ความเดิมต่อจากกระทู้นี้ค่ะ
https://pantip.com/topic/42538257
คุณน้าที่เคารพนับถือ ท่านไปเที่ยวมา และเช่นเคยที่ท่านได้กรุณาหลานนอกไส้อย่างธาราสินธุ์อีกครั้งด้วยการแบ่งปัน เล่าประสบการณ์สนุก ๆ จากการไปเที่ยวมาให้ได้อ่านกัน
ขออนุญาตเอามาเผยแพร่ต่อในพันทิปให้ผู้สนใจหรือแฟนานุแฟนของคุณน้าได้ร่วมเพลิดเพลินไปด้วย
เชิญติดตามต่อได้เลยค่ะ
วันที่ 4: It’s a must!
ก่อนขึ้นรถไปชมวัดน้ำฮูเช้านี้ หัวหน้าทัวร์ได้กล่าวด้ยถ้อยคำอันอ่อนหวานว่า “ขอเชิญทุกคนที่มาจากกรุงเทพ ย้ำนะคะว่าเฉพาะคณะเราที่มาจากกรุงเทพเท่านั้นขึ้นรถได้ค่ะ” หันไปดูรอบตัวก็ไม่เห็นมีผู้อื่นใดนอกจากพวกเราชาวคนแก่ และคนสวนที่กำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ แหม! เขาคงไม่อยากไปด้วยหรอก ไม่รู้จะกีดกันไปทำไม! แต่ช้าก่อน เรื่องเล่าเช้านี้มีคำตอบ
คือว่าเมื่อหลายปีก่อนคุณเพื่อนคนนี้ได้ไปประชุมสัมมนาที่จังหวัดภาคใต้ ในฐานะหัวหน้าโครงการ จึงได้พักห้องสวีทในโรงแรมชั้นนำ แต่คืนนั้นเธอแทบไม่ได้นอน เพราะในห้องมีกลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นบุหรี่คลุ้ง รุ่งขึ้นในฐานะหัวหน้าคณะ เธอก็เชิญให้ทุกคนขึ้นรถเพื่อเดินทางไปประชุมต่อในจังหวัดถัดไป และปรากฏการณ์ห้องเหม็นก็เกิดขึ้นแก่เธออีกครั้ง ด้วยสีหน้าอิดโดรย เธอบ่นให้เพื่อนๆ ฟังว่านอนไม่หลับมา 2 คืนแล้ว ทรมานจริง เผอิญในคณะมีผู้มีสัมผัสพิเศษอยู่ด้วย เธอเห็นภาพนักท่องเที่ยวชายคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่ห้องโรงแรมแห่งแรก และเขาต้องการจะกลับบ้านที่กรุงเทพ ได้ยินเธอชวนขึ้นรถและเห็นว่าพวกเรามาจากกรุงเทพ คงจะกลับกรุงเทพแน่ จึงขออาศัยไปด้วย ฉะนั้นจงระวังอย่าไปชวนใครสุ่มสี่สุ่มห้านะคุณ!
อันว่าน้ำฮูนี้เป็นภาษาเหนือ ฮูแปลว่ารู น้ำฮูคือน้ำที่ผุดขึ้นมาจากรูนั่นเอง ในโบสถ์มีพระพุทธรูปซึ่งเศียรกลวงหมุนเกลียวเปิดได้ มีน้ำซึมเข้ามาในช่องเศียร ทุกปีจะมีพิธีเปิดเศียร 1 ครั้ง เพื่อตักไปทำน้ำมนต์ โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้ทำแต่ผู้เดียว ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ เมื่ออากาศเย็น ทำให้พระที่เป็นโลหะก็เย็นด้วย ทำให้ไอน้ำในอากาศในช่องเศียรกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ขังอยู่เต็มช่องเศียรเหมือนแมจิก ถ้าอธิบายตามหลักอิทธิฤทธิ์ศาสตร์ ก็คือความศักดิ์สิทธิ์อันจะน้อมนำทำให้เกิดศรัทธาในคำสอนของพุทธศาสนา
เราแวะทำบุญเพื่อความเป็นศิริมงคล ได้รับน้ำมนต์และพรจากพระท่าน ที่หลังโบสถ์มีเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระอัฐิของพระนางสุพรรณกัลยาด้วย และยังมีบ่อน้ำลึกซึ่งมีน้ำซึมขึ้นมาเต็มตลอดอยู่ด้วยสมตามชื่อวัด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่าเส้นทางจะคดเคี้ยว ผ่านป่าเขาลำเนาไพรไปไกลแค่ไหน แต่ถนนก็ยังดีเยี่ยม รู้สึกขอบคุณกรมทางหลวง รพช. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และรัฐบาลที่แล้วๆ มาที่ได้สร้างสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้เราได้ใช้สอย ภูมิใจจังที่เป็นคนไทย ที่มีประเทศที่สวยงามและสะดวก อยากให้ทุกคนได้มาเห็นจะได้เกิดความปลาบปลื้มในความโชคดีของตนและรักชาติขึ้นมาบ้าง ได้ยินไหม?
และสำหรับสาวกกาแฟ ไม่ต้องห่วงว่าจะอดจนเกิดอาการเสี้ยน ตลอดทางมีคาเฟ่เก๋ๆ ขายกาแฟทุกชนิดที่พึงมีกันในร้านกาแฟโก้ๆ ในเมืองกรุงตั้งแต่คาปูชิโน่ มัคคิอาโต้ ไวท์มอลต์ เดอตี้ และอะไรโต้ๆ โอ้ๆ อีกสารพัดชนิดตลอดระยะทางทุกบ่อยทุกดอย อะเมซิ่งมาก!
อ้อ! บนดอยสูงแถวปางมะผ้าไปยังหมู่บ้านรักไทย มีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อย ไม่ต้องปรุงเลยอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านหินหรือวังหินอะไรเนี่ย เพราะร้านประดับด้วยก้อนกรวด ไม่พลาดหรอก ทว่าเวลาจะไปห้องน้ำต้องไต่กระไดสูงลงไปมากกก จากยอดดอยลงไปหุบเหว! คนเข่าไม่ดีพึงระวัง
เออ! ของแปลกบนดอยอีกอย่างหนึ่งที่เห็นบ่อยๆ ข้างถนนได้แก่เมรุเผาศพ สร้างเป็นศาลาทรงสูงง่ายๆครอบเชิงตะกอน ไม่ยักไปแอบสร้างไว้ในที่มิดชิดหน่อย ใครรู้เหตุผลวานบอกหน่อยเถอะ ฉันสงสัยค่ะ
บ่ายวันนั้นเราก็ถึงดินแดน Shangrila ในฝันของฉันเสียที หรือในชื่อภาษาไทยว่าชุมชนบ้านไทยรักไทย…เอ้ยไม่ใช่ ชุมชนบ้านรักไทยเฉยๆ ของชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน คือชาวจีนพลัดถิ่นนั่นแหละ จากสมัยโพ้น (ไปค้นประวัติอ่านเองเถอะ) อยู่กลางหุบเขา บ้านเรือนกระจายอยู่บนเนินเขารอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เหมือนทะเลสาบ ทัศนียภาพงดงามมาก เหมือนหลงไปอยู่ในต่างประเทศเลย เพราะมีนักท่องเที่ยวเช่าชุดจีนเดินเตร็ดเตร่อยู่ทั่วไป
เดิมทีชาวบ้านที่อพยพมาก็ทำอาชีพเกษตรกรรม ปลูกชา ฝิ่น ผักผลไม้ ในหลวง ร.9 ท่านให้โครงการหลวงมาดูแลชาวบ้านให้เลิกปลูกฝิ่นและหันมามีอาชีพเกษตรกรรมแบบทันสมัยและยั่งยืน และต่อยอดมาทำการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ชาวจีนฮ่อเหล่านี้จึงรักในหลวง ร.9 มาก คนจีนถือคติว่า ‘กินข้าวใครต้องรู้บุณคุณท่าน’ พระเจ้าอยู่หัวให้เรามาอยู่อาศัย เราจึงต้องสำนึกในบุญคุณของท่าน ดังนั้น นั่งรถผ่านหมู่บ้าน จึงเห็นแผ่นป้ายมีข้อความว่า ‘ใต้ร่มพระบารมี เราจึงอยู่เย็นเป็นสุขจนทุกวันนี้’ หรือ ‘บ้านรักไทย เรารักในหลวง ร.9’ ฯลฯ อยู่เป็นระยะ เห็นแล้วตื้นตันใจมาก แล้วพวกที่กำลังเย้วๆ อยู่ทุกวันนี้เล่า มีสำนึกบ้างไหม?
วัดน้ำฮู
เจดีย์พระสุพรรณกัลยา
วิวจากโรงเตี๊ยมที่พัก
ตกดึกเราลงเรือตกแต่งแบบเก๋งจีน ลอยวนไปในสายชลแห่งอ่างเก็บน้ำ ตามไหล่เขาประดับด้วยโคมไฟสีแดงแห่งบ้านคน มีหมอกลอยบางๆ โชคดีที่เรือลำของฉันได้หนุ่มไอเดียกระฉูดเป็นฝีพาย เขามีไฟฉายแบบช่างภาพอาชีพ ถ่ายรูปให้เราพร้อมกำกับการแสดงให้ด้วย เช่น “มาม๊า หันมาทางปาป๊า ชนถ้วยชาแล้วยิ้มน้อยๆ” มาม๊าหันข้าง ทำหน้าหยิ่ง” “มาม๊า ทำท่าจิบชา” ฯลฯ เรือลำอื่นอิจฉาเราใหญ่ เพราะได้แต่นั่งทื่อถ่ายรูปกันเองด้วยท่าเกร็งๆ นั่งเรือชมทะเลสาบนี่มีรอบเช้าด้วยซึ่งจะประกอบฉากด้วยสายหมอกบางๆ แต่ฉันว่ารอบกลางคืน ‘ฟิน’ กว่านะ เพราะมีวิวโคมไฟวิบวับและเพราะไม่ได้ตื่นไปรอบเช้าไง 555!
ท่าเรือ
2 ฮูหยิน (อาซิ้ม) บนเกี้ยวยนต์
ขึ้นจากเรือไปกินมื้อเย็นที่ภัตตาคารริมทะเลสาบ เห็นวิวเรือลอยลำเท้งเต้งและโคมไฟบนเขางดงาม เมนูก็ตามเคยของเขาแหละ ซุปไก่ดำตุ๋นยาจีน ขาหมูหม่านโถว ยำใบชา เคาหยก ฯลฯ ประมาณนั้น ถ้าหิ้วไวน์ไปเขาคิดค่าเปิดขวด 50 บาทค่ะ
อิ่มแล้วคนแก่ก็ขึ้นห้องไปนอน เหลือแต่จอมซนคนสวย (ว่าเอง เออเอง) คือฮูหยินวัย 80 อัพ 2 คนประทับในเก๋งจีนบนเกี้ยวยนต์ (รถตุ๊กๆ) ชมวิวรอบทะเลสาบก่อนขึ้นนอน
คืนนั้นก่อนเข้านอน เพื่อนร่วมห้องได้รำพึงว่า “เราไม่น่าจะกินขาหมู เคาหยก และหมูสามชั้น 1000 ปีไปติดๆกันทั้ง 2 วันเลยนะเธอ เพราะเราก็อ้วนอยู่แล้ว” แต่ในวินาทีต่อมาเธอก็รำพรรณว่า “แต่ตำราเขาว่า ถ้าอากาศหนาว อนุญาตให้กินไขมันได้ เพราะมันจะทำให้ร่างกายอบอุ่น งั้นเราไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะเตง!” ว่าแล้วสองนางก็นอนหลับไปด้วยความสุขแบบ Guilt-free
Good night and sweet dream ค่ะ
ป.ล. ขอร้องเลย หมู่บ้านรักไทนี่ It’s a must นะคะ โรงเตี๊ยมเขามี 2 แบบ แบบริมน้ำรอบอ่างเก็บน้ำและบนไหล่เขา หรือท่ามกลางไร่ปลูกชา ต้องจองเนิ่นๆ นะคะ ของเราขนาดจองก่อน 3 เดือนยังแทบ ‘ไม่ตรงปก’ เสียทีเดียวเลย
หญิงชราพาขึ้นดอย ตอนจบ
https://pantip.com/topic/42538257
คุณน้าที่เคารพนับถือ ท่านไปเที่ยวมา และเช่นเคยที่ท่านได้กรุณาหลานนอกไส้อย่างธาราสินธุ์อีกครั้งด้วยการแบ่งปัน เล่าประสบการณ์สนุก ๆ จากการไปเที่ยวมาให้ได้อ่านกัน
ขออนุญาตเอามาเผยแพร่ต่อในพันทิปให้ผู้สนใจหรือแฟนานุแฟนของคุณน้าได้ร่วมเพลิดเพลินไปด้วย
เชิญติดตามต่อได้เลยค่ะ
วันที่ 4: It’s a must!
ก่อนขึ้นรถไปชมวัดน้ำฮูเช้านี้ หัวหน้าทัวร์ได้กล่าวด้ยถ้อยคำอันอ่อนหวานว่า “ขอเชิญทุกคนที่มาจากกรุงเทพ ย้ำนะคะว่าเฉพาะคณะเราที่มาจากกรุงเทพเท่านั้นขึ้นรถได้ค่ะ” หันไปดูรอบตัวก็ไม่เห็นมีผู้อื่นใดนอกจากพวกเราชาวคนแก่ และคนสวนที่กำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ แหม! เขาคงไม่อยากไปด้วยหรอก ไม่รู้จะกีดกันไปทำไม! แต่ช้าก่อน เรื่องเล่าเช้านี้มีคำตอบ
คือว่าเมื่อหลายปีก่อนคุณเพื่อนคนนี้ได้ไปประชุมสัมมนาที่จังหวัดภาคใต้ ในฐานะหัวหน้าโครงการ จึงได้พักห้องสวีทในโรงแรมชั้นนำ แต่คืนนั้นเธอแทบไม่ได้นอน เพราะในห้องมีกลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นบุหรี่คลุ้ง รุ่งขึ้นในฐานะหัวหน้าคณะ เธอก็เชิญให้ทุกคนขึ้นรถเพื่อเดินทางไปประชุมต่อในจังหวัดถัดไป และปรากฏการณ์ห้องเหม็นก็เกิดขึ้นแก่เธออีกครั้ง ด้วยสีหน้าอิดโดรย เธอบ่นให้เพื่อนๆ ฟังว่านอนไม่หลับมา 2 คืนแล้ว ทรมานจริง เผอิญในคณะมีผู้มีสัมผัสพิเศษอยู่ด้วย เธอเห็นภาพนักท่องเที่ยวชายคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่ห้องโรงแรมแห่งแรก และเขาต้องการจะกลับบ้านที่กรุงเทพ ได้ยินเธอชวนขึ้นรถและเห็นว่าพวกเรามาจากกรุงเทพ คงจะกลับกรุงเทพแน่ จึงขออาศัยไปด้วย ฉะนั้นจงระวังอย่าไปชวนใครสุ่มสี่สุ่มห้านะคุณ!
อันว่าน้ำฮูนี้เป็นภาษาเหนือ ฮูแปลว่ารู น้ำฮูคือน้ำที่ผุดขึ้นมาจากรูนั่นเอง ในโบสถ์มีพระพุทธรูปซึ่งเศียรกลวงหมุนเกลียวเปิดได้ มีน้ำซึมเข้ามาในช่องเศียร ทุกปีจะมีพิธีเปิดเศียร 1 ครั้ง เพื่อตักไปทำน้ำมนต์ โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้ทำแต่ผู้เดียว ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ เมื่ออากาศเย็น ทำให้พระที่เป็นโลหะก็เย็นด้วย ทำให้ไอน้ำในอากาศในช่องเศียรกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ขังอยู่เต็มช่องเศียรเหมือนแมจิก ถ้าอธิบายตามหลักอิทธิฤทธิ์ศาสตร์ ก็คือความศักดิ์สิทธิ์อันจะน้อมนำทำให้เกิดศรัทธาในคำสอนของพุทธศาสนา
เราแวะทำบุญเพื่อความเป็นศิริมงคล ได้รับน้ำมนต์และพรจากพระท่าน ที่หลังโบสถ์มีเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระอัฐิของพระนางสุพรรณกัลยาด้วย และยังมีบ่อน้ำลึกซึ่งมีน้ำซึมขึ้นมาเต็มตลอดอยู่ด้วยสมตามชื่อวัด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่าเส้นทางจะคดเคี้ยว ผ่านป่าเขาลำเนาไพรไปไกลแค่ไหน แต่ถนนก็ยังดีเยี่ยม รู้สึกขอบคุณกรมทางหลวง รพช. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และรัฐบาลที่แล้วๆ มาที่ได้สร้างสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้เราได้ใช้สอย ภูมิใจจังที่เป็นคนไทย ที่มีประเทศที่สวยงามและสะดวก อยากให้ทุกคนได้มาเห็นจะได้เกิดความปลาบปลื้มในความโชคดีของตนและรักชาติขึ้นมาบ้าง ได้ยินไหม?
และสำหรับสาวกกาแฟ ไม่ต้องห่วงว่าจะอดจนเกิดอาการเสี้ยน ตลอดทางมีคาเฟ่เก๋ๆ ขายกาแฟทุกชนิดที่พึงมีกันในร้านกาแฟโก้ๆ ในเมืองกรุงตั้งแต่คาปูชิโน่ มัคคิอาโต้ ไวท์มอลต์ เดอตี้ และอะไรโต้ๆ โอ้ๆ อีกสารพัดชนิดตลอดระยะทางทุกบ่อยทุกดอย อะเมซิ่งมาก!
อ้อ! บนดอยสูงแถวปางมะผ้าไปยังหมู่บ้านรักไทย มีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อย ไม่ต้องปรุงเลยอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านหินหรือวังหินอะไรเนี่ย เพราะร้านประดับด้วยก้อนกรวด ไม่พลาดหรอก ทว่าเวลาจะไปห้องน้ำต้องไต่กระไดสูงลงไปมากกก จากยอดดอยลงไปหุบเหว! คนเข่าไม่ดีพึงระวัง
เออ! ของแปลกบนดอยอีกอย่างหนึ่งที่เห็นบ่อยๆ ข้างถนนได้แก่เมรุเผาศพ สร้างเป็นศาลาทรงสูงง่ายๆครอบเชิงตะกอน ไม่ยักไปแอบสร้างไว้ในที่มิดชิดหน่อย ใครรู้เหตุผลวานบอกหน่อยเถอะ ฉันสงสัยค่ะ
บ่ายวันนั้นเราก็ถึงดินแดน Shangrila ในฝันของฉันเสียที หรือในชื่อภาษาไทยว่าชุมชนบ้านไทยรักไทย…เอ้ยไม่ใช่ ชุมชนบ้านรักไทยเฉยๆ ของชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน คือชาวจีนพลัดถิ่นนั่นแหละ จากสมัยโพ้น (ไปค้นประวัติอ่านเองเถอะ) อยู่กลางหุบเขา บ้านเรือนกระจายอยู่บนเนินเขารอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เหมือนทะเลสาบ ทัศนียภาพงดงามมาก เหมือนหลงไปอยู่ในต่างประเทศเลย เพราะมีนักท่องเที่ยวเช่าชุดจีนเดินเตร็ดเตร่อยู่ทั่วไป
เดิมทีชาวบ้านที่อพยพมาก็ทำอาชีพเกษตรกรรม ปลูกชา ฝิ่น ผักผลไม้ ในหลวง ร.9 ท่านให้โครงการหลวงมาดูแลชาวบ้านให้เลิกปลูกฝิ่นและหันมามีอาชีพเกษตรกรรมแบบทันสมัยและยั่งยืน และต่อยอดมาทำการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ชาวจีนฮ่อเหล่านี้จึงรักในหลวง ร.9 มาก คนจีนถือคติว่า ‘กินข้าวใครต้องรู้บุณคุณท่าน’ พระเจ้าอยู่หัวให้เรามาอยู่อาศัย เราจึงต้องสำนึกในบุญคุณของท่าน ดังนั้น นั่งรถผ่านหมู่บ้าน จึงเห็นแผ่นป้ายมีข้อความว่า ‘ใต้ร่มพระบารมี เราจึงอยู่เย็นเป็นสุขจนทุกวันนี้’ หรือ ‘บ้านรักไทย เรารักในหลวง ร.9’ ฯลฯ อยู่เป็นระยะ เห็นแล้วตื้นตันใจมาก แล้วพวกที่กำลังเย้วๆ อยู่ทุกวันนี้เล่า มีสำนึกบ้างไหม?
วัดน้ำฮู
เจดีย์พระสุพรรณกัลยา
วิวจากโรงเตี๊ยมที่พัก
ตกดึกเราลงเรือตกแต่งแบบเก๋งจีน ลอยวนไปในสายชลแห่งอ่างเก็บน้ำ ตามไหล่เขาประดับด้วยโคมไฟสีแดงแห่งบ้านคน มีหมอกลอยบางๆ โชคดีที่เรือลำของฉันได้หนุ่มไอเดียกระฉูดเป็นฝีพาย เขามีไฟฉายแบบช่างภาพอาชีพ ถ่ายรูปให้เราพร้อมกำกับการแสดงให้ด้วย เช่น “มาม๊า หันมาทางปาป๊า ชนถ้วยชาแล้วยิ้มน้อยๆ” มาม๊าหันข้าง ทำหน้าหยิ่ง” “มาม๊า ทำท่าจิบชา” ฯลฯ เรือลำอื่นอิจฉาเราใหญ่ เพราะได้แต่นั่งทื่อถ่ายรูปกันเองด้วยท่าเกร็งๆ นั่งเรือชมทะเลสาบนี่มีรอบเช้าด้วยซึ่งจะประกอบฉากด้วยสายหมอกบางๆ แต่ฉันว่ารอบกลางคืน ‘ฟิน’ กว่านะ เพราะมีวิวโคมไฟวิบวับและเพราะไม่ได้ตื่นไปรอบเช้าไง 555!
ท่าเรือ
2 ฮูหยิน (อาซิ้ม) บนเกี้ยวยนต์
ขึ้นจากเรือไปกินมื้อเย็นที่ภัตตาคารริมทะเลสาบ เห็นวิวเรือลอยลำเท้งเต้งและโคมไฟบนเขางดงาม เมนูก็ตามเคยของเขาแหละ ซุปไก่ดำตุ๋นยาจีน ขาหมูหม่านโถว ยำใบชา เคาหยก ฯลฯ ประมาณนั้น ถ้าหิ้วไวน์ไปเขาคิดค่าเปิดขวด 50 บาทค่ะ
อิ่มแล้วคนแก่ก็ขึ้นห้องไปนอน เหลือแต่จอมซนคนสวย (ว่าเอง เออเอง) คือฮูหยินวัย 80 อัพ 2 คนประทับในเก๋งจีนบนเกี้ยวยนต์ (รถตุ๊กๆ) ชมวิวรอบทะเลสาบก่อนขึ้นนอน
คืนนั้นก่อนเข้านอน เพื่อนร่วมห้องได้รำพึงว่า “เราไม่น่าจะกินขาหมู เคาหยก และหมูสามชั้น 1000 ปีไปติดๆกันทั้ง 2 วันเลยนะเธอ เพราะเราก็อ้วนอยู่แล้ว” แต่ในวินาทีต่อมาเธอก็รำพรรณว่า “แต่ตำราเขาว่า ถ้าอากาศหนาว อนุญาตให้กินไขมันได้ เพราะมันจะทำให้ร่างกายอบอุ่น งั้นเราไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะเตง!” ว่าแล้วสองนางก็นอนหลับไปด้วยความสุขแบบ Guilt-free
Good night and sweet dream ค่ะ
ป.ล. ขอร้องเลย หมู่บ้านรักไทนี่ It’s a must นะคะ โรงเตี๊ยมเขามี 2 แบบ แบบริมน้ำรอบอ่างเก็บน้ำและบนไหล่เขา หรือท่ามกลางไร่ปลูกชา ต้องจองเนิ่นๆ นะคะ ของเราขนาดจองก่อน 3 เดือนยังแทบ ‘ไม่ตรงปก’ เสียทีเดียวเลย