ภรรยาผมถือกรมธรรม์กับกรุงไทย AXA ihealthy มาใกล้จะครบ 3 ปี กลางเดือน ธ.ค.66 มีอาการเวียนหัวเรื้อรัง และตรวจเจอเนื้องอกที่ก้านสมอง มีการตรวจ MRI นอนดูอาการที่ ร.พ. ค่ารักษาพยาบาล ต้องสำรองจ่ายก่อนทั้งหมด เนื่องจากต้องรอตรวจสอบประวัติย้อนหลัง หลังการตรวจสอบประวัติประมาณ 1 เดือนจึงได้เงินคืน และต้นเดือน ม.ค.67 เริ่มการรักษาด้วยวิธีการายแสงที่ ร.พ.จุฬา ค่าฉายแสงทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ วันละประมาณ 60,000 บาท ต้องสำรองจ่ายเองก่อน แล้วเอาใบเสร็จยื่นทำเรื่องเคลมทีหลัง เนื่องจากห้องการเงินที่ตึกฉายแสงไม่สามารถทำ Fax claim ได้ จนกระทั่งกลางเดือน ก.พ.67 หลังการฉายแสงครบ 27 ครั้ง ภรรยามีอาการเห็นภาพซ้อน ซีกซ้ายอ่อนแรง เดินไม่ได้ กลืนลำบาก ลิ้นแข็ง ต้องกลับมาแอดมิดนอนรักษาที่ ร.พ. แพทย์ที่รักษามีการให้น้ำเกลือ ให้ยาฉีด และมีการปรับยาในการรักษา นอน ร.พ.ไปทั้งหมด 14 วัน ระหว่างการรักษา Ur nurse ก็จะส่งข้อมูลการรักษาไปที่กรุงไทยAXA ทุกๆ 3-4วัน เพื่อตรวจสอบการสิทธิคุ้มครองค่ารักษา จนกระทั่งวันที่ 10 ของการรักษา Ur nurse มาแจ้งว่า กรุงไทยAXA พิจารณาให้ความคุ้มครองเบื้องต้นแค่ 1 วัน ตาม "ความจำเป็นทางการแพทย์" จากเอกสารการรักษาทั้งหมดของหมอและพยาบาลที่ ร.พ. ส่งให้ จนในวันกลับบ้าน(วันที่ 14 ของการรักษา) ต้องยื่น Fax Claim ออกจาก ร.พ. แต่เนื่องจากใกล้จะถึงเวลาเลิกงานของ กรุงไทยAXA แล้ว ทำให้ดำเนินการไม่ทัน กรุงไทยAXA ได้แจ้งให้ผมสำรองจ่ายไปยอดเกือบ 2 แสนบาท ส่วนเรื่องการคุ้มครองค่ารักษาที่ไม่ครบถ้วน สามารถส่งเอกสารเพิ่มเติมเพื่อโต้แย้งผลการพิจารณาได้ในวันถัดไป
วันถัดมา หลังจากมีการโต้แย้ง กรุงไทยAXA พิจารณาคุ้มครองเพิ่มเป็น 10 วัน จาก 14 วัน โดยให้เหตุผลว่าตาม "ความจำเป็นทางการแพทย์" ซึ่งแพทย์ที่รักษาก็มีรายละเอียดในการรักษาและความจำเป็นในการรักษาอยู่แล้ว และส่งเอกสารไปทั้งหมดไปให้แล้ว แต่ทางกรุงไทยAXA ก็ยังคงยึดผลการพิจารณาตามความจำเป็นทางการแพทย์ ตามที่แพทย์ของ กรุงไทยAXA เองเป็นผู้พิจารณา ผมจึงไม่เข้าใจว่า แพทย์ที่พิจารณาไม่เคยรักษาหรือมาดูอาการคนป่วยเลย ทำไมถึงไม่เชื่อความเห็นแพทย์ที่รักษาที่เป็นคนให้ยา ปรับยาผู้ป่วยและดูอาการผู้ป่วย กลายเป็นว่าคนป่วยที่เข้ารับการรักษาต้องมาระแวงว่าเวลาแพทย์บอกให้นอน ร.พ. กรุงไทยAXA จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาหรือไม่ ต้องเชื่อแพทย์คนไหนดี แพทย์ที่รักษาหรือแพทย์ของกรุงไทยAXA ระหว่างนอนรักษาอยู่ต้องโทรถาม กรุงไทยAXA ก่อนมั้ย เพราะกลัวว่าแพทย์ของกรุงไทยAXA จะมองว่าไม่มีความจำเป็น เราควรเชื่อแพทย์คนไหนดี ความคุ้มครองที่สวยหรูตอนขายประกัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมันไม่เหมือนกันเลย ผมสำรองจ่ายค่ารักษาภรรยาทุกรอบไปเกือบจะล้านบาท ตั้งแต่เริ่มฉายแสงจนหลังฉายแสงแล้วมีอาการกำเริบ ต้องมาตามโต้แย้งตามเคลมเอาเองทีหลังทุกรอบ แต่ละรอบโทรโต้แย้งแบบเสียความรู้สึกทุกครั้ง รู้สึกเหมือนโดน กรุงไทยAXA ต่อรองการเคลมค่ารักษาทุกครั้ง ทั้งๆที่ ตอนเราจ่ายเบี้ยประกันไม่เคยล่าช้าหรือต่อรองแม้แต่บาทเดียว แต่พอเจ็บป่วยมีค่ารักษาเกิดขึ้น กลับโดนพิจารณาคุ้มครองการรักษาแค่ 1 วันบ้าง 3 วันบ้าง 10 วันบ้าง เหมือนเล่นขายของต่อรองราคากันอยู่ ทั้งๆที่ตอนเคลมทุกครั้งก็ใช้ของบริษัทอื่นเคลมคู่กันไปด้วย ของบริษัทอื่นก็ไม่มีปัญหา จนรู้สึกเหนื่อยกับการติดตามเคลมผลประโยชน์ของตัวเอง ทุกครั้งที่มีการโต้แย้งทั้งผมและภรรยาที่กำลังป่วยอยู่ ต้องมาคอยฟังเหตุผลเดิม ๆ คือ ตามความจำเป็นทาการแพทย์ของ แพทย์กรุงไทย AXA ที่เป็นผู้พิจารณา มีครั้งนึงที่โต้แย้งกัน พนักงานกรุงไทยAXAถามผมว่าทำไมไม่ไปนอนรักษาที่ ร.พ.จุฬา ผมยิ่งรู้สึกว่าความจำเป็นทางการแพทย์ที่ กรุงไทยAXA อ้างตลอดคือจำนวนเงินการรักษา ไม่ใช่เหตุผลทางการแพทย์ที่รักษาจริงๆ ตอนขายประกันพูดสวยหรูมากมาย 6 ล้าน 15 ล้าน 30 ล้าน จ่ายตามจริงบลาๆ เอาเข้าจริง ๆ ต่อรองค่ารักษาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารักษา
สุดท้ายเป็นเพียงการแชร์ประสบการณ์การเคลมค่ารักษาให้ท่านอื่น ๆ ที่เข้ามาอ่านได้นำไปพิจารณาการซื้อประกันสุขภาพให้ตนเองหรือคนที่คุณรัก ผมทราบว่าอาจจะต่างกรรมต่างวาระกัน ไม่ได้จะโจมตีบริษัทใด ๆ ทั้งนั้น เพราะผมห่วงเรื่องการรักษาของภรรยาผมมากกว่า จำนวนเงินการรักษามีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มีแผนประกัน 30 ล้าน 60 ล้าน ออกมาให้เลือกซื้อไว้เพื่อดูแลเรายามเจ็บไข้ ส่วนถ้าจะมีคนของ กรุงไทยAXA เข้ามาอ่าน อยากจะบอกให้ กรุงไทยAXA รับรู้ถึงความรู้สึกของลูกค้าคุณที่เป็นคนป่วยและครอบครัวที่ต้องมาเจอปัญหา แค่โรคร้ายที่เจอก็รุนแรงมากพอแล้ว ยังต้องมาเหนื่อยกับ กรุงไทยAXA อีก คงไม่ต้องหลังไมค์มาถามหรือขอข้อมูลไปพิจาณาดูแลเพิ่มเติมทีหลังนะครับ ให้กรุงไทยAXA ปรับปรุงการทำงานตั้งแต่แรกจะดีกว่า
แชร์ประสบการณ์ เคลมประกัน กรุงไทย AXA กับ เหตุผล "ความจำเป็นทางการแพทย์"
วันถัดมา หลังจากมีการโต้แย้ง กรุงไทยAXA พิจารณาคุ้มครองเพิ่มเป็น 10 วัน จาก 14 วัน โดยให้เหตุผลว่าตาม "ความจำเป็นทางการแพทย์" ซึ่งแพทย์ที่รักษาก็มีรายละเอียดในการรักษาและความจำเป็นในการรักษาอยู่แล้ว และส่งเอกสารไปทั้งหมดไปให้แล้ว แต่ทางกรุงไทยAXA ก็ยังคงยึดผลการพิจารณาตามความจำเป็นทางการแพทย์ ตามที่แพทย์ของ กรุงไทยAXA เองเป็นผู้พิจารณา ผมจึงไม่เข้าใจว่า แพทย์ที่พิจารณาไม่เคยรักษาหรือมาดูอาการคนป่วยเลย ทำไมถึงไม่เชื่อความเห็นแพทย์ที่รักษาที่เป็นคนให้ยา ปรับยาผู้ป่วยและดูอาการผู้ป่วย กลายเป็นว่าคนป่วยที่เข้ารับการรักษาต้องมาระแวงว่าเวลาแพทย์บอกให้นอน ร.พ. กรุงไทยAXA จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาหรือไม่ ต้องเชื่อแพทย์คนไหนดี แพทย์ที่รักษาหรือแพทย์ของกรุงไทยAXA ระหว่างนอนรักษาอยู่ต้องโทรถาม กรุงไทยAXA ก่อนมั้ย เพราะกลัวว่าแพทย์ของกรุงไทยAXA จะมองว่าไม่มีความจำเป็น เราควรเชื่อแพทย์คนไหนดี ความคุ้มครองที่สวยหรูตอนขายประกัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมันไม่เหมือนกันเลย ผมสำรองจ่ายค่ารักษาภรรยาทุกรอบไปเกือบจะล้านบาท ตั้งแต่เริ่มฉายแสงจนหลังฉายแสงแล้วมีอาการกำเริบ ต้องมาตามโต้แย้งตามเคลมเอาเองทีหลังทุกรอบ แต่ละรอบโทรโต้แย้งแบบเสียความรู้สึกทุกครั้ง รู้สึกเหมือนโดน กรุงไทยAXA ต่อรองการเคลมค่ารักษาทุกครั้ง ทั้งๆที่ ตอนเราจ่ายเบี้ยประกันไม่เคยล่าช้าหรือต่อรองแม้แต่บาทเดียว แต่พอเจ็บป่วยมีค่ารักษาเกิดขึ้น กลับโดนพิจารณาคุ้มครองการรักษาแค่ 1 วันบ้าง 3 วันบ้าง 10 วันบ้าง เหมือนเล่นขายของต่อรองราคากันอยู่ ทั้งๆที่ตอนเคลมทุกครั้งก็ใช้ของบริษัทอื่นเคลมคู่กันไปด้วย ของบริษัทอื่นก็ไม่มีปัญหา จนรู้สึกเหนื่อยกับการติดตามเคลมผลประโยชน์ของตัวเอง ทุกครั้งที่มีการโต้แย้งทั้งผมและภรรยาที่กำลังป่วยอยู่ ต้องมาคอยฟังเหตุผลเดิม ๆ คือ ตามความจำเป็นทาการแพทย์ของ แพทย์กรุงไทย AXA ที่เป็นผู้พิจารณา มีครั้งนึงที่โต้แย้งกัน พนักงานกรุงไทยAXAถามผมว่าทำไมไม่ไปนอนรักษาที่ ร.พ.จุฬา ผมยิ่งรู้สึกว่าความจำเป็นทางการแพทย์ที่ กรุงไทยAXA อ้างตลอดคือจำนวนเงินการรักษา ไม่ใช่เหตุผลทางการแพทย์ที่รักษาจริงๆ ตอนขายประกันพูดสวยหรูมากมาย 6 ล้าน 15 ล้าน 30 ล้าน จ่ายตามจริงบลาๆ เอาเข้าจริง ๆ ต่อรองค่ารักษาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารักษา
สุดท้ายเป็นเพียงการแชร์ประสบการณ์การเคลมค่ารักษาให้ท่านอื่น ๆ ที่เข้ามาอ่านได้นำไปพิจารณาการซื้อประกันสุขภาพให้ตนเองหรือคนที่คุณรัก ผมทราบว่าอาจจะต่างกรรมต่างวาระกัน ไม่ได้จะโจมตีบริษัทใด ๆ ทั้งนั้น เพราะผมห่วงเรื่องการรักษาของภรรยาผมมากกว่า จำนวนเงินการรักษามีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มีแผนประกัน 30 ล้าน 60 ล้าน ออกมาให้เลือกซื้อไว้เพื่อดูแลเรายามเจ็บไข้ ส่วนถ้าจะมีคนของ กรุงไทยAXA เข้ามาอ่าน อยากจะบอกให้ กรุงไทยAXA รับรู้ถึงความรู้สึกของลูกค้าคุณที่เป็นคนป่วยและครอบครัวที่ต้องมาเจอปัญหา แค่โรคร้ายที่เจอก็รุนแรงมากพอแล้ว ยังต้องมาเหนื่อยกับ กรุงไทยAXA อีก คงไม่ต้องหลังไมค์มาถามหรือขอข้อมูลไปพิจาณาดูแลเพิ่มเติมทีหลังนะครับ ให้กรุงไทยAXA ปรับปรุงการทำงานตั้งแต่แรกจะดีกว่า