ชอบดู Hell's Kitchen ฉบับอเมริกันโดยเชฟกอร์ดอน แรมซีย์ ติดตามทุกซีซัน เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศใหญ่มหาศาล จึงต้องให้ผู้แข่งขันจากรัฐต่างๆ มาเก็บตัวด้วยกันระหว่างถ่ายทำ คืออยู่หอพักร่วมกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน ดังนั้นจะมีความดราม่าสูง
ผู้แข่งขันได้พักทุกวันอาทิตย์ ได้ดูทีวีในโรงแรม (นอกนั้นไม่ให้ติดต่อโลกภายนอก) แต่ไม่ได้ออกกำลังกาาย ห้ามมีดินสอปากกาเพื่อจดบันทึก
การเก็บตัวทำให้รายการสามารถปลุกเชฟตอนตีสี่ตีห้าไปทำอาหารเช้า หรือกระทั่งทำอาหารปิ้งย่างรมควันยืดยาวข้ามวัน อดหลับอดนอนได้ตามใจชอบ ตารางงานปกติคือตื่น 6 โมง นอนตีสองหลังทำความสะอาดครัว ผู้แข่งขันต้องติดไมโครโฟนตลอดเวลากระทั่งตอนนอน (บันทึกเสียงกรน) และเปิดไฟนอน
ว่ากันว่าถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว ให้ผู้แข่งขันร้องเพลงออกมา เพราะรายการไม่อยากจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพลง อีกทั้งผู้แข่งขันรู้จักใช้ศัพท์ที่เป็นรหัสลับในการสื่อสาร
ผู้แข่งขันต้องทำอาหารกินเอง หลายคนหันมาติดบุหรี่จากที่ไม่เคยสูบ เพื่อรบกับความเครียด จะเห็นว่าในรายการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เชฟดื่มนอกเวลาบริการ ต่างจากบ้านเราที่นั่งคุยกันโดยดื่มน้ำเปล่า
การเก็บตัวด้วยกันแปลว่าไม่ให้ออกไปไหนเลย ดังนั้นทีมชนะที่ได้ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ จึงเป็นรางวัลที่น่าอิจฉาริษยา ขณะที่ทีมแพ้ต้องจำทนอยู่ในสตูดิโอ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เก็บขยะ ทำความสะอาด จัดโต๊ะ เตรียมวัตถุดิบ กินอาหารชวนอ้วก กระทั่งทำสิ่งไร้สาระเช่น แยกพริกไทยดำ-ขาว-สี
ใครๆ ก็อยากไปกินอาหารที่ครัวนรกแห่งนี้ เพราะให้ปริมาณเยอะ (ถ้าได้มีวาสนากินก่อนครัวปิด) วัตถุดิบดี ระหว่างรอมีวน์ เบียร์ ขนมปัง เสิร์ฟไม่อั้นแก้เซ็ง แต่ครัวนี้ไม่ใช่ร้านอาหารจริง เป็นเพียงห้องส่งขนาดใหญ่ ติดตั้งระบบบันทึกเสียงเพื่ออัดรายการ ไม่มีห้องน้ำ ใช้รถสุขา ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงิน (ของไทยจ่ายมื้อละ 1,000 บาท) ลูกค้าฝรั่งมักเป็นคนรู้จักของทีมงาน ยกเว้นแขกรับเชิญที่มักเป็นดาราเกรดรองๆ ทั้งนี้ ร้านไม่รับประกันว่าจะได้กินอาหาร
เมื่อเกิดการปิดครัว จะมีเชฟสำรองมาทำอาหารแทน ดังนั้นแขกไม่หิวกลับบ้าน ส่วนในไทย เห็นว่ามีการเสิร์ฟข้าวกะเพราไข่ดาวทดแทน
ดังนั้นความกดดันในการได้ไปเที่ยวข้างนอก จึงไม่มากเหมือนฉบับอเมริกัน แต่ใจไม่อยากให้มีการทำโทษแบบใช้แรงกาย ไม่เป็นสาระและไม่ห่วงสุขภาพ อาจอันตรายกับผู้แข่งขัน
Hell's Kitchen ฉบับอเมริกา กับไทย
ผู้แข่งขันได้พักทุกวันอาทิตย์ ได้ดูทีวีในโรงแรม (นอกนั้นไม่ให้ติดต่อโลกภายนอก) แต่ไม่ได้ออกกำลังกาาย ห้ามมีดินสอปากกาเพื่อจดบันทึก
การเก็บตัวทำให้รายการสามารถปลุกเชฟตอนตีสี่ตีห้าไปทำอาหารเช้า หรือกระทั่งทำอาหารปิ้งย่างรมควันยืดยาวข้ามวัน อดหลับอดนอนได้ตามใจชอบ ตารางงานปกติคือตื่น 6 โมง นอนตีสองหลังทำความสะอาดครัว ผู้แข่งขันต้องติดไมโครโฟนตลอดเวลากระทั่งตอนนอน (บันทึกเสียงกรน) และเปิดไฟนอน
ว่ากันว่าถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว ให้ผู้แข่งขันร้องเพลงออกมา เพราะรายการไม่อยากจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพลง อีกทั้งผู้แข่งขันรู้จักใช้ศัพท์ที่เป็นรหัสลับในการสื่อสาร
ผู้แข่งขันต้องทำอาหารกินเอง หลายคนหันมาติดบุหรี่จากที่ไม่เคยสูบ เพื่อรบกับความเครียด จะเห็นว่าในรายการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เชฟดื่มนอกเวลาบริการ ต่างจากบ้านเราที่นั่งคุยกันโดยดื่มน้ำเปล่า
การเก็บตัวด้วยกันแปลว่าไม่ให้ออกไปไหนเลย ดังนั้นทีมชนะที่ได้ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ จึงเป็นรางวัลที่น่าอิจฉาริษยา ขณะที่ทีมแพ้ต้องจำทนอยู่ในสตูดิโอ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เก็บขยะ ทำความสะอาด จัดโต๊ะ เตรียมวัตถุดิบ กินอาหารชวนอ้วก กระทั่งทำสิ่งไร้สาระเช่น แยกพริกไทยดำ-ขาว-สี
ใครๆ ก็อยากไปกินอาหารที่ครัวนรกแห่งนี้ เพราะให้ปริมาณเยอะ (ถ้าได้มีวาสนากินก่อนครัวปิด) วัตถุดิบดี ระหว่างรอมีวน์ เบียร์ ขนมปัง เสิร์ฟไม่อั้นแก้เซ็ง แต่ครัวนี้ไม่ใช่ร้านอาหารจริง เป็นเพียงห้องส่งขนาดใหญ่ ติดตั้งระบบบันทึกเสียงเพื่ออัดรายการ ไม่มีห้องน้ำ ใช้รถสุขา ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงิน (ของไทยจ่ายมื้อละ 1,000 บาท) ลูกค้าฝรั่งมักเป็นคนรู้จักของทีมงาน ยกเว้นแขกรับเชิญที่มักเป็นดาราเกรดรองๆ ทั้งนี้ ร้านไม่รับประกันว่าจะได้กินอาหาร
เมื่อเกิดการปิดครัว จะมีเชฟสำรองมาทำอาหารแทน ดังนั้นแขกไม่หิวกลับบ้าน ส่วนในไทย เห็นว่ามีการเสิร์ฟข้าวกะเพราไข่ดาวทดแทน
ดังนั้นความกดดันในการได้ไปเที่ยวข้างนอก จึงไม่มากเหมือนฉบับอเมริกัน แต่ใจไม่อยากให้มีการทำโทษแบบใช้แรงกาย ไม่เป็นสาระและไม่ห่วงสุขภาพ อาจอันตรายกับผู้แข่งขัน