จิตดวงเดียวเที่ยวไป ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิต

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

             [๑๓]     นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรน กลับกลอกรักษาได้โดยยากห้ามได้โดยยาก ให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้นจิตนี้อันพระโยคาวจรยกขึ้นแล้วจากอาลัย คือเบญจกามคุณเพียงดังน้ำ ซัดไปในวิปัสสนากรรมฐานเพียงดังบก เพื่อจะละบ่วงมาร ย่อมดิ้นรน ดุจปลาอันชาวประมง ยกขึ้นแล้วจากที่อยู่คือน้ำโยนไปแล้วบนบก ดิ้นรนอยู่การฝึกฝนจิตที่ข่มได้ยาก อันเร็ว มีปรกติตกไปในอารมณ์อันบุคคลพึงใคร่อย่างไร เป็นความดี เพราะว่าจิตที่บุคคลฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ นักปราชญ์พึงรักษาจิตที่เห็นได้แสนยาก
ละเอียดอ่อนมีปกติตกไปตามความใคร่ เพราะว่าจิตที่บุคคลคุ้มครองแล้วนำสุขมาให้ ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตอันไปในที่ไกล ดวงเดียวเที่ยวไป หาสรีระมิได้ มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์
แก่บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ไม่รู้แจ่มแจ้งซึ่งพระสัทธรรมมีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย ภัยย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพ ผู้มีจิตอันราคะไม่รั่วรด ผู้มีใจอันโทสะไม่ตามกระทบแล้ว
                          ผู้มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ผู้ตื่นอยู่ กุลบุตรทราบกายนี้ว่า
                          เปรียบด้วยหม้อแล้ว พึงกั้นจิตนี้ให้เปรียบเหมือนนคร
                          พึงรบมารด้วยอาวุธคือ ปัญญา อนึ่ง พึงรักษาตรุณวิปัสสนา
                          ที่ตนชนะแล้ว และไม่พึงห่วงใย กายนี้อันบุคคลทิ้งแล้ว
                          มีวิญญาณปราศแล้วไม่นานหนอจักนอนทับแผ่นดิน ประดุจ
                          ท่อนไม้ไม่มีประโยชน์ โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก ก็หรือคน
                          มีเวรเห็นคนผู้คู่เวรกันพึงทำความยิ้ม และความทุกข์ใดให้
                          จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิดพึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความยิ้ม
                          และความทุกข์นั้นมารดาบิดาไม่พึงทำเหตุนั้นได้ หรือแม้ญาติ
                          เหล่าอื่นก็ไม่พึงทำเหตุนั้นได้ จิตที่บุคคลตั้งไว้ชอบแล้ว
                          พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่าเหตุนั้น ฯ
พระพุทธเจ้า

จิตนี้ ยังได้ตรัสเอาไว้ว่า ทุรังคมัง เที่ยวไปไกล เอกะจรัง เที่ยวไปผู้เดียว อสรีรัง ไม่มีสรีระรูปร่างสัณฐาน คูหาสยัง มีคูหาคือถ้ำเป็นที่อาศัย ตามที่ตรัสเอาไว้นี้เมื่อมากำหนดพิจารณาดูจิตของตนก็จะเห็นได้ ว่าเที่ยวไปไกล คือคิดไปนั่นคิดไปนี่ได้ไกลมาก คิดไปถึงดวงอาทิตย์ก็ได้ คิดถึงดวงจันทร์ก็ได้ ถึงดวงดาวดวงใดดวงหนึ่งก็ได้ ในโลกนี้ก็คิดไปถึงที่นั่นที่นี่ได้ทั่วโลกทั้งนั้น และก็เที่ยวไปผู้เดียวหรือเที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระคือรูปร่างสัณฐาน แต่ว่ามีคูหาเป็นที่อาศัย มีคูหาก็คือมีถ้ำเป็นที่อาศัย คูหาคือถ้ำนี้พระอาจารย์ท่านอธิบายรวมกันไปว่ามีกายนี้เป็นที่อาศัยไปทีเดียว

สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอกะจะรัง จิตตัง…จิตดวงเดียวเที่ยวไป” ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์ไม่ใช่ดวงจิต ดวงจิตจริงมันดวงเดียว.

พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่