JJNY : 5in1 ส.ส.แบงค์แนะชัชชาติ│ชี้รร.ปล่อยก๊าซเรือนกระจก│ชี้ฉลากเหล้าสยอง│เผยรัสเซียเล็งโจมตีรอบใหม่│สิงคโปร์ยิ้มร่า!

ส.ส.แบงค์ แนะชัชชาติ ‘เด็ดขาดได้อีก’ จี้สับสารพัดปัญหา รัฐลงดาบรถเมล์ วิ่งไม่ตามรอบ
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4443722
  
 
ส.ส.แบงค์ แนะชัชชาติ ‘เด็ดขาดได้อีก’ จี้สับสารพัดปัญหา รัฐลงดาบรถเมล์ วิ่งไม่ตามรอบ
 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. เขต 9 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ MatiTalk โดยพูดคุยหัวข้อ ศุภณัฐ ก้าวไกล สงสัย – สงสารประชาชน หลังลองลุยขึ้นรถเมล์ เจอสารพัดปัญหา ซึ่งเผยแพร่ผ่านทางยูทูบ ช่องมติชนสุดสัปดาห์ – MatichonWeekly
 
ในตอนหนึ่ง นายศุภณัฐกล่าวว่า ตนมองปัญหารถเมล์และขนส่งมวลชนว่าควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ หากแตกปัญหาก็แยกออกเป็น 4 หมวดใหญ่ คือ 1.คุณภาพ 2.การเข้าถึง 3.ความสะบาย 4.ราคาจับต้องได้
 
ปัญหาใกล้ตัวที่คนพูดถึงมากสุดอย่างหนึ่ง คือ รถไม่พอ เรื่องที่สอง คือ เลขสายรถที่มีการเปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ลงพื้นที่มาก็พบว่า เขาก็ยังไม่รู้ว่าเลขสายใหม่คืออะไร ยังไง รวมถึงเลขสายป้ายตรงที่นั่งรอ ไม่ได้มีการบอกชัดเจน บางอันเขาก็ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่” นายศุภณัฐเผย
 
นายศุภณัฐกล่าวว่า เมื่อวานที่ตนลงพื้นที่ไปเจอ รอรถประมาณ 40-50 นาที รอโดยที่ไม่รู้อนาคต ซึ่งการติดตามสถานะส่วนใหญ่มันอยู่ในแอพพลิเคชั่น เขาใช้กันไม่เป็น ตัวป้ายรถเมล์ก็ไม่ได้มีบอกไว้ อย่างน้อยที่สุดถ้ารู้อนาคต เขาจะได้วางแผนไปซื้อของซื้ออะไรได้ แต่แบบนี้เขาก็ต้องนั่งรอรถเมล์อย่างไม่รู้จุดหมาย
 
นายศุภณัฐกล่าวต่อว่า รัฐบาลเขามีงบในการปรับปรุงพัฒนา มีเงินแน่นอน เพราะรถเมล์ไม่ได้ใช้เงินเท่ารถไฟฟ้า แต่ถามว่าแล้วรัฐบาลทำหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำ เช่น ขสมก. ก็ใช้รถสภาพเดิมกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้พอตนเองมาเป็น Operator ก็ไม่สามารถที่จะสู้กับเอกชนได้
 
จำนวนครึ่งหนึ่งของ ขสมก.เป็นรถเก่า เมล์ร้อน รถครีมแดงบ้าง ปัญหาเต็มไปหมดเยอะแยะมากมาย แต่ของเอกชนก็มีการปรับตัวบางส่วน แต่รัฐก็ยังไม่ได้เข้ามาคววบคุมในเรื่องของจำนวนรอบ จากปกติการประมูลรถเมล์ทั้งหลาย มันจะมีขั้นต่ำที่บอกว่า จำนวนรอบเท่าไหร่ต่อสาย จำนวนรถกี่คัน แต่ถามว่าทุกวันนี้มันมีการวิ่งตามรอบครบจริง ตาม TOR หรือไม่ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องควบคุม
 
โดยเฉพาะกรมขนส่งทางบก มีหน้าที่ตรวจสอบว่าเขาทำตรงตามทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งพอไม่ได้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น ก็ต้องมีมาตรการในการจัดการต่อไป ยึดใบอนุญาตหรือไม่อย่างไร” นายศุภณัฐชี้
 
นายศุภณัฐกล่าวว่า ระยะเวลา 5-6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลพูดถึงแค่เรื่องรถไฟฟ้า ราคา และตั๋วร่วมเป็นหลัก ซึ่งเป็นตั๋วร่วมรถไฟฟ้าด้วยกันเองด้วย ไม่ได้หมายถึงตั๋วร่วม ‘รถ ราง เรือ’ ขนาดนั้น ข้อที่เขาพยายามจะสื่อคือ แค่ตัวรถไฟฟ้าด้วยกันเอง ยังน่าจะทำได้ยากเลย แล้วถ้ามาพูดถึงรถเมล์ก็น่าจะเป็นอีกประเด็นที่ยากเหมือนกัน
 
เมื่อถามถึงการทำงานของกรุงเทพมหานคร ระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา สอบผ่านหรือไม่?
 
นายศุภณัฐกล่าวว่า มุมหนึ่งก็ต้องบอกว่าสงสาร กทม.อยู่บางส่วน เพราะหลายอย่างอำนาจก็ไม่ค่อยชัดเจน มีความอิหลักอิเหลื่อกับภาครัฐกันอยู่ ต้องบอกว่ามันเป็นมายด์เซ็ตของหน่วยงานภาครัฐที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนวาง แต่เขาจะวางให้แต่ละองค์กรคานอำนาจกันเอง
 
อย่างปัญหารถติด หรือเรื่องการคุมการจราจรต่างๆ กทม.คุมสำนักงานจราจร แต่ตำรวจ สน. อยู่ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พอเราโทษว่ารถติด บางทีเราก็โทษตำรวจ บางทีเราก็โทษสำนักการจราจร กทม.
 
ผมไปคุยกับทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งรองผู้ว่าฯ และ ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างาน เขาต่างฝ่ายก็พูดตรงๆ เลยว่า โยนกันว่าอีกฝ่ายมีอำนาจมากกว่า เพราะฉะนั้นฝ่ายนั้นช่วย ฝ่ายนั้นไม่ช่วย ก็เลยงงว่า ทำไมปล่อยให้อำนาจ 2 ฝั่ง คานกันเอง” นายศุภณัฐชี้
 
นายศุภณัฐกล่าวว่า การคานอำนาจกันเป็นเรื่องดี ตรงที่ช่วยกันตรวจสอบ แต่พอแบบนี้ประชาชนเขาเสียเปรียบในเรื่องของการจัดการ การแก้ปัญหามันจะแก้ไม่ได้ เพราะหน่วยงานราชการไม่คุยกัน หลังๆ จะได้ยินคำว่าบูรณาการบ่อยมา เพราะถ้าหน่วยงานไม่คุยกัน จะไม่เรื่องไหนที่สามารถแก้ได้ มันเกี่ยวโยงกันไปหมด
 
เมื่อถามถึงแนวโน้มการทำงานร่วมกันของ กทม. กับ รัฐบาล?
 
นายศุภณัฐกล่าวว่า ตนคิดว่ามีโอกาสในการช่วยกันมากขึ้น แต่ในส่วนของมิติ กทม.ก็ต้องเร่งทำคะแนน เพราะว่าผ่านมาจะร่วม 2 ปีแล้ว ฉะนั้นกทม.ก็มีความจำเป็นที่จะเร่งทำคะแนน ตรงไหนที่เป็นเองหลักที่จะโฟกัส ก็ควรโฟกัส
 
นโยบายของท่านผู้ว่าก็เยอะจริง มันเยอะไปหมด อะไรที่เป็นเรื่องชูธงหลัก มันก็ต้องมีการทำขึ้นมา ไม่อย่างนั้นตามเก็บทุกเรื่องไม่ได้หรอก เช่น ถ้าวาระหลักคุณเป็นเรื่องของฟุตปาธ คุณก็ต้องดันฟุธปาธเป็น Priority หลัก
 
คุณจะทำเรื่องการจัดการน้ำ คุณจะมีไหมเรื่องของเซนเซอร์ตามท่อระบายน้ำ เพื่อการตรวจสอบ หรือปรับรูปแบบของการขุดลอกท่อ ที่กรมราชทัณฑ์ใช้แรงงานคนขุดอยู่ มันก็ไม่เกลี้ยง มันจำเป็นไหมที่คุณจะประสานกรมราชทัณฑ์ ให้เงินเพิ่ม แต่ก็ต้องมีอุปกรณ์มากยิ่งขึ้นในการจัดการ ผมมองว่ามันต้องมีความเด็ดขาดมากขึ้น” นายศุภณัฐชี้
 
นายศุภณัฐกล่าวอีกว่า ท่านผู้ว่าฯ มีอำนาจหนึ่งอยู่ ซึ่งไม่ใช่อำนาจโดยตรงจากตัวท่านเอง แต่มันคืออำนาจที่ได้มาจากการยอมรับของประชาชน เป็นผู้ว่าที่ได้รับการเลือกตั้งคะแนนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้นไปหน่วยงานไหน ไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่มีใครที่อยากจะมีปัญหาด้วย
 
คะแนนนิยมที่สูง (popular) คุณสามารถมีอิทธิพลทางการเมืองที่สูงมาก เหมือนเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ท่านผู้ว่ามีตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นท่านสามารถที่จะผลักดันวาระ หลายวาระได้ เพราะท่านได้รับการยอมรับขนาดนี้ ไม่มีใครหรอกที่จะมาต่อต้านท่านโดยตรง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าท่านควรใช้อำนาจนี้ เพื่อก่อประโยชน์สูงสุด ในการดีลกับข้าราชการ หรือ ดีลกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ” นายศุภณัฐเผย

นายศุภณัฐกล่าวว่า ถ้าท่านบอกว่าดีลไปเลย อยากจะดันเรื่องนี้เป็นวาระหลัก เช่น ถนนจากกรมทางหลวง โอนมาให้กทม. หรือ อยากให้กรมรถไฟฯ โอนถนนมาคืนให้ กทม. ถ้าเกิดท่านผู้ว่าฯใช้อิทธิพลของตัวเอง ที่ได้รับการยอมรับ ไปปิดจบเลยว่า โอนให้กทม.เถอะจะดูแลอย่างดี หน่วยงานก็จะโอนให้ง่ายขึ้น
 
ยิ่งเคยมาจากพรรคเดียวกัน มันก็ยิ่งง่ายในการประสานงาน อาจจะเป็นประเด็นที่ต้องฝากไว้ว่า จริงๆ ท่านผู้ว่าเด็ดขาดได้มากกว่านี้ ซึ่งถ้าเด็ดขาดได้มากกว่านี้ งานท่านจะไวขึ้นกว่าเดิม” นายศุภณัฐกล่าว



ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้โรงแรมไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจก สูงกว่าหลายประเทศในเอเชีย
https://www.prachachat.net/finance/news-1510031

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้โรงแรมในไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย แนะผู้ประกอบการโรงแรมไทยเร่งปรับตัวรับความต้องการใช้บริการโรงแรมยั่งยืนของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรับมือการแข่งขันกับ จี้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
 
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า กระแสการพัฒนาที่ยั่งยืนทำให้ทุกธุรกิจต่างตื่นตัว รวมถึงธุรกิจโรงแรม แม้ว่าโรงแรมจะปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับกิจกรรมอื่น
 
จากรายงาน A Net Zero Road Map for Travel and Tourism ของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% ของ GHG ในทุกกิจกรรมของโลก และโรงแรมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยไม่ถึง 1% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกิจกรรมของโลก

แต่สาเหตุที่โรงแรมทั่วโลกและไทยตื่นตัว ทั้งที่กฎกติกาจะไม่ได้บังคับให้ธุรกิจต้องปรับวิถีการทำธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
 
1. ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่เดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Travel) การจัดงานประชุมสัมมนาทั้งจากองค์กรต่างประเทศและในประเทศ จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาคอเมริกาและยุโรป โดย HRS พบว่า กว่า 78% ของกลุ่มตัวอย่างในยุโรป และ 61% ของกลุ่มตัวอย่างในอเมริกาเหนือ ต้องการให้โรงแรมที่บริษัทจะใช้บริการแสดงหลักฐานข้อมูลหรือเอกสารรับรอง (Certificate อาทิ Green Key, GSTC และ Green Globe) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นมาตรฐานสากลหรือของแต่ละประเทศ สำหรับบริษัทที่ประกาศใช้นโยบายดังกล่าว เช่น Siemens, Microsoft, Amazon และ Ernst & Young
 
2. การแข่งขันกับหลายแบรนด์ที่เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนแล้ว อาทิ โรงแรมเชนรายใหญ่ของโลกมีการประกาศเป้าหมายการลดหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเริ่มมีการปรับมาใช้พลังงานงานหมุนเวียนบางส่วน การปรับเปลี่ยนทั้งด้านฮาร์ดแวร์อย่างการเปลี่ยนเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการใช้ไฟและน้ำให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ในด้านซอฟต์แวร์ ได้แก่ การติดตั้งระบบการบริหารจัดการพลังงาน การติดเซนเชอร์เพื่อบันทึกข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและน้ำ รวมถึงการใช้วัสดุตกแต่งในโรงแรมที่ทำมาจากวัตถุดิบ Recycle และ Upcycle การใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเกิดจากการขนส่ง ขณะที่โรงแรมที่สร้างใหม่มีการออกแบบโรงแรมและรูปแบบการบริหารจัดการให้ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Decarbonize)
 
3. พันธมิตรทางการค้าที่ต้องการคู่ค้าที่มีการปรับตัวสู่ความยั่งยืน อย่างออนไลน์ทราเวลเอเจ้นท์ (OTAs) รายใหญ่เริ่มมีการระบุสถานะของโรงแรมและที่พักที่ได้รับการรองรับว่ามีการจัดการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการ
ทั้งนี้ พบว่า สถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของโรงแรมในไทยสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยที่มีการตั้งเป้าหมาย Net Zero ยังน้อยและดำเนินการเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่
 
โดยจากข้อมูลของ Cornell Hotel Sustainability (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567) พบว่า ค่าเฉลี่ยของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการเข้าพักของลูกค้า 1 ห้อง ของโรงแรมในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.064 ตันคาร์บอน (tCO2e) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโรงแรมในภูมิภาคเอเชียที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ประมาณ 0.057 ตันคาร์บอน และเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 0.019 ตันคาร์บอน
 
โดยผู้ประกอบการโรงแรมไทยสนใจดำเนินการด้านความยั่งยืน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการจัดทำรายงานความยั่งยืน หรือเพียงเริ่มดำเนินการจากส่วนที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงและทำได้ทันที เนื่องจากรายได้ธุรกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด
 
ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า
 
- ผู้ประกอบการกว่า 52.8% มีการปรับตัว อาทิ การเปลี่ยนเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ส่วนกลาง การเปลี่ยนอุปกรณ์และติดตั้งระบบการประหยัดน้ำ การคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล หรือทำเป็นปุ๋ย รวมถึงการลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ซึ่งโรงแรมที่มีการปรับตัวส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และโรงแรมที่บริหารโดยเชนจากต่างประเทศ
 
- ผู้ประกอบการเกือบทั้งหมด (96.5%) ยังขาดความเข้าใจในการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการจัดทำรายงานความยั่งยืน
 
- ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการเกือบครึ่ง (43.8%) มีแผนที่จะยกระดับโรงแรมให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผู้ประกอบการที่ยังไม่มีแผนหรือยังไม่แน่ใจมีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง เนื่องจากมีความกังวลเรื่องเงินทุน ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวดีหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 และยังไม่มีความชัดเจนในมาตรฐานการวัด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่