“ศิริกัญญา” พิจารณาพรบ.งบฯได้เร็วไม่พบตบทรัพย์
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_681717/
“ศิริกัญญา” รับ พิจารณาพรบ.งบฯได้รวดเร็วเพราะหน่วยงานรัฐใช้วงเงินไปพลางก่อนแล้ว ปรับตัดยาก ยังไม่พบตบทรัพย์ แต่มีข้อดี จบไว ฝ่ายค้านจะได้เคาะยื่นซักฟอก
นางสาว
ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เปิดเผยสำนักข่าว INN ถึงภาพรวมการทำงานของกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคก้าวไกลว่า สำหรับการทำงานในปีนี้ เข้าใจในข้อจำกัด พิจารณาอะไรและปรับลดอะไรได้ไม่มาก เพราะหน่วยงานรัฐใช้วงเงินงบประมาณ ปี 2566 พลางก่อนไปแล้ว มีวงเงินสูงกว่า 2 ใน 3 ของงบปีที่แล้ว
หากปรับหรือลดอะไร ในโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว สุดท้ายก็ต้องมีการโอนงบประมาณมาโปะอยู่ดี ดังนั้น การทำงานในชั้นกรรมาธิการพิจารณางบปีนี้ มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น แต่มีข้อดี คือ การพิจารณารวดเร็ว การตัดงบมีน้อย ทำให้การพิจารณาใน กมธ. และอนุ กมธ. สามารถพิจารณา วาระ 2 และ 3 ได้เร็วขึ้น ประมาณ 3 สัปดาห์ ถือเป็นข่าวดีที่จะทำให้งบประมาณผ่านได้เร็ว เพื่อมีเม็ดเงินลงไปสู่ประชาชนและภาคส่วนราชการ
ส่วนในชั้นอนุ กมธ.ที่แบ่งตามกระทรวง และมีตัวแทนจากพรรคการเมือง ในกระทรวงนั้นๆ มาเป็นประธาน และมีการตัดงบค่อนข้างน้อย จึงอาจเป็นข้อสงสัยของประชาชนว่า ส่งรัฐมนตรีมาเป็นองครักษ์พิทักษ์งบประมาณของแต่ละกระทรวงหรือไม่ จึงต้องรออนุ กมธ.ส่งรายงานกลับเข้ามายัง กมธ. เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
สำหรับที่มีข้อสังเกตุหรือพบเหตุการณ์ตบทรัพย์เหมือนในอดีตหรือไม่ นายศิริกัญญา กล่าวว่า เท่าที่ฟัง “ยังไม่มี” แต่ว่าบอกได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่จะนำมาพูด หรืออาจมีนวัตกรรมแบบใหม่ในการตบทรัพย์ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน ก็อาจเป็นไปได้ แต่เชื่อว่า ทุกอย่างจะไปปรากฏในตัวผลงานของอนุ กมธ.หรืออาจจะมีหน่วยงานใด ที่จะกล้าออกมาให้ข้อมูลกับ กมธ. ว่ามีการตบทรัพย์เกิดขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้ การพิจารณาของ กมธ. เสร็จเร็วขึ้น 3 สัปดาห์ ก็จะมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น และจะมีผลดีต่อการที่ฝ่ายค้าน จะตัดสินใจยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป แบบไม่ลงมติ หรือ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของสมัยการประชุม ถือว่า วิน วิน ทั้ง 2 ฝ่าย
น้ำเขื่อนลำตะคองลดฮวบ เหลือใช้แค่ 43 % มิตรภาพสายเก่าโผล่ ชลประทานงดปล่อยน้ำทำเกษตรแล้ว
https://www.matichon.co.th/region/news_4443066
น้ำเขื่อนลำตะคองลดฮวบ เหลือใช้แค่ 43 % มิตรภาพสายเก่าโผล่ ชลประทานงดปล่อยน้ำทำเกษตรแล้ว
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นาย
กิติกุล เสภาศีราภรณ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนครราชสีมา รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า จากอิทธิพลของความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ในช่วงนี้ ประกอบกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ซึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา มีอากาศร้อนจัดต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว ในช่วงกลางวัน อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 35-39 องศาเซลเซียส ส่งผลทำให้ความชื้นในอากาศมีน้อย ทำไม่มีฝนตกลงมาในพื้นที่
ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนต่อเนื่องนี้ ทำให้ปริมาตรน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำทั้ง 27 แห่งของจังหวัด ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำลำตะคอง สภาพน้ำปัจจุบัน เหลืออยู่ที่ 147.48 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 46.90 % ของความจุทั้งหมด 314.49 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นน้ำใช้การได้ 124.76 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือแค่ 42.76 % เท่านั้น ทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง จึงส่งจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศในลำน้ำเท่านั้น งดจ่ายน้ำทำการเกษตร เพื่อสงวนน้ำเอาไว้ให้เพียงพอส่งจ่ายให้ 5 อำเภอ ผลิตประปาแจกจ่ายให้ประชาชนได้ใช้อุปโภบริโภค จนกว่าจะผ่านพ้นหน้าแล้งเข้าสู่ฤดูฝน
และเมื่อตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปของอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ตอนนี้จะเห็นสันดอนดินโผล่หลายจุด และเห็นสภาพถนนมิตรภาพ สายเก่า โผล่พ้นน้ำให้เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเดิมถนนมิตรภาพเส้นเดิมนี้ เป็นเส้นทางออกจากบ้านท่างอย อำเภอปากช่อง จนไปถึงบ้านท่าสูบใหญ่ อำเภอสีคิ้ว มีระยะทาง ยาวกว่า 15 กิโลเมตร โดยในช่วงที่มีปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างฯ จำนวนมาก ถนนเส้นน้ำจะจมหายไป แต่หากปีใดสถานการณ์ความแห้งแล้งในพื้นที่จังหวัดขยายวงกว้าง ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญ อย่างเช่น อ่างเก็บน้ำลำตะคองก็จะลดลงจนถนนมิตรภาพสายเก่า โผล่ขึ้นกลางอ่างเก็บน้ำฯ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย จึงอาศัยโอกาสนี้มานั่งรับลมชมวิวกันในจุดที่ถนนมิตรภาพสายเก่าโผล่ ส่วนชาวบ้านก็จะนำเครื่องมือจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก มาดักจับปลาน้ำจืดภายในอ่างฯ เพื่อนำไปบริโภคและจำหน่ายสร้างรายได้
ทั้งนี้อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เป็นแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่และถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาวจังหวัดนครราชสีมา ที่ทำหน้าที่แจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ถึง 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอสีคิ้ว , อำเภอสูงเนิน , อำเภอขามทะเลสอ ,อำเภอเมืองนครราชสีมา และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ขณะนี้ไม่สามารถที่แจกจ่ายเพื่อการเกษตรกรได้อย่างสิ้นเชิง คงเหลือการระบายน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงระบบนิเวศน์และให้ประชาชนได้ใช้ในการอุปโภคบริโภคในระบบประปาเท่านั้น ขณะนี้สำนักชลประทานที่ 8 ได้แจ้งไปทางจังหวัดให้ประกาศให้เกษตรกรทุกพื้นที่โดยเฉพาะชาวนา ได้งดทำนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำเก็บกักเหลือน้อย แต่หากเกษตรกรยังไม่ฟังและดื้อรั้น ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงพืชผลทางการเกษตรเสียหายจากการขาดน้ำทำการเกษตรที่จะเกิดขึ้น
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะลอยาว คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/217984
KKP ชี้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะลอยาว ปรับลด GDP เหลือ 2.6% แม้ระยะสั้น ครึ่งหลัง 2024 มีโอกาสฟื้น คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2.6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.7% ซึ่งไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet ก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.9% ส่วนปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจจะโต 2.8% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มลดต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
ซึ่ง KKP Researc ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตลง โดยตัด นโยบาย Digital Wallet ออก เพราะไม่มีความแน่นอนและความชัดเจนของนโยบาย
KKP ResearchKKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2.6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.7% ซึ่งไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet
นอกจากนี้ยัง พบว่า ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการปรับลงเพื่อสะท้อนปัญหาสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูงกว่าปกติและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งอาจทำให้ ภาคการผลิตของไทยชะลอตัวระยะยาว หลังจากที่ การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวติดกันห้าไตรมาส สะท้อนว่ามีสินค้าคงคลังและปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทย
ซึ่งการเติบโตของปริมาณการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยอาจขยายตัวได้น้อยกว่าและคาดการณ์ได้ยาก อย่างเช่น กลุ่มที่มีการเร่งผลิตในช่วงที่อุปสงค์ชะลอ ส่งผลให้มีสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ คิดเป็นมูลค่าเพิ่มทั้งหมดประมาณ 23% ของภาคการผลิตไทย ที่เห็นได้ชัด คือ การผลิตสิ่งทอ การผลิตโลหะ การผลิต Hard Disk Drive ในกลุ่มนี้แม้การผลิตอาจจะกระเตื้องขึ้นได้บ้างตามวัฏจักร แต่ก็มีความน่ากังวลในระยะยาว
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถโตได้ดีขึ้นในช่วงครั้งหลังของปี 2024 เมื่อการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่จะกลับมาชดเชยการชะลอตัวในช่วงก่อนหน้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมและระดับสินค้าคงคลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ท่องเที่ยวฟื้นแต่ไม่เหมือนเดิม
นอกจากนี้ รายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด -19 มาก และมีแนวโน้มยังไม่กลับมาปกติ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีน แนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าลงกว่าเดิมหรืออาจไม่กลับมาในจำนวนเท่าเดิมอีกต่อไปตามสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง
เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่ามากกว่าเดิม
เกิดจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลได้ลดลงตามดุลการค้า โดยคาดว่าปี 2024 จะเกินดุลเพียง 0.8% และอัตราดอกเบี้ยของไทยจะอยู่ในระดับต่ำลงตามทิศทางเงินเฟ้อและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศกว้างกว่าในอดีต
เงินเฟ้อต่ำต่อ คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
KKP Research ประเมินว่าเงินเฟ้อทั้งในปี 2024 และ 2025 จะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8% และ 0.9% ตามลำดับซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย และคาดการณ์ว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ และ 1 ครั้งในปี 2025
JJNY : “ศิริกัญญา”พิจารณาพรบ.งบฯได้เร็ว│น้ำเขื่อนลำตะคองลดฮวบ│ศก.ไทยเสี่ยงชะลอยาว│เผยแกนนำรัสเชียเสียชีวิตเพราะลิ่มเลือด
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_681717/
“ศิริกัญญา” รับ พิจารณาพรบ.งบฯได้รวดเร็วเพราะหน่วยงานรัฐใช้วงเงินไปพลางก่อนแล้ว ปรับตัดยาก ยังไม่พบตบทรัพย์ แต่มีข้อดี จบไว ฝ่ายค้านจะได้เคาะยื่นซักฟอก
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เปิดเผยสำนักข่าว INN ถึงภาพรวมการทำงานของกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคก้าวไกลว่า สำหรับการทำงานในปีนี้ เข้าใจในข้อจำกัด พิจารณาอะไรและปรับลดอะไรได้ไม่มาก เพราะหน่วยงานรัฐใช้วงเงินงบประมาณ ปี 2566 พลางก่อนไปแล้ว มีวงเงินสูงกว่า 2 ใน 3 ของงบปีที่แล้ว
หากปรับหรือลดอะไร ในโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว สุดท้ายก็ต้องมีการโอนงบประมาณมาโปะอยู่ดี ดังนั้น การทำงานในชั้นกรรมาธิการพิจารณางบปีนี้ มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น แต่มีข้อดี คือ การพิจารณารวดเร็ว การตัดงบมีน้อย ทำให้การพิจารณาใน กมธ. และอนุ กมธ. สามารถพิจารณา วาระ 2 และ 3 ได้เร็วขึ้น ประมาณ 3 สัปดาห์ ถือเป็นข่าวดีที่จะทำให้งบประมาณผ่านได้เร็ว เพื่อมีเม็ดเงินลงไปสู่ประชาชนและภาคส่วนราชการ
ส่วนในชั้นอนุ กมธ.ที่แบ่งตามกระทรวง และมีตัวแทนจากพรรคการเมือง ในกระทรวงนั้นๆ มาเป็นประธาน และมีการตัดงบค่อนข้างน้อย จึงอาจเป็นข้อสงสัยของประชาชนว่า ส่งรัฐมนตรีมาเป็นองครักษ์พิทักษ์งบประมาณของแต่ละกระทรวงหรือไม่ จึงต้องรออนุ กมธ.ส่งรายงานกลับเข้ามายัง กมธ. เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
สำหรับที่มีข้อสังเกตุหรือพบเหตุการณ์ตบทรัพย์เหมือนในอดีตหรือไม่ นายศิริกัญญา กล่าวว่า เท่าที่ฟัง “ยังไม่มี” แต่ว่าบอกได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่จะนำมาพูด หรืออาจมีนวัตกรรมแบบใหม่ในการตบทรัพย์ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน ก็อาจเป็นไปได้ แต่เชื่อว่า ทุกอย่างจะไปปรากฏในตัวผลงานของอนุ กมธ.หรืออาจจะมีหน่วยงานใด ที่จะกล้าออกมาให้ข้อมูลกับ กมธ. ว่ามีการตบทรัพย์เกิดขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้ การพิจารณาของ กมธ. เสร็จเร็วขึ้น 3 สัปดาห์ ก็จะมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น และจะมีผลดีต่อการที่ฝ่ายค้าน จะตัดสินใจยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป แบบไม่ลงมติ หรือ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของสมัยการประชุม ถือว่า วิน วิน ทั้ง 2 ฝ่าย
https://www.matichon.co.th/region/news_4443066
น้ำเขื่อนลำตะคองลดฮวบ เหลือใช้แค่ 43 % มิตรภาพสายเก่าโผล่ ชลประทานงดปล่อยน้ำทำเกษตรแล้ว
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายกิติกุล เสภาศีราภรณ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนครราชสีมา รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า จากอิทธิพลของความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ในช่วงนี้ ประกอบกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ซึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา มีอากาศร้อนจัดต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว ในช่วงกลางวัน อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 35-39 องศาเซลเซียส ส่งผลทำให้ความชื้นในอากาศมีน้อย ทำไม่มีฝนตกลงมาในพื้นที่
ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนต่อเนื่องนี้ ทำให้ปริมาตรน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำทั้ง 27 แห่งของจังหวัด ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำลำตะคอง สภาพน้ำปัจจุบัน เหลืออยู่ที่ 147.48 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 46.90 % ของความจุทั้งหมด 314.49 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นน้ำใช้การได้ 124.76 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือแค่ 42.76 % เท่านั้น ทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง จึงส่งจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศในลำน้ำเท่านั้น งดจ่ายน้ำทำการเกษตร เพื่อสงวนน้ำเอาไว้ให้เพียงพอส่งจ่ายให้ 5 อำเภอ ผลิตประปาแจกจ่ายให้ประชาชนได้ใช้อุปโภบริโภค จนกว่าจะผ่านพ้นหน้าแล้งเข้าสู่ฤดูฝน
และเมื่อตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปของอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ตอนนี้จะเห็นสันดอนดินโผล่หลายจุด และเห็นสภาพถนนมิตรภาพ สายเก่า โผล่พ้นน้ำให้เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเดิมถนนมิตรภาพเส้นเดิมนี้ เป็นเส้นทางออกจากบ้านท่างอย อำเภอปากช่อง จนไปถึงบ้านท่าสูบใหญ่ อำเภอสีคิ้ว มีระยะทาง ยาวกว่า 15 กิโลเมตร โดยในช่วงที่มีปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างฯ จำนวนมาก ถนนเส้นน้ำจะจมหายไป แต่หากปีใดสถานการณ์ความแห้งแล้งในพื้นที่จังหวัดขยายวงกว้าง ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญ อย่างเช่น อ่างเก็บน้ำลำตะคองก็จะลดลงจนถนนมิตรภาพสายเก่า โผล่ขึ้นกลางอ่างเก็บน้ำฯ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย จึงอาศัยโอกาสนี้มานั่งรับลมชมวิวกันในจุดที่ถนนมิตรภาพสายเก่าโผล่ ส่วนชาวบ้านก็จะนำเครื่องมือจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก มาดักจับปลาน้ำจืดภายในอ่างฯ เพื่อนำไปบริโภคและจำหน่ายสร้างรายได้
ทั้งนี้อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เป็นแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่และถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาวจังหวัดนครราชสีมา ที่ทำหน้าที่แจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ถึง 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอสีคิ้ว , อำเภอสูงเนิน , อำเภอขามทะเลสอ ,อำเภอเมืองนครราชสีมา และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ขณะนี้ไม่สามารถที่แจกจ่ายเพื่อการเกษตรกรได้อย่างสิ้นเชิง คงเหลือการระบายน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงระบบนิเวศน์และให้ประชาชนได้ใช้ในการอุปโภคบริโภคในระบบประปาเท่านั้น ขณะนี้สำนักชลประทานที่ 8 ได้แจ้งไปทางจังหวัดให้ประกาศให้เกษตรกรทุกพื้นที่โดยเฉพาะชาวนา ได้งดทำนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำเก็บกักเหลือน้อย แต่หากเกษตรกรยังไม่ฟังและดื้อรั้น ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงพืชผลทางการเกษตรเสียหายจากการขาดน้ำทำการเกษตรที่จะเกิดขึ้น
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะลอยาว คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/217984
KKP ชี้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะลอยาว ปรับลด GDP เหลือ 2.6% แม้ระยะสั้น ครึ่งหลัง 2024 มีโอกาสฟื้น คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2.6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.7% ซึ่งไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet ก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.9% ส่วนปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจจะโต 2.8% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มลดต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
ซึ่ง KKP Researc ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตลง โดยตัด นโยบาย Digital Wallet ออก เพราะไม่มีความแน่นอนและความชัดเจนของนโยบาย
KKP ResearchKKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2.6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.7% ซึ่งไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet
นอกจากนี้ยัง พบว่า ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการปรับลงเพื่อสะท้อนปัญหาสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูงกว่าปกติและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งอาจทำให้ ภาคการผลิตของไทยชะลอตัวระยะยาว หลังจากที่ การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวติดกันห้าไตรมาส สะท้อนว่ามีสินค้าคงคลังและปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทย
ซึ่งการเติบโตของปริมาณการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยอาจขยายตัวได้น้อยกว่าและคาดการณ์ได้ยาก อย่างเช่น กลุ่มที่มีการเร่งผลิตในช่วงที่อุปสงค์ชะลอ ส่งผลให้มีสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ คิดเป็นมูลค่าเพิ่มทั้งหมดประมาณ 23% ของภาคการผลิตไทย ที่เห็นได้ชัด คือ การผลิตสิ่งทอ การผลิตโลหะ การผลิต Hard Disk Drive ในกลุ่มนี้แม้การผลิตอาจจะกระเตื้องขึ้นได้บ้างตามวัฏจักร แต่ก็มีความน่ากังวลในระยะยาว
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถโตได้ดีขึ้นในช่วงครั้งหลังของปี 2024 เมื่อการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่จะกลับมาชดเชยการชะลอตัวในช่วงก่อนหน้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมและระดับสินค้าคงคลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ท่องเที่ยวฟื้นแต่ไม่เหมือนเดิม
นอกจากนี้ รายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด -19 มาก และมีแนวโน้มยังไม่กลับมาปกติ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีน แนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าลงกว่าเดิมหรืออาจไม่กลับมาในจำนวนเท่าเดิมอีกต่อไปตามสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง
เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่ามากกว่าเดิม
เกิดจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลได้ลดลงตามดุลการค้า โดยคาดว่าปี 2024 จะเกินดุลเพียง 0.8% และอัตราดอกเบี้ยของไทยจะอยู่ในระดับต่ำลงตามทิศทางเงินเฟ้อและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศกว้างกว่าในอดีต
เงินเฟ้อต่ำต่อ คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
KKP Research ประเมินว่าเงินเฟ้อทั้งในปี 2024 และ 2025 จะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8% และ 0.9% ตามลำดับซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย และคาดการณ์ว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ และ 1 ครั้งในปี 2025