เราทำงานอยู่ในหน่วยงานรัฐ สังคมในที่ทำงานเป็นแบบสังคมผู้หญิงช่างเมาท์ ชอบนินทากัน เสี้ยมกันไปมา แบ่งพรรคแบ่งพวก (หัวหน้าก็เป็น) ในขณะที่ตัวเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเป็นคนนิ่งเงียบ พูดไม่เก่ง พูดจาตรงไปตรงมา แต่ไม่ใช่คนแรง และไม่เคยพูดจาหยาบคายกับคนอื่น ตอนนี้เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหลายคน แต่ทุกครั้งที่มีปัญหา เราไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เรารู้สึกว่าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่า และเราเป็นคนที่ถ้ารู้สึกโกรธใครแล้ว จะไม่โวยวาย แต่จะเมินใส่และไม่คุยกับคนๆนั้นเลย และเราเป็นคนหายโกรธยาก มูฟออนยาก ถ้าอีกฝ่ายไม่มาเคลียร์กับเรา เราก็จะไม่เป็นฝ่ายไปเคลียร์กับเขาก่อน นี่คือเพื่อนร่วมงานที่เรามีปัญหาด้วย
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 1 : เป็นรุ่นน้อง วันหนึ่งพวกคนในห้องต้องช่วยกันย้ายตู้ใส่ของๆเราไปไว้ตรงอื่น เพราะจะใช้พื้นที่ตรงนั้นติดตั้งอ่างล้างจานแทน (พวกเพื่อนร่วมงานต่างเรียกร้องอยากให้ช่างมาติดตั้งอ่าง แต่เราไม่ได้สนใจ) ตอนนั้นเราเพิ่งเอาของในตู้ออก แล้วมานั่งพักเหนื่อยที่โต๊ะทำงาน แต่นั่งพักได้ไม่ทันไร พวกเพื่อนร่วมงานก็เดินไปที่ตู้ของเราเพื่อจะเคลื่อนย้าย เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รีบกันนัก ไม่ถามเราสักคำ ทีนี้มีรุ่นน้องคนหนึ่ง (คนที่เรากำลังจะมีปัญหาด้วย) เรียกเราไปช่วยย้ายตู้ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลย จะลุกไปช่วย แต่ทีนี้มันมีคำพูดหนึ่งของเขาที่ทำให้เราไม่พอใจ คือเขาพูดว่า "นี่คือตู้ของพี่...นะ" จากน้ำเสียงของเขา เราฟังแล้วรู้สึกว่ากำลังโดนเด็กกล่าวหาว่าไม่รับผิดชอบของๆตัวเอง เราก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะพูดอย่างมีอารมณ์หน่อยๆว่า "พี่รู้อยู่แล้วว่านี่คือตู้ของพี่ ไม่ใช่ว่าพี่จะไม่ช่วยย้าย" หลังจากนั้นเรากับเขาก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย (จริงๆก่อนหน้านั้นเราเคยถามหัวหน้าแล้วว่าตอนที่ช่างมาติดตั้งอ่าง จะขอให้ช่างช่วยย้ายตู้ใส่ของๆเราให้ด้วยได้ไหม เพราะในห้องมีแต่ผู้หญิง แล้วตู้ก็เป็นตู้เหล็ก ทั้งใหญ่และหนัก จะยกกันยังไง หัวหน้าบอกว่าได้ เราจึงไม่คิดว่าจะต้องมายกย้ายตู้กันเองอีก ตอนย้ายตู้กันเองนี่ใช้แรงผู้หญิงเกือบทั้งห้องเลย แล้วหัวหน้าก็ไม่ได้ช่วยหรือพูดอะไรเลย) และหลังจากที่ช่างมาติดตั้งอ่างล้างจานให้แล้ว เราไม่ยอมใช้อ่างอยู่หลายเดือนเพราะนึกถึงความรู้สึกโกรธในตอนนั้น และตอนนี้เราก็คิดได้ว่าคำพูดที่เราพูดกับเพื่อนร่วมงานไปตอนนั้น จริงๆเราก็พูดไม่ถูก เพราะตู้ใส่ของนั่นไม่ใช่ทรัพย์สินของเราสักหน่อย เป็นของที่ทำงานต่างหาก ถ้าเลือกได้เราก็ไม่อยากได้มันหรอก แต่ความคิดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหมองใจของเราลดลง
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 2 : เป็นรุ่นน้องเหมือนกัน และสนิทกับคนแรกที่เราพูดถึงด้านบน จริงๆเราไม่ค่อยชอบเขาอยู่แล้ว เพราะเขามีพฤติกรรมที่ไม่เกรงใจคนอื่น เช่น ชอบพูดเสียงดัง ชอบนินทาคนอื่นแบบใส่อารมณ์เสียงดัง ใช้คำพูดคำจาค่อนข้างแรง อวดเก่ง ทะนงตัว ก้าวร้าว และก็ชอบขอเงินคนอื่นไปซื้อของกินที่ตัวเองอยากกิน แต่จะอ้างว่าซื้อมาให้ทุกคนกิน (เราไม่เคยให้เงินเขา เขาก็ไม่ขอเงินเรา จะขอคนที่เคยขอแล้วได้) เรารู้สึกว่าการกระทำของเขามันดูเห็นแก่ตัว ไม่ให้เกียรติคนอื่น และไร้ศักดิ์ศรี เราจึงแทบไม่เคยกินอะไรที่เขาซื้อมาด้วยเงินที่ไปขอจากคนอื่นเลย นานๆจะกินสักทีตอนที่โดนคนอื่นชวนมากๆจนเราเกรงใจและต้องยอมกิน) แต่ถึงเราจะไม่ชอบ เราก็นิ่ง ไม่เคยว่าอะไรเขา และพูดจากับเขาแบบปกติ จุดที่ทำให้เรากับเขามีปัญหากัน มันมาจากเหตุการณ์ที่เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนแรก ตอนที่ย้ายตู้ใส่ของเรา แล้วรุ่นน้องคนแรกใช้คำพูดที่ไม่โอเคกับเรา รุ่นน้องคนนี้แสดงอาการสะใจด้วยการไปแปะมือกับเพื่อนร่วมงานอีกคน (เดี๋ยวเราจะพูดถึงเป็นคนที่ 3 ต่อไป) เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เราเห็น แต่เราตาไวเห็นเอง เราจึงโกรธ และรู้เลยว่ารุ่นน้องคนนี้ก็ไม่ชอบเราอยู่แล้วเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลย และตอนหลังเขาโยนงานของเขามาให้เราทำ เพราะเขาอ้างกับหัวหน้าว่าเขาทำงานนี้แล้วมีปัญหากับคนที่เขาทำงานด้วย หัวหน้าจึงตัดปัญหาด้วยการให้เราทำงานนั้นแทนเขา เราก็ยอมทำเพราะเป็นคำสั่งของหัวหน้า แต่ในใจเรารู้สึกโกรธมาก เหมือนคนที่ถูกเอาเปรียบ แถมคู่กรณีก็ดูดีใจด้วยที่ผลักงานออกไปพ้นตัวได้ และหลังจากนั้นเราก็เลิกคุยกับเขา ไม่มองหน้าเขา ซึ่งเขาก็คงรู้ได้ว่าเราไม่ชอบ เพราะเขาเองก็เลิกคุยและเลิกทักทายเราตอนเข้างาน-เลิกงาน อาจมีบางช่วงที่เขาเผลอพูดกับเราบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องงาน เราก็จะพูดตอบเขา แต่หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะนิ่งเงียบเหมือนเดิม
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 3 : เป็นรุ่นพี่ แต่เป็นเหมือนไอต้าวของห้องนี้ เพราะตัวเล็ก พูดจาเรียบร้อยอ่อนหวาน พวกเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่จะชอบเรียกเขาว่า "น้อง" แล้วตามด้วยชื่อเขา (ในขณะที่รุ่นน้องคนอื่นๆจะถูกเรียกด้วยชื่อเฉยๆ) สิ่งแรกที่เราไม่ค่อยชอบเขา คือเวลาเราเอาเอกสารไปส่งเขา หรือเวลาเราทวงงานเขา บางครั้งเขาจะทำสีหน้าเหมือนรำคาญ (ไม่ได้แสดงอาการชัดมาก แต่เราสามารถรับรู้ได้) ส่วนนึงคงเป็นเพราะเรากับเขาไม่สนิทกัน เราเองก็รู้สึกกดดันเวลาต้องทวงงานเขา เราไม่เคยทักทายเขาเลยเวลาเข้างาน-ออกงาน เพราะอะไรไม่รู้ (เป็นความรู้สึกไม่สะดวกใจ ที่เราก็ไม่สามารถอธิบายได้ ปกติเขาจะมาถึงห้องทำงานทีหลังเรา เราจะทักเฉพาะคนที่มาถึงก่อนเรา แต่ถ้าวันไหนเขาคนนี้มาถึงก่อนเรา เราก็ไม่ทักเขาเหมือนกัน แต่เราจะพยายามยุติธรรมด้วยการไม่ทักเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกับเขาด้วย) ส่วนเรื่องที่ทำให้เราไม่พอใจเขาแบบจริงจัง ก็มาจากเหตุการณ์เดียวกับที่เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนที่ 1-2 เขาคือคนที่แปะมือกับรุ่นน้องคนที่ 2 เพราะสะใจที่เห็นเราโดนรุ่นน้องคนที่ 1 พูดไม่ดีใส่ เราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้พวกเขาไม่ชอบเรากันแน่ แต่ที่แน่ๆคือเราไม่ชอบพฤติกรรมนี้ของพวกเขา แต่เราไม่ได้ปฏิบัติต่อรุ่นพี่คนนี้ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ส่วนนึงเป็นเพราะเขายังพูดกับเราอยู่ เราทั้งคู่ต่างต้องพึ่งพากันในบางเรื่องที่เกี่ยวกับงาน ก็ถือว่ายังสามารถคุยกันได้ แต่คุยกันเฉพาะเรื่องงาน
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 4 : เป็นรุ่นพี่ หรืออาจเรียกว่ารุ่นน้าก็ได้ ด้วยอายุของเขา ปกติเขาเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางวันพูดจาดี บางวันพูดจาไม่ดี นี่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เราไม่ได้ทักทายเวลาเข้างาน-เลิกงาน เพราะเราเคยทักเขาแล้ว แต่โดนเขาเมินใส่ (พอคนอื่นๆทักเขา เขาทักตอบ แต่พอเราทักเขา เขาเฉยใส่ จะให้เราคิดยังไง) ครั้งหนึ่งเรารู้ว่าเขาแอบนินทาเรากับเพื่อนร่วมงานอีกคน เรื่องที่เรากินอาหารเช้าในห้องทำงาน แล้วพอถึงเวลาเริ่มงานเรายังกินไม่เสร็จ และด้วยความที่เรากับเขานั่งทำงานใกล้กันมาก เขาไม่ชอบกลิ่นอาหารที่เรากิน พอเรารู้เราก็เลิกทำพฤติกรรมนี้ คือเรายังกินอาหารในห้องทำงาน แต่จะกินให้เสร็จก่อนเวลาเริ่มงาน (ที่ทำงานไม่ได้มีกฎห้ามกินอาหารในห้องทำงาน บางคนกินทุเรียน ขนุน ส้มตำปลาร้า ยำมะม่วง) จุดที่ทำให้เรากับเขามีปัญหากันคือ เขาสั่งให้เราช่วยทำงานของเขา โดยอ้างว่าเขากำลังยุ่งอยู่ ซึ่งงานนั้นก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเรา เราทำได้ แต่เราไม่ทำให้ เพราะไม่ใช่หน้าที่เรา เราเองก็มีงานยุ่งของเรา และเราเห็นว่าเขาก็ไม่ได้ยุ่งจริงๆอย่างที่อ้าง และตอนนั้นที่ทำงานเพิ่งรับพนักงานใหม่เข้ามา และต่อไปงานที่รุ่นพี่สั่งเราจะต้องกลายเป็นหน้าที่ของพนักงานใหม่ เราจึงถามเขาดีๆว่า ทำไมเขาไม่สอนให้พนักงานใหม่ทำ เราพูดแค่นี้ แต่เขาไม่พอใจ อารมณ์ขึ้น แล้วพูดจาเหน็บแนม เราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน และหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่คุยกับเรา ส่วนเราก็อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ของเราไป เพราะเราไม่ผิด เราแน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ กับเพื่อนร่วมงานคนนี้เราก็เคยช่วยเหลือเขาหลายเรื่อง (เขาเคยนึกถึงบ้างหรือเปล่า) แต่เรื่องนี้เราไม่โอเคจริงๆถึงได้ไม่ช่วย เรารู้สึกว่าที่เขาใช้งานเรา ก็เพราะเห็นว่าเราเป็นคนไม่มีปากเสียง ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่ใช้หรอก และต่อให้ไม่มีเหตุการณ์นี้ เขาก็ไม่ได้ชอบเรา เพราะเขารู้สึกว่าเราเป็นลูกรักของหัวหน้า ทำอะไรก็ไม่โดนหัวหน้าบ่นว่า ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ เวลาเราทำงานผิดพลาดหรือไม่ถูกใจหัวหน้า เราก็โดนหัวหน้าตำหนิเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่ได้ทำงานผิดพลาดบ่อยเพราะเป็นคนค่อนข้างละเอียดรอบคอบ และเราก็ไม่เคยเกี่ยงหรือบ่นเวลาหัวหน้าสั่งงาน แต่เราก็ต้องเหนื่อยกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเหมือนกัน เพราะเราอยู่ใกล้หัวหน้า ก็จะโดนสั่งให้ทำงานจิปาถะหรืองานน่าเบื่ออีกหลายอย่าง นอกเหนือจากงานหลักด้วย งานเพื่อส่วนรวมเราก็ต้องทำ (จดรายงานประชุมของห้อง ดูแลเรื่องงาน HR ของห้อง แล้วไหนจะต้องดูแลการเบิก/ซ่อมพัสดุและครุภัณฑ์ของห้องอีก ของบางอย่างหนักๆเราก็ต้องยกเอง ไม่มีใครช่วย) ในขณะที่ลูกน้องคนอื่นๆทำแต่งานหลัก (เพราะฉะนั้นจะมาว่าเราแล้งน้ำใจไม่ได้) นอกจากนี้งานของเรามันก็คนละฟีลด์กับงานของคนอื่นๆ งานของเรามีเราทำคนเดียว ส่วนคนอื่นๆทำงานฟีลด์เดียวกัน พวกเขาก็จะมีเรื่องเม้าท์กันเกี่ยวกับงาน หลายครั้งเรารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนละโลกกับคนอื่นๆ
หลังจากเกิดเหตุการณ์กับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนที่ 4 ก็มีเพื่อนร่วมงานสังเกตเห็นว่าเรากับรุ่นพี่คนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหากัน จึงไปบอกหัวหน้า แล้วหัวหน้าก็มาถามเรา เราจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หัวหน้าก็บอกว่าเราไม่ได้ทำผิด และรุ่นพี่คนนั้นก็ทำไม่ถูกต้อง แต่หัวหน้าก็แนะนำให้เราใช้คำพูดที่ซอฟต์กว่านี้เวลาจะปฏิเสธใคร (เราก็สงสัยว่าเราพูดไม่ซอฟต์ตรงไหน เราว่าเราซอฟต์กว่าอีกฝ่ายมากๆ) เพราะเราเป็นคนตรงๆ เป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง และเป็นคนนิ่งๆ การปฏิเสธตรงๆ จะดูเหมือนเราตึงเกินไป ดูเหมือนไม่เอาใคร การอยู่ร่วมกันเราต้องรู้จักนิสัยคนอื่น รุ่นพี่คนนี้ไม่ได้น่ารัก หัวหน้าเองก็ไม่ได้ชอบ แต่อะไรที่ช่วยกันแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็คิดซะว่าซื้อความสบายใจ ทีมก็จะไปกันต่อได้ บรรยากาศก็จะไม่อึดอัด เลือกทำสิ่งที่ทำแล้วจะเกิดความสบายใจดีกว่า
เราฟังหัวหน้าแล้วไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี (แต่ออกไปทางเสียใจมากกว่า) เรายอมรับว่าตอนนี้เรารู้สึกอึดอัดกับพวกเพื่อนร่วมงาน และแทบไม่อยากพูดคุยหรือทำอะไรกับเพื่อนร่วมงานเลย เหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเขา ไปทำงานด้วยความรู้สึกซังกะตาย เหนื่อยใจทั้งเรื่องงานและเรื่องคน ระบายความรู้สึกให้ใครฟังก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครที่เราจะรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจได้ สิ่งที่หัวหน้าแนะนำเรา ดูเหมือนเป็นความหวังดี แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายยอมปรับตัวเข้ากับนิสัยของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน ในขณะที่คนอื่นๆไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ซึ่งจริงๆแล้วทุกฝ่ายควรปรับเข้าหากันมากกว่า เราไม่รู้ว่าหัวหน้าได้พูดกับเพื่อนร่วมงานคู่กรณีเหมือนที่พูดกับเราไหม แต่คิดว่า หัวหน้าคงพูดกับเราฝ่ายเดียว เพราะอีกฝ่ายเป็นไม้แก่ดัดยากแล้ว หัวหน้าคงไม่อยากพูดด้วยเยอะ (หัวหน้าไม่ใช่คนที่ยุติรรมนัก เขาเลือกพูดเตือนคนที่คิดว่าคุยง่าย ใครคุยยากเขาก็ไม่ค่อยคุย) และเราก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกเอาเปรียบอยู่ร่ำไป มันทำให้เราไม่อยากสนิทสนมกับใครเลย อยากจะพาตัวเองออกไปจากสภาพแบบนี้
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน เพราะเราเป็นคนนิ่งและพูดตรง
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 1 : เป็นรุ่นน้อง วันหนึ่งพวกคนในห้องต้องช่วยกันย้ายตู้ใส่ของๆเราไปไว้ตรงอื่น เพราะจะใช้พื้นที่ตรงนั้นติดตั้งอ่างล้างจานแทน (พวกเพื่อนร่วมงานต่างเรียกร้องอยากให้ช่างมาติดตั้งอ่าง แต่เราไม่ได้สนใจ) ตอนนั้นเราเพิ่งเอาของในตู้ออก แล้วมานั่งพักเหนื่อยที่โต๊ะทำงาน แต่นั่งพักได้ไม่ทันไร พวกเพื่อนร่วมงานก็เดินไปที่ตู้ของเราเพื่อจะเคลื่อนย้าย เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รีบกันนัก ไม่ถามเราสักคำ ทีนี้มีรุ่นน้องคนหนึ่ง (คนที่เรากำลังจะมีปัญหาด้วย) เรียกเราไปช่วยย้ายตู้ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลย จะลุกไปช่วย แต่ทีนี้มันมีคำพูดหนึ่งของเขาที่ทำให้เราไม่พอใจ คือเขาพูดว่า "นี่คือตู้ของพี่...นะ" จากน้ำเสียงของเขา เราฟังแล้วรู้สึกว่ากำลังโดนเด็กกล่าวหาว่าไม่รับผิดชอบของๆตัวเอง เราก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะพูดอย่างมีอารมณ์หน่อยๆว่า "พี่รู้อยู่แล้วว่านี่คือตู้ของพี่ ไม่ใช่ว่าพี่จะไม่ช่วยย้าย" หลังจากนั้นเรากับเขาก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย (จริงๆก่อนหน้านั้นเราเคยถามหัวหน้าแล้วว่าตอนที่ช่างมาติดตั้งอ่าง จะขอให้ช่างช่วยย้ายตู้ใส่ของๆเราให้ด้วยได้ไหม เพราะในห้องมีแต่ผู้หญิง แล้วตู้ก็เป็นตู้เหล็ก ทั้งใหญ่และหนัก จะยกกันยังไง หัวหน้าบอกว่าได้ เราจึงไม่คิดว่าจะต้องมายกย้ายตู้กันเองอีก ตอนย้ายตู้กันเองนี่ใช้แรงผู้หญิงเกือบทั้งห้องเลย แล้วหัวหน้าก็ไม่ได้ช่วยหรือพูดอะไรเลย) และหลังจากที่ช่างมาติดตั้งอ่างล้างจานให้แล้ว เราไม่ยอมใช้อ่างอยู่หลายเดือนเพราะนึกถึงความรู้สึกโกรธในตอนนั้น และตอนนี้เราก็คิดได้ว่าคำพูดที่เราพูดกับเพื่อนร่วมงานไปตอนนั้น จริงๆเราก็พูดไม่ถูก เพราะตู้ใส่ของนั่นไม่ใช่ทรัพย์สินของเราสักหน่อย เป็นของที่ทำงานต่างหาก ถ้าเลือกได้เราก็ไม่อยากได้มันหรอก แต่ความคิดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหมองใจของเราลดลง
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 2 : เป็นรุ่นน้องเหมือนกัน และสนิทกับคนแรกที่เราพูดถึงด้านบน จริงๆเราไม่ค่อยชอบเขาอยู่แล้ว เพราะเขามีพฤติกรรมที่ไม่เกรงใจคนอื่น เช่น ชอบพูดเสียงดัง ชอบนินทาคนอื่นแบบใส่อารมณ์เสียงดัง ใช้คำพูดคำจาค่อนข้างแรง อวดเก่ง ทะนงตัว ก้าวร้าว และก็ชอบขอเงินคนอื่นไปซื้อของกินที่ตัวเองอยากกิน แต่จะอ้างว่าซื้อมาให้ทุกคนกิน (เราไม่เคยให้เงินเขา เขาก็ไม่ขอเงินเรา จะขอคนที่เคยขอแล้วได้) เรารู้สึกว่าการกระทำของเขามันดูเห็นแก่ตัว ไม่ให้เกียรติคนอื่น และไร้ศักดิ์ศรี เราจึงแทบไม่เคยกินอะไรที่เขาซื้อมาด้วยเงินที่ไปขอจากคนอื่นเลย นานๆจะกินสักทีตอนที่โดนคนอื่นชวนมากๆจนเราเกรงใจและต้องยอมกิน) แต่ถึงเราจะไม่ชอบ เราก็นิ่ง ไม่เคยว่าอะไรเขา และพูดจากับเขาแบบปกติ จุดที่ทำให้เรากับเขามีปัญหากัน มันมาจากเหตุการณ์ที่เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนแรก ตอนที่ย้ายตู้ใส่ของเรา แล้วรุ่นน้องคนแรกใช้คำพูดที่ไม่โอเคกับเรา รุ่นน้องคนนี้แสดงอาการสะใจด้วยการไปแปะมือกับเพื่อนร่วมงานอีกคน (เดี๋ยวเราจะพูดถึงเป็นคนที่ 3 ต่อไป) เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เราเห็น แต่เราตาไวเห็นเอง เราจึงโกรธ และรู้เลยว่ารุ่นน้องคนนี้ก็ไม่ชอบเราอยู่แล้วเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลย และตอนหลังเขาโยนงานของเขามาให้เราทำ เพราะเขาอ้างกับหัวหน้าว่าเขาทำงานนี้แล้วมีปัญหากับคนที่เขาทำงานด้วย หัวหน้าจึงตัดปัญหาด้วยการให้เราทำงานนั้นแทนเขา เราก็ยอมทำเพราะเป็นคำสั่งของหัวหน้า แต่ในใจเรารู้สึกโกรธมาก เหมือนคนที่ถูกเอาเปรียบ แถมคู่กรณีก็ดูดีใจด้วยที่ผลักงานออกไปพ้นตัวได้ และหลังจากนั้นเราก็เลิกคุยกับเขา ไม่มองหน้าเขา ซึ่งเขาก็คงรู้ได้ว่าเราไม่ชอบ เพราะเขาเองก็เลิกคุยและเลิกทักทายเราตอนเข้างาน-เลิกงาน อาจมีบางช่วงที่เขาเผลอพูดกับเราบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องงาน เราก็จะพูดตอบเขา แต่หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะนิ่งเงียบเหมือนเดิม
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 3 : เป็นรุ่นพี่ แต่เป็นเหมือนไอต้าวของห้องนี้ เพราะตัวเล็ก พูดจาเรียบร้อยอ่อนหวาน พวกเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่จะชอบเรียกเขาว่า "น้อง" แล้วตามด้วยชื่อเขา (ในขณะที่รุ่นน้องคนอื่นๆจะถูกเรียกด้วยชื่อเฉยๆ) สิ่งแรกที่เราไม่ค่อยชอบเขา คือเวลาเราเอาเอกสารไปส่งเขา หรือเวลาเราทวงงานเขา บางครั้งเขาจะทำสีหน้าเหมือนรำคาญ (ไม่ได้แสดงอาการชัดมาก แต่เราสามารถรับรู้ได้) ส่วนนึงคงเป็นเพราะเรากับเขาไม่สนิทกัน เราเองก็รู้สึกกดดันเวลาต้องทวงงานเขา เราไม่เคยทักทายเขาเลยเวลาเข้างาน-ออกงาน เพราะอะไรไม่รู้ (เป็นความรู้สึกไม่สะดวกใจ ที่เราก็ไม่สามารถอธิบายได้ ปกติเขาจะมาถึงห้องทำงานทีหลังเรา เราจะทักเฉพาะคนที่มาถึงก่อนเรา แต่ถ้าวันไหนเขาคนนี้มาถึงก่อนเรา เราก็ไม่ทักเขาเหมือนกัน แต่เราจะพยายามยุติธรรมด้วยการไม่ทักเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกับเขาด้วย) ส่วนเรื่องที่ทำให้เราไม่พอใจเขาแบบจริงจัง ก็มาจากเหตุการณ์เดียวกับที่เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนที่ 1-2 เขาคือคนที่แปะมือกับรุ่นน้องคนที่ 2 เพราะสะใจที่เห็นเราโดนรุ่นน้องคนที่ 1 พูดไม่ดีใส่ เราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้พวกเขาไม่ชอบเรากันแน่ แต่ที่แน่ๆคือเราไม่ชอบพฤติกรรมนี้ของพวกเขา แต่เราไม่ได้ปฏิบัติต่อรุ่นพี่คนนี้ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ส่วนนึงเป็นเพราะเขายังพูดกับเราอยู่ เราทั้งคู่ต่างต้องพึ่งพากันในบางเรื่องที่เกี่ยวกับงาน ก็ถือว่ายังสามารถคุยกันได้ แต่คุยกันเฉพาะเรื่องงาน
>>> เพื่อนร่วมงานคนที่ 4 : เป็นรุ่นพี่ หรืออาจเรียกว่ารุ่นน้าก็ได้ ด้วยอายุของเขา ปกติเขาเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางวันพูดจาดี บางวันพูดจาไม่ดี นี่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เราไม่ได้ทักทายเวลาเข้างาน-เลิกงาน เพราะเราเคยทักเขาแล้ว แต่โดนเขาเมินใส่ (พอคนอื่นๆทักเขา เขาทักตอบ แต่พอเราทักเขา เขาเฉยใส่ จะให้เราคิดยังไง) ครั้งหนึ่งเรารู้ว่าเขาแอบนินทาเรากับเพื่อนร่วมงานอีกคน เรื่องที่เรากินอาหารเช้าในห้องทำงาน แล้วพอถึงเวลาเริ่มงานเรายังกินไม่เสร็จ และด้วยความที่เรากับเขานั่งทำงานใกล้กันมาก เขาไม่ชอบกลิ่นอาหารที่เรากิน พอเรารู้เราก็เลิกทำพฤติกรรมนี้ คือเรายังกินอาหารในห้องทำงาน แต่จะกินให้เสร็จก่อนเวลาเริ่มงาน (ที่ทำงานไม่ได้มีกฎห้ามกินอาหารในห้องทำงาน บางคนกินทุเรียน ขนุน ส้มตำปลาร้า ยำมะม่วง) จุดที่ทำให้เรากับเขามีปัญหากันคือ เขาสั่งให้เราช่วยทำงานของเขา โดยอ้างว่าเขากำลังยุ่งอยู่ ซึ่งงานนั้นก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเรา เราทำได้ แต่เราไม่ทำให้ เพราะไม่ใช่หน้าที่เรา เราเองก็มีงานยุ่งของเรา และเราเห็นว่าเขาก็ไม่ได้ยุ่งจริงๆอย่างที่อ้าง และตอนนั้นที่ทำงานเพิ่งรับพนักงานใหม่เข้ามา และต่อไปงานที่รุ่นพี่สั่งเราจะต้องกลายเป็นหน้าที่ของพนักงานใหม่ เราจึงถามเขาดีๆว่า ทำไมเขาไม่สอนให้พนักงานใหม่ทำ เราพูดแค่นี้ แต่เขาไม่พอใจ อารมณ์ขึ้น แล้วพูดจาเหน็บแนม เราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน และหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่คุยกับเรา ส่วนเราก็อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ของเราไป เพราะเราไม่ผิด เราแน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ กับเพื่อนร่วมงานคนนี้เราก็เคยช่วยเหลือเขาหลายเรื่อง (เขาเคยนึกถึงบ้างหรือเปล่า) แต่เรื่องนี้เราไม่โอเคจริงๆถึงได้ไม่ช่วย เรารู้สึกว่าที่เขาใช้งานเรา ก็เพราะเห็นว่าเราเป็นคนไม่มีปากเสียง ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่ใช้หรอก และต่อให้ไม่มีเหตุการณ์นี้ เขาก็ไม่ได้ชอบเรา เพราะเขารู้สึกว่าเราเป็นลูกรักของหัวหน้า ทำอะไรก็ไม่โดนหัวหน้าบ่นว่า ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ เวลาเราทำงานผิดพลาดหรือไม่ถูกใจหัวหน้า เราก็โดนหัวหน้าตำหนิเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่ได้ทำงานผิดพลาดบ่อยเพราะเป็นคนค่อนข้างละเอียดรอบคอบ และเราก็ไม่เคยเกี่ยงหรือบ่นเวลาหัวหน้าสั่งงาน แต่เราก็ต้องเหนื่อยกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเหมือนกัน เพราะเราอยู่ใกล้หัวหน้า ก็จะโดนสั่งให้ทำงานจิปาถะหรืองานน่าเบื่ออีกหลายอย่าง นอกเหนือจากงานหลักด้วย งานเพื่อส่วนรวมเราก็ต้องทำ (จดรายงานประชุมของห้อง ดูแลเรื่องงาน HR ของห้อง แล้วไหนจะต้องดูแลการเบิก/ซ่อมพัสดุและครุภัณฑ์ของห้องอีก ของบางอย่างหนักๆเราก็ต้องยกเอง ไม่มีใครช่วย) ในขณะที่ลูกน้องคนอื่นๆทำแต่งานหลัก (เพราะฉะนั้นจะมาว่าเราแล้งน้ำใจไม่ได้) นอกจากนี้งานของเรามันก็คนละฟีลด์กับงานของคนอื่นๆ งานของเรามีเราทำคนเดียว ส่วนคนอื่นๆทำงานฟีลด์เดียวกัน พวกเขาก็จะมีเรื่องเม้าท์กันเกี่ยวกับงาน หลายครั้งเรารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนละโลกกับคนอื่นๆ
หลังจากเกิดเหตุการณ์กับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนที่ 4 ก็มีเพื่อนร่วมงานสังเกตเห็นว่าเรากับรุ่นพี่คนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหากัน จึงไปบอกหัวหน้า แล้วหัวหน้าก็มาถามเรา เราจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หัวหน้าก็บอกว่าเราไม่ได้ทำผิด และรุ่นพี่คนนั้นก็ทำไม่ถูกต้อง แต่หัวหน้าก็แนะนำให้เราใช้คำพูดที่ซอฟต์กว่านี้เวลาจะปฏิเสธใคร (เราก็สงสัยว่าเราพูดไม่ซอฟต์ตรงไหน เราว่าเราซอฟต์กว่าอีกฝ่ายมากๆ) เพราะเราเป็นคนตรงๆ เป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง และเป็นคนนิ่งๆ การปฏิเสธตรงๆ จะดูเหมือนเราตึงเกินไป ดูเหมือนไม่เอาใคร การอยู่ร่วมกันเราต้องรู้จักนิสัยคนอื่น รุ่นพี่คนนี้ไม่ได้น่ารัก หัวหน้าเองก็ไม่ได้ชอบ แต่อะไรที่ช่วยกันแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็คิดซะว่าซื้อความสบายใจ ทีมก็จะไปกันต่อได้ บรรยากาศก็จะไม่อึดอัด เลือกทำสิ่งที่ทำแล้วจะเกิดความสบายใจดีกว่า
เราฟังหัวหน้าแล้วไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี (แต่ออกไปทางเสียใจมากกว่า) เรายอมรับว่าตอนนี้เรารู้สึกอึดอัดกับพวกเพื่อนร่วมงาน และแทบไม่อยากพูดคุยหรือทำอะไรกับเพื่อนร่วมงานเลย เหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเขา ไปทำงานด้วยความรู้สึกซังกะตาย เหนื่อยใจทั้งเรื่องงานและเรื่องคน ระบายความรู้สึกให้ใครฟังก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครที่เราจะรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจได้ สิ่งที่หัวหน้าแนะนำเรา ดูเหมือนเป็นความหวังดี แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายยอมปรับตัวเข้ากับนิสัยของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน ในขณะที่คนอื่นๆไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ซึ่งจริงๆแล้วทุกฝ่ายควรปรับเข้าหากันมากกว่า เราไม่รู้ว่าหัวหน้าได้พูดกับเพื่อนร่วมงานคู่กรณีเหมือนที่พูดกับเราไหม แต่คิดว่า หัวหน้าคงพูดกับเราฝ่ายเดียว เพราะอีกฝ่ายเป็นไม้แก่ดัดยากแล้ว หัวหน้าคงไม่อยากพูดด้วยเยอะ (หัวหน้าไม่ใช่คนที่ยุติรรมนัก เขาเลือกพูดเตือนคนที่คิดว่าคุยง่าย ใครคุยยากเขาก็ไม่ค่อยคุย) และเราก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกเอาเปรียบอยู่ร่ำไป มันทำให้เราไม่อยากสนิทสนมกับใครเลย อยากจะพาตัวเองออกไปจากสภาพแบบนี้