิบานะ   รายละเอียดเป็นตามที่ คห.1 อธิบายไว้ครับ  วงศ์หล่านี้มีสถานะเก่าแก่และมีความเกี่ยวข้องกับราชสำนักมายาวนาน จึงไม่แปลกที่จะมีการอ้างการสืบเชื้อสายมาจากวงศ์เหล่านี้เพิ่มเสริมสิทธิธรรมของตนเองครับ


ช่วงปลายสมัยเฮอัน ชนชั้นนักรบภายใต้การนำของสองวงศ์ใหญ่ที่สืบสายจากราชวงศ์คือมินาโมโตะกับไทระทำศึกชิงอำนาจกัน  มินาโมโตะชนะสกุลไทระอย่างเด็ดขาด  ผู้นำของมินาโมโตะคือ มินาโมโตะ โนะ โยริโทโมะ  ซึ่งเป็นเชื้อสายเซวะเก็นจิ (มินาโมโตะสายจักรพรรดิเซวะ) สายคาวาจิเก็นจิ ได้ขึ้นเป็นเซอิไทโชกุน  ก่อตั้งรัฐบาลบะกุฝุหรือรัฐบาลทหารที่เมืองคามากุระ เป็นสถาบันการปกครองประเทศโดยพฤตินัยโดยไม่อยู่ใต้ราชสำนัก  นับแต่นั้นมาชนชั้นนักรบจึงมีอำนาจขึ้นมาปกครองญี่ปุ่นแทนราชสำนัก    วงศ์มินาโมโตะซึ่งเป็นโชกุนจึงเป็นผู้นำของชนชั้นนักรบทั้งปวง


มีความเชื่อกันว่าผู้ครองตำแหน่งเซอิไทโชกุนต้องเป็นเชื้อสายเก็นจิเท่านั้น แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น โชกุนที่มาจากตระกูลอื่นก็มี ก่อนหน้ายุคคามากุระก็มีโชกุนสกุลอื่นจำนวนมากครับ


ในสมัยคามากุระมีเซอิไทโชกุนเชื้อสายเก็นจิแค่สามรุ่นเท่านั้น   ถัดมาไม่ได้เป็นชนชั้นนักรบ สองรุ่นมาจากสกุลคุโจ หนึ่งในห้าสกุลเสนาบดีที่สืบเชื้อสายวงศ์ฟุจิวาระ   ถัดมาอีกสี่รุ่นเป็นเจ้าชายในราชสำนักทั้งหมด


ในช่วงปฏิรูปเค็มมุที่จักรพรรดิโกะไดโงะฟื้นฟูอำนาจของราชสำนัก ล้มอำนาจโชกุนคามากุระ ตั้งโอรสของพระองค์ขึ้นเป็นเซอิไทโชกุนสืบต่อกันมาสองรุ่น

ภายหลัง อาชิคางะ ทาคาอุจิ แตกกับจักรพรรดิโกะไดโงะ ยึดเมืองเกียวโตได้ ตั้งจักรพรรดิหุ่นเชิดของตนเอง  มีอำนาจในฐานะผู้นำของชนชั้นนักรบ  จากนั้นจึงได้ขึ้นเป็นเซอิไทโชกุนคนแรกของยุคมุโรมาจิ  ราชสำนักแตกเป็นราชสำนักเหนือภายใต้การควบคุมของโชกุนสกุลอาชิคางะ  กับราชสำนักใต้ของจักรพรรดิโกะไดโงะ  ในราชสำนักใต้ตำแหน่งโชกุนเป็นของเจ้าชายในราชวงศ์

สกุลอาชิคางะเป็นสกุลย่อยของคาวาจิเก็นจิเหมือนกับโชกุนมินาโมโตะสมัยคามากุระ  โดยทางการแล้วใช้นามวงศ์ว่ามินาโมโตะเหมือนกัน แต่นามสกุลที่ใช้ทั่วไปคืออาชิคางะครับ


ในสมัยเซ็นโงกุ ก็มีไดเมียวหลายตระกูลที่อ้างตัวว่าสืบเชื้อสายมินาโมโตะหรือไทระ


สกุลโอดะของโนบุนางะอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากไทระ  โนบุนางะลงนามตัวเองว่า "ไทระ โนะ โนบุนางะ"

โนบุนางะเนรเทศอาชิคางะ โยชิอากิ ซึ่งเป็นโชกุนคนสุดท้ายของยุคมุโรมาจิออกจากเกียวโตใน ค.ศ. 1573  แต่จักรพรรดิโองิมาจิไม่ได้ปลดโยชิอากิจากตำแหน่งโชกุน  โยชิอากิยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับขุนศึกแคว้นต่างๆ อยู่อีกหลายปี     ภายหลังโยชิอากิสงบศึกกับฮิเดโยชิซึ่งเวลานั้นเป็นคัมปากุคุมอำนาจในราชสำนัก จึงได้กลับไปเกียวโต และสละตำแหน่งโชกุนเมื่อ ค.ศ. 1588

โนบุนางะรวบอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนขณะมีชีวิตมีตำแหน่งสูงสุดเป็นอุไดจิง (เสนาบดีขวา) ควบขุนพลองครักษ์ขวา  แต่ลาออกจากทั้งสองตำแหน่งใน ค.ศ. 1578  โดยมีหนังสือชี้แจงเหตุผลว่าเพราะการรวมแผ่นดินยังไม่สำเร็จ  เมื่อแผ่นดินสงบแล้วจึงจะขอรับตำแหน่ง  บางคนจึงตั้งทฤษฎีว่าโนบุนางะต้องการเป็นอิสระจากกรอบราชสำนัก   หรือไม่อาจเป็นด้วยตัวโนบุนางะไม่ได้แยแสกับตำแหน่ง   จึงปฏิเสธรับตำแหน่งเหล่านี้

ที่โนบุนางะไม่ยอมยกตัวเองขึ้นเป็นโชกุน เข้าใจว่าเพราะโยชิอากิยังถือครองตำแหน่งโชกุนอยู่ โดยจักรพรรดิยังไม่ได้ให้ปลดออก  แม้โยชิอากิจะไม่มีอำนาจ แต่โนบุนางะคงจะขึ้นแทนตามใจชอบไม่ได้  นอกจากนี้การยกตัวเองเป็นโชกุนอาจทำให้ขุนศึกกลุ่มอื่นๆ ที่ยังภักดีต่อตระกูลอาชิคางะไม่ยอมรับและใช้เป็นข้ออ้างต่อต้านได้ด้วย  โนบุนางะจึงเลือกอยู่ในตำแหน่งอื่นมากกว่าจะขึ้นเป็นโชกุน

ก่อนโนบุนางะตายไม่นาน มีการวางแผนเสนอจะยกตำแหน่งโนบุนางะให้สูงขึ้นโดยเลือกระหว่างไดโจไดจิง (太政大臣) ที่อัครมหาเสนาบดี  คัมปากุ (関白) ที่ผู้สำเร็จราชการ  หรือเซอิไทโชกุน  แต่ไม่ปรากฏข้อสรุปชัดเจน   แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่วัดฮนโนจิ  ทำให้โนบุนางะตายก่อนจะได้เลื่อนตำแหน่ง  หลังจากโนบุนางะตายไม่กี่เดือน ราชสำนักจึงอวยยศย้อนหลังให้เป็นไดโจไดจิง      

การที่มีการเสนอให้โนบุนางะขึ้นเป็นโชกุนแสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งโชกุนไม่ได้สงวนไว้เฉพาะเชื้อสายเก็นจิอย่างที่เข้าใจกันครับ



ฮิเดโยชิชาติตระกูลต่ำ ช่วงแรกทำเหมือนโนบุนางะใช้นามวงศ์ทางการว่าไทระ  แต่เมื่อได้เป็นบุตรบุญธรรมของเสนาบดีตระกูลโคโนเอะ เลยเปลี่ยนมาใช้นามวงศ์ฟุจิวาระแทน  แล้วได้รับตำแหน่งเป็นคัมปากุ     

แต่ต่อมาฮิเดโยชิขอพระราชทานนามวงศ์ "โทโยโทมิ"  เพื่อตั้งเป็นวงศ์ผู้สำเร็จราชการใหม่ของตนเองโดยไม่ยึดโยงกับฟุจิวาระ  และได้ควบตำแหน่งไดโจไดจิงที่อัครมหาเสนาบดีอีกตำแหน่งด้วย


เรื่องที่ฮิเดโยชิไม่ได้เป็นโชกุนมีเล่ากันหลายทาง  เช่นเพราะชาติตระกูลต่ำเลยเป็นไม่ได้ หรือไปขอเป็นบุตรบุญธรรมของโชกุนโยชิอากิแต่ถูกปฏิเสธ  แต่มีการวิเคราะห์ว่าเรื่องเล่าพวกนี้น่าจะแต่งขึ้นในสมัยเอโดะ   และพบหลักฐานด้วยว่าราชสำนักเคยเสนอตั้งฮิเดโยชิเป็นโชกุนด้วย แต่ฮิเดโยชิเป็นฝ่ายปฏิเสธเอง

ในทางปฏิบัติ ตำแหน่งคัมปากุเป็นยากยิ่งกว่าโชกุนอีก  เพราะถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชสำนัก นับแต่สมัยเฮอันมา 700 กว่าปีสงวนไว้ในสกุลเสนาบดีเชื้อวงศ์ฟุจิวาระทั้งห้าคือ โคโนเอะ คุโจ ทาคัตสึคาสะ อิจิโจ นิโจ เท่านั้น  ซึ่งจะสลับกันขึ้นมาครองตำแหน่งคัมปากุตามวาระ

ฮิเดโยชิเป็นชนชั้นนักรบคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งนี้เพราะไปเป็นลูกบุญธรรมสกุลโคโนะเอะ   โดยตอนนั้นมีปัญหาแย่งตำแหน่งคัมปากุกันระหว่างสกุลโคโนเอะกับสกุลนิโจ   สกุลโคโนเอะยอมดึงฮิเดโยชิเข้ามาเพราะอย่างน้อยฮิเดโยชิจะเป็นคัมปากุจากสกุลโคโนเอะเข้าใจว่าฮิเดโยชิจะส่งต่อตำแหน่งให้คนในตระกูลโคโนเอะต่อ

แต่เมื่อฮิเดโยชิได้เป็นแล้วกลับแยกมาตั้งวงศ์โทโยโทมิของตนต่างหาก  และพยายามจะส่งต่อตำแหน่งคัมปากุให้ทายาทในตระกูลโทโยโทมิของตนเอง   ตำแหน่งคัมปากุที่สืบทอดกันมาในเชื้อสายฟุจิวาระหลายร้อยปีจึงตกไปอยู่กับตระกูลของนักรบแทน

มีการวิเคราะห์ว่า ฮิเดโยชิต้องการจะสร้างให้ตำแหน่งคัมปากุกลายเป็นตำแหน่งสูงสุดของชนชั้นนักรบแทนที่โชกุน และพยายามจัดสรรตำแหน่งในราชสำนักให้ตกเป็นของไดเมียวในสังกัด

ภายหลังฮิเดโยชิยกตำแหน่งคัมปากุให้ฮิเดสึงุ ลูกของพี่สาวที่เป็นบุตรบุญธรรม (เวลานั้นเป็นไนไดจิงด้วย) ฮิเดโยชิจึงกลายเป็น “ไทโก” คือคัมปากุที่สละตำแหน่งให้ทายาท  แต่ยังคงครองตำแหน่งโดโจไดจิงตามเดิม ยังคงมีอำนาจสูงสุดโดยพฤตินัย    ส่วนฮิเดสึงุต่อมาได้เลื่อนเป็นซะไดจิงอีกตำแหน่งด้วย

ต่อมาฮิเดสึงุถูกสั่งให้คว้านท้องเนื่องจากถูกซัดทอดว่าคิดกบฏ    สันนิษฐานกันว่าฮิเดโยชิกำจัดฮิเดสึงุเพื่อเปิดทางให้ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองคือฮิเดโยริที่เพิ่งเกิดไม่นาน  ตำแหน่งคัมปากุถูกปล่อยว่าง เพราะฮิเดโยชิต้องการส่งต่อให้ฮิเดโยริเมื่อเป็นผู้ใหญ่

ในช่วงบั้นปลายของฮิเดโยชิ ตำแหน่งเสนาบดีใหญ่ๆ ทั้งคัมปากุ ซะไดจิง อุไดจิง ว่างทั้งหมด ฮิเดโยชิไม่ปล่อยให้สกุลขุนนางได้กลับมาครองตำแหน่ง  ส่วนตำแหน่งไนไดจิง (เสนาบดีใน) ยกให้อิเอยาสึซึ่งเป็นไดเมียวที่ทรงอำนาจที่สุดเวลานั้น

แต่หลังจากอิเอยาสึขึ้นมามีอำนาจ ก็เริ่มดึงสกุลขุนนางที่ถูกฮิเดโยชิปลดออกกลับมาเป็นเสนาบดีใหม่  หลังสงครามเซกิงาฮาระ ตำแหน่งคัมปากุก็กลับไปเป็นของเสนาบดีวงศ์ฟุจิวาระอย่างในอดีต ไม่ได้ถูกส่งต่อให้ฮิเดโยริ



อิเอยาสึ มาจากสกุลมัตสึไดระแห่งมิคาวะ ซึ่งอ้างว่าสกุลของตนสืบเชื้อสายจากสกุลเซราดะ (世良田)  ซึ่งมาจากสกุลนิตตะ  ซึ่งสืบวงศ์เซวะเก็นจิสายคาวาจิ (ต้นตระกูลนิตตะกับอาชิคางะเป็นพี่น้องกัน)  

ต้นสกุลนิตตะคนแรกชื่อ มินาโมโตะ โนะ โยชิชิเงะ   มีลูกชายคนที่สี่ชื่อโยชิสุเอะ เป็นต้นสกุลเซราดะ   ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ชื่อโทกุงาวะ (得川) จึงเรียกกันว่า โทกุงาวะ โยชิสุเอะ

อิเอยาสึอ้างเรื่องเชื้อสายสกุลเซราดะกับราชสำนักเพื่อขอบรรดาศักดิ์   "มิคาวะ โนะ คามิ" (三河守) เพื่ออ้างความชอบธรรมในการครอบครองพื้นที่มิคาวะ   แต่ถูกราชสำนักปฏิเสธเพราะว่าไม่เคยมีคนสกุลเซราดะได้ตำแหน่งนี้    อิเอยาสึไปปรึกษาเสนาบดีสกุลโคโนเอะแล้วได้เอกสารมาอ้างว่าสกุลโทกุงาวะแห่งนิตตะเคยใช้นามวงศ์ฟุจิวาระ    อิเอยาสึจึงได้รับตำแหน่งจากราชสำนักเป็นขุนนางขั้นห้าระดับล่าง  มิคาวะ โนะ คามิ  และสามารถใช้นามวงศ์ฟุจิวาระได้   และได้เปลี่ยนนามสกุลของตนจากมัตสึไดระเป็นโทกุงาวะ (เปลี่ยนอักษรจาก 得川 เป็น 徳川 แต่อ่านเหมือนกัน)

แต่ภายหลังอิเอยาสึเปลี่ยนนามวงศ์จากฟุจิวาระเป็นมินาโมโตะ     มีการศึกษาเอกสารว่าน่าจะเปลี่ยนมาใช้ไล่เลี่ยกับที่โชกุนโยชิอากิถวายตำแหน่งโชกุนคืนแก่ราชสำนักแล้วออกบวช     อาจเพราะว่าความเป็นมินาโมโตะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งโชกุนมากกว่าฟุจิวาระ และสามารถอ้างความสืบเนื่องกับโชกุนอาชิคางะได้ด้วย  เรื่องนี้อาจสะท้อนถึงความทะเยอทะยานของอิเอยาสึที่คิดจะตั้งตัวเป็นโชกุนในอนาคต


ใน ค.ศ. 1603  อิเอยาสึได้เป็นเซอิไทโชกุน  เป็นประมุขสกุลวงศ์มินาโมโตะ ก่อตั้งบะกุฝุที่เมืองเอโดะ  และเลื่อนจากไนไดจิงเป็นอุไดจิง   กลายเป็นผู้นำของชนชั้นนักรบและกลายเป็นผู้ปกครองญี่ปุ่นแทนสกุลโทโยโทมิโดยแม้จริง

ตำแหน่งไนไดจิงเป็นของฮิเดโยริแทน  แม้สกุลโทโยโทมิจะเสียอำนาจสูงสุดไป แต่ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ที่โอซากะ  ทางโทุงาวะกับโทโยโทมิก็ยังมีความพยายามปรองดองกันอยู่พอสมควรอีกหลายปี จนเกิดสงครามที่โอซากะ


อิเอยาสึลาออกจากตำแหน่งอุไดจิงหลังจากได้รับตำแหน่งไม่ถึงปี  ต่อมาใน ค.ศ. 1605  อิเอยาสึสละตำแหน่งโชกุนให้บุตรชายคือฮิเดทาดะ แต่อิเอยาสึยังเป็นประมุขสกุลมินาโมโตะ

ในปีเดียวกันฮิเดโยริจึงได้เลื่อนเป็นอุไดจิง   ค.ศ. 1606 ฮิเดทาดะได้เป็นไนไดจิงและขุนพลองครักษ์ขวา  ค.ศ. 1607 ฮิเดโยริลาออกจากตำแหน่งอุไดจิง

ค.ศ. 1614 ราชสำนักเลื่อนอิเอยาสึเป็นไดโจไดจิง  เลื่อนฮิเดทาดะเป็นอุไดจิง แต่อิเอยาสึปฏิเสธตำแหน่ง

ค.ศ. 1615 บะกุฝุออกกฎแยกอำนาจระหว่างราชสำนักกับบะกุฝุออกจากกันเด็ดขาด  ไม่ให้ชนชั้นนักรบมีตำแหน่งไดจิง (เสนาบดี) ในราชสำนัก  การแต่งตั้งตำแหน่งในรัฐบาลไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก  นักรบคนเดียวที่สามารถมีตำแหน่งในราชสำนักได้คือโชกุน

ค.ศ. 1616  อิเอยาสึล้มป่วย ราชสำนักตั้งอิเอยาสึเป็นไดโจไดจิงก่อนเสียชีวิต 1 เดือน



โชกุนส่วนใหญ่ในสมัยเอโดะมีตำแหน่งในราชสำนักสูงสุดเป็นอุไดจิง   มีอยู่ 3 คนได้เป็นไดโจไดจิงคือ อิเอยาสึ  โชกุนรุ่นที่ 2 ฮิเดทาดะ  โชกุนรุ่นที่ 11 อิเอนาริ  

อิเอยาสึกับฮิเดทาดะได้เป็นไดโจไดจิงหลังสละตำแหน่งโชกุนให้ลูกชาย    อิเอนาริเป็นโชกุนยาวนานมากและได้เลื่อนตำแหน่งตามลำดับตั้งแต่ ไนไดจิง อุไดจิง ซะไดจิง  จนเมื่อครองตำแหน่งโชกุน 40 ปี จึงขอตำแหน่งไดโจไดจิงจากราชสำนัก โดยที่ยังครองตำแหน่งโชกุนอยู่ด้วย ภายหลังเมื่อสละตำแหน่งโชกุนแล้วก็ยังเป็นไดโจไดจิงอยู่

โชกุนรุ่นที่ 3 อิเอมิตสึ มีตำแหน่งสูงสุดเป็นซะไดจิงและขุนพลองครักษ์ซ้าย (ได้รับแต่งตั้งคราวเดียวกับที่ฮิเดทาดะในฐานะอดีตโชกุนได้เลื่อนเป็นไดโจไดจิง)   ราชสำนักเคยจะเลื่อนอิเอมิตสึขึ้นเป็นไดโจไดจิงใน ค.ศ. 1634 แต่เจ้าตัวปฏิเสธ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่