สวัสดีค่ะพ่อๆ แม่ๆ ทุกท่านที่แวะมากระทู้นี้
จุดประสงค์ในการเขียนกระทู้นี้ คือ อยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้รับจากโรงเรียนนี้ทั้งในมุมของพ่อแม่และเด็กๆ ไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ หรือ แนวคิดทางการศึกษากับที่อื่นๆ นะคะ ขอความกรุณา รับชมด้วยความบันเทิงเพลินๆ กันไปนะคะ ^^
จริงๆ ต้องบอกก่อนว่า บ้านเราตั้งใจให้ลูกไปสายโฮมสคูลl (พ่อทำงานประจำ , แม่ทำงานที่บ้าน) เลยกะว่าช่วงอนุบาลจะลอง Home School กัน แต่พอลูกสาวครบ 1 ขวบ โควิดก็เข้าไทยพอดี ทำให้การใช้ชีวิตโฮมสคูล ได้โฮมสมชื่อจริงๆ ผิดแผนจากที่แม่วางไว้ว่าเราจะลุยกันนอกบ้าน และมีหลายอย่างจากการสังเกตลูก ที่แม่รู้สึกว่า บางทีการไป รร. อาจจะดีกว่า และ รร. แนวที่แม่ต้องการ ก็คือ โรงเรียนทางเลือก ซึ่งที่เดียวในใจที่แม่เลือก ก็คือ "โรงเรียนจิตตเมตต์"
ซึ่งการสมัครเข้าเรียนที่นี่ ก็ถูกใจแม่สุดๆ ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อใบสมัคร ไม่ต้องบริจาค ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจาก
"เข้าคอร์สอบรม" ไม่ใช่ลูกนะจ๊ะ พ่อแม่จ้ะ ต้องเข้า 2 คอร์ส (คอร์สละประมาณ 3 ชม.) เพื่ออะไร ????? เพื่อให้พ่อแม่เข้าใจถึง "แก่น" ของโรงเรียน เหมือนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สิ่งที่ รร. จะให้กับเด็กๆ มันใช่สิ่งเดียวกับที่พ่อแม่ต้องการรึเปล่า และถ้าใช่ พ่อแม่ก็ควรเข้าใจและเดินไปในทิศทางที่ตรงกัน
จำได้เลยจากการเข้าคอร์ส ประโยคที่จำแม่นฝังในหัวมาจนทุกวันนี้คือ
"ขอให้คุณพ่อคุณแม่ มีเมตตากับลูกๆให้มาก" มันฟังดู Simple มากๆ นะ แต่ถ้าประโยคนี้แจ้งเตือนขึ้นมาในหัวได้ทุกครั้งที่ลูกเรากลายร่าง สถานการณ์มันจะเบาลงได้มาก ❤
อ่ะ แล้วหลังจากเข้าคอร์สอบรมแล้ว ก็จบกระบวนการ เรามีหน้าที่รอ ... รอว่ามีที่ว่างมั้ย ถ้ามี รร. ก็จะจับสลาก ซึ่งเราโชคดีมากๆ ปีนั้น
ไม่มีที่ว่างจ้ะ แต่อย่างที่บอกว่า เราตั้งใจโฮมสคูลกันอยู่แล้ว ก็แค่กลับมา way เดิม (ลืมบอก เราไปสมัครเข้า อนุบาล 2 นะคะ)
ผ่านไป 8 เดือน รร. ติดต่อมาว่ามีที่ว่าง น้องได้ รร. อื่นรึยัง เราก็บอกไปว่า เราโฮมสคูล คุณครูก็นัดเข้าไปสัมภาษณ์พ่อแม่ ทดสอบพัฒนาการลูกเล็กๆ น้อยๆ และก็เริ่มเข้าเรียนตอนปลายเทอม 1 แบบไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว

อ่ะ จะเริ่มรีวิวโรงเรียนกันละนะคะ (ได้เริ่มซักที)
สำหรับฝั่งปฐมวัย จะมี 3 ระดับชั้น คือ อนุบาล 1-3
อนุบาล 1 = น้องเล็ก
อนุบาล 2 = พี่กลาง
อนุบาล 3 = พี่โต
การแบ่งห้องเรียน จะแบ่งเป็นชื่อบ้าน ทั้งหมด 6 บ้าน คือ
บ้านทำดี บ้านคิดดี บ้านแสนดี บ้านยินดี บ้านใจดี และบ้านอารมณ์ดี
โดยแต่ละบ้าน จะคละอายุกันหมด คือเรียนรวมกัน น้องเล็ก พี่กลาง พี่โต
ซึ่งตอนแรกเราก็งงมากว่า แล้วจะเรียนกันอิท่าไหน แต่อย่างที่บอกว่า นี่คือ โรงเรียนทางเลือก ไม่ใช่แนววิชาการ เพราะฉะนั้น ทุกการเรียนรู้จะผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วงวัยจึงไม่ใช่อุปสรรค และอีกข้อดีของการคละอายุ จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การมีหลายสถานะของตัวเอง เช่น พี่กลาง ก็จะเป็นทั้งพี่ของน้องเล็ก และ น้องของพี่โต ( อันนี้ส่วนตัวชอบมาก เพราะ ลูกสาวเป็นลูกคนเดียว ไม่รู้จักความเป็นพี่ เป็นน้อง )
และการได้คละวัย มีอีกข้อดีคือ เด็กในวัยเดียวกัน พัฒนาการ ความถนัด ความสามารถไม่เท่ากัน เด็กบางคนทำบางอย่างไม่ได้ หรือยังทำได้ไม่ดี เมื่อเทียบกับวัยเดียว เด็กอาจรับรู้ว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อน้องเล็กมาเห็น น้องจะชื่นชม โอ้โห พี่เก่งจัง หรือ พี่อาจทำสิ่งนี้ได้ไม่ถนัดเท่าเพื่อน แต่ก็ทำได้ดีพอที่จะแนะนำน้อง มันจะมีความละมุนกลมกล่อมกันไปในแต่ละวัน ซึ่งแม่ชอบมากจริงๆ สำหรับการเรียนคละวัยแบบนี้
ไปโรงเรียนแบบไม่มีการบ้าน
เด็กๆ จิตตเมตต์ จะมี 3 สิ่งที่ต้องหิ้วไปโรงเรียน ก็คือ กระเป๋าเป้ใบเล็ก กระเป๋าผ้าใส่นิทาน และกระติกน้ำ
กระเป๋าเป้ใบเล็ก
ไว้ใส่เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนกลับบ้าน และ นมกล่องสำหรับไว้ไปทานตอนเบรค
กระเป๋าผ้าใส่นิทาน
นิทาน คือ การบ้านของลูกและพ่อแม่ค่ะ เด็กๆ จะเลือกนิทานกลับมาบ้านวันละ 1 เล่ม ให้พ่อแม่อ่านให้ฟังก่อนนอน และจะมีสมุดบันทึกให้พ่อแม่เขียนว่า เล่าเรื่องอะไร ใครเป็นคนเล่า ใครเป็นคนให้กำลังใจ และ มีความเห็นว่ายังไงบ้าง มันคือ การบ้านที่เป็น Quality Time เป็นช่วงเวลาของการเป็น พ่อแม่ที่มีอยู่จริง
วัน Free Day
ทุกวันจันทร์ จะเป็นวัน Free Day ตอนเช้าหลังเคารพธงชาติ คุณครูจะมาเล่านิทานแบบเป็นการแสดงให้เด็กๆ ดู บอกเลยว่า คุณครูจิตตเมตต์ทุกคน เต็มที่กับทุกกิจกรรมมากๆ 100 เต็ม 10 กับทุกสิ่ง ไม่มีคำว่า ก็แค่ทำให้เด็กดู แต่ทำสุดทุกครั้ง
หลังจากนิทานจบ เด็กๆ ก็จะไปเตรียมตัว ฟังคุณครูเล่าถึงฐานต่างๆ เช่น ฐานศิลปะ ฐานเล่นทราย ฐานปั่นจักรยาน ฐานหัตถกรรม ฐานเล่านิทาน ฐานกินของว่าง ฯลฯ แล้วคุณครูก็จะให้เด็กๆ วางแผนว่า อยากไปฐานไหน เลือกได้ตามใจเลย จะไปหมดทุกฐาน หรือ แค่บางฐาน ให้เด็กๆ คิดและวางแผนเอง จากนั้นเด็กๆ ก็ลุยเลยจ้ะ ไปตามที่ตัวเองวางแผนไว้ ไปได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ และ ปรับเปลี่ยนในสัปดาห์ต่อๆ ไป (เค้าจะไปวางแผนใหม่เอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ว่าทำครบ ไม่ครบ เพราะอะไร ควรปรับยังไง)



ไม่มีกิจกรรมวันพ่อ วันแม่
ที่โรงเรียน จะมีกิจกรรมนึงที่ชื่อ "วันครอบครัวที่แสนวิเศษ" ที่จะให้เด็กๆ เปลี่ยนสถานตัวเองจากการเป็นผู้รับ เป็นผู้ให้ โดยในวันนั้น เด็กๆ จะเลือกใครก็ได้ในครอบครัวมา 1 คน จะเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ใครก็ได้ ที่เด็กๆ อยากให้มาเป็นคนพิเศษในวันนั้น ซึ่งแม่ได้รับเลือกเป็นคนพิเศษคนแรกที่ลูกเชิญไปแสนวิเศษด้วยกัน
วันนั้นแม่ (หรือครอบครัวที่แสนวิเศษที่ได้ไป) ก็จะไปทำกิจกรรมกับลูกที่ รร. เริ่มจากไปห้องศิลปะ จะวาดรูป ระบายสี ประดิษฐ์ของ อะไรก็ได้ที่อยากทำด้วยกัน งานนี้ลูกสาว ก็ทำหน้าที่แนะนำอุปกรณ์ต่างๆ ถามแม่ว่าอยากทำอะไร ระบายสีมั้ย นู้นนี้นั่น น่าเอ็นดูมากๆ
พอจบจากห้องศิลปะ ก็ไปต่อที่ห้อง Music & Movement ก็เต้น ก็ร้องเพลงกันสนุกสุดๆ ไปเลย แม่ได้ปล่อยวางทุกอย่าง ย้อนวัยไปเป็นเด็กอีกครั้ง สนุกมากๆ ลูกเองก็สนุกมากเช่นกัน
และกิจกรรมสุดท้าย ถือเป็นไฮไลท์ที่เด็กๆ ฝึกซ้อม เตรียมตัวล่วงหน้ากันมาร่วมอาทิตย์ คือ ฐานปรนนิบัติ (อันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ อยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ได้ไปเจอประสบการณ์น่าประทับใจนี้เองแบบไม่สปอยล์) แต่บอกเลยว่า เป็นกิจกรรมที่น่ารักมากๆ และ เด็กๆ เค้าทำได้แบบน่าประทับใจมากจริงๆ ค่ะ

ฝึกเป็นผู้ให้ ด้วยกิจกรรมการกุศล
ตลาดนัดส่งความสุข เป็นกิจกรรมการกุศลที่คุณครูจะชวนให้เด็กๆ ย้อนนึกถึงความสุขในช่วงกิจกรรมปีใหม่ที่พ่อแม่ คุณครู และเด็กๆ ได้ทำร่วมกัน แต่ในช่วงเวลาแห่งความสุขของเรา ก็มีเด็กๆ อีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสแบบนี้
คุณครูก็จะชวนเด็กๆ ช่วยกันคิด ร่วมแรงร่วมใจ เปิดตลาดนัดส่งความสุข ขายสินค้าจากงานฝีมือของเด็กๆ ผักที่เด็กๆ ช่วยกันปลูกไว้ก่อนหน้านี้ หรือ กิจกรรมเปิดหมวกต่างๆ ร้องเพลง แสดงดนตรี วาดภาพเหมือน รวมทั้ง บู๊ทอาหารต่างๆ ข้าวใข่เจียว ไขติมเขย่า ขนมปังอบกรอบ
พอตลาดนัดเปิด พ่อๆ แม่ๆ ก็ช้อปกันสุดเหวี่ยงไปเลยจ้ะ สินค้าต่างๆ มีตั้งแต่ราคา 10 บาท ไปจนถึง 100 บาท หรือ แล้วจิตศรัทธา เด็กๆ ก็ได้สวมบทบาทเป็นพ่อค้าแม่ค้าตัวน้อย จบงานก็ได้เงินบริจาคให้ มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ไปได้หลายบาทเลย


มัวทำกิจกรรม ไม่มีการเรียนการสอนหรอ ?????
คำถามนี้ แม่ได้ยินบ่อยมาก ทั้งจากคนรอบข้าง และ คนไกลตัว
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า "แก่น" ของโรงเรียนทางเลือก คือ การเรียนรู้ผ่านการเล่น เน้นไปที่ EF ซึ่งเป็นสิ่งที่มีช่วงเวลาทองของมันเอง ก็คือ วัยอนุบาล ส่วนตัวแม่เชื่อว่า ความวิชาการต่างๆ ไม่มีคำว่าสายไปที่จะเรียนรู้ แต่ EF มันมีคำว่าสายเกินไป ดังนั้น เป้าหมายของบ้านเรา จึงไม่ใช่ การท่อง ก.ไก่ A-Z หรือ การบวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน สแควร์รูทใดๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า รร. จะเล่นไปเรื่อย ไม่การเรียนรู้สอดแทรกใดๆ นะ การอ่าน การเขียน เด็กจะซึมซับไปด้วยตัวเองจากการใช้ชีวิตใน รร. เช่น รู้ว่าชื่อที่หน้าล๊อคเกอร์นี้คือชื่อใคร เห็นชื่อ "มานี" ก็รู้ว่า นี่คือล๊อคเกอร์ "มานี" นั่งรถเห็นป้ายข้างทาง เจอคำเหมือนชื่อเพื่อน ก็ชี้บอกว่า นี่ๆ ชื่อ มานี
อ่านนิทานให้ฟัง อยู่ๆ ก็ชื้ถามว่า คำนี้ อ่านว่า อะไร พอเราบอกไป "กระต่าย" หลังจากนั้น เจอคำว่า กระต่าย ก็อ่านได้ว่า กระต่าย โดยที่แม่ไม่ต้องมา กอ รอ อะ กระ ตอ อา ไม้เอก ยอ ต่าย กระ-ต่าย
วันดีคืนดี เดินถือกระดาษ ดินสอ มาบอกแม่ว่า อยากเขียนคำว่า รักแม่ยุ้ย แม่เขียนให้ดูหน่อย แม่ก็เขียนใส่กระดาษไปให้ แล้วเค้าก็ไปนั่งเขียนตามเอาเอง ซักพัก คำว่า รักแม่ยุ้ย ลายมือน่ารักๆ ก็มาอยู่ที่โต๊ะทำงานแม่
หรือคณิตศาสตร์ ที่ลูกสามารถหยิบของตามจำนวนที่บอกได้ หรือ ถ้าหยิบมาเกิน ก็สามารถเอาออก จนได้จำนวนที่แม่ต้องการ

สิ่งที่แม่อยากบอก ถ้าจะให้ลูกมาทางนี้
สิ่งเดียวเลย ก็คือ หนักแน่น และ ไม่เปรียบเทียบลูกเรากับใครทั้งนั้น ไม่มีใครชอบถูกเอาไปเปรียบเทียบหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเด็กใน รร เดียวกัน หรือ ที่อื่น ยิ่งถ้าลูกเราอยู่ในสายทางเลือก ยิ่งในวัยนี้ ไม่ต้องไปฟังป้าข้างบ้านเยอะค่ะ หลานเขียนหนังสือเก่งแล้ว ท่อง A-Z ในน้ำได้แล้ว หรือ บวก ลบ คูณ หารได้ไวใน 3 วิ ( โตมาก็ใช้เครื่องคิดเลขกันทั้งนั้น ในมือถือมีทุกเครื่องลูก แม่สะดวกแบบนี้จริงๆ 555 ) ทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ปรึกษากันไปในครอบครัว ลูกชอบแบบไหน อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนแล้วมีความสุข
เชื่อมั่นในตัวลูกเราเยอะๆ ค่ะ ไม่ต้องคิดแทน ไม่ต้องกังวลล่วงหน้า ว่าโตไปเค้าจะเรียนไม่ทัน สอบเข้าที่นั่นที่นี่ไม่ได้ หรือ เข้าได้ ก็เรียนไม่เก่งเท่าเพื่อน เอาวันนี้ก่อนค่ะ วันนี้ลูกเรามีความสุขแล้วรึยัง ความคาดหวังของเรา ไม่ควรสร้างความทุกข์ให้ใคร เราตื่นมาทุกวัน ก็เดินเข้าหาความตายใกล้ขึ้นทุกวัน อย่าเป็นเดอะแบก ที่แบกทุกอย่างไว้ เพียงเพราะคำว่า
"ที่แม่ทำไป ก็เพื่ออนาคตที่ดีของลูก" คิดได้ค่ะ แต่แค่พอดีๆ มองลูก แล้วดูว่า วันนี้เค้าต้องการอะไร เด็กวัยอนุบาล พ่อแม่คือโลกทั้งใบ มาสร้างความทรงจำวัยเด็ก ที่มีพ่อแม่เป็นแบตเตอรี่หัวใจ คอยชาร์จกำลังแรงใจให้ลูก ในวัยที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในอนาคตกันดีกว่านะคะ ไม่ว่าจะ รร.ทางเลือกหรือสายวิชาการ ล้วนเป็นความหวังดีของพ่อแม่ทั้งนั้น ไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่คำว่า แบบนี้ลูกเรามีความสุข 😊🥰 ขอเป็นกำลังแรงใจให้พ่อแม่ทุกคนในการเลี้ยงลูกนะคะ
รีวิวโรงเรียนทางเลือก โรงเรียนจิตตเมตต์ ปฐมวัย
จุดประสงค์ในการเขียนกระทู้นี้ คือ อยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้รับจากโรงเรียนนี้ทั้งในมุมของพ่อแม่และเด็กๆ ไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ หรือ แนวคิดทางการศึกษากับที่อื่นๆ นะคะ ขอความกรุณา รับชมด้วยความบันเทิงเพลินๆ กันไปนะคะ ^^
จริงๆ ต้องบอกก่อนว่า บ้านเราตั้งใจให้ลูกไปสายโฮมสคูลl (พ่อทำงานประจำ , แม่ทำงานที่บ้าน) เลยกะว่าช่วงอนุบาลจะลอง Home School กัน แต่พอลูกสาวครบ 1 ขวบ โควิดก็เข้าไทยพอดี ทำให้การใช้ชีวิตโฮมสคูล ได้โฮมสมชื่อจริงๆ ผิดแผนจากที่แม่วางไว้ว่าเราจะลุยกันนอกบ้าน และมีหลายอย่างจากการสังเกตลูก ที่แม่รู้สึกว่า บางทีการไป รร. อาจจะดีกว่า และ รร. แนวที่แม่ต้องการ ก็คือ โรงเรียนทางเลือก ซึ่งที่เดียวในใจที่แม่เลือก ก็คือ "โรงเรียนจิตตเมตต์"
ซึ่งการสมัครเข้าเรียนที่นี่ ก็ถูกใจแม่สุดๆ ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อใบสมัคร ไม่ต้องบริจาค ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจาก "เข้าคอร์สอบรม" ไม่ใช่ลูกนะจ๊ะ พ่อแม่จ้ะ ต้องเข้า 2 คอร์ส (คอร์สละประมาณ 3 ชม.) เพื่ออะไร ????? เพื่อให้พ่อแม่เข้าใจถึง "แก่น" ของโรงเรียน เหมือนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สิ่งที่ รร. จะให้กับเด็กๆ มันใช่สิ่งเดียวกับที่พ่อแม่ต้องการรึเปล่า และถ้าใช่ พ่อแม่ก็ควรเข้าใจและเดินไปในทิศทางที่ตรงกัน
จำได้เลยจากการเข้าคอร์ส ประโยคที่จำแม่นฝังในหัวมาจนทุกวันนี้คือ "ขอให้คุณพ่อคุณแม่ มีเมตตากับลูกๆให้มาก" มันฟังดู Simple มากๆ นะ แต่ถ้าประโยคนี้แจ้งเตือนขึ้นมาในหัวได้ทุกครั้งที่ลูกเรากลายร่าง สถานการณ์มันจะเบาลงได้มาก ❤
อ่ะ แล้วหลังจากเข้าคอร์สอบรมแล้ว ก็จบกระบวนการ เรามีหน้าที่รอ ... รอว่ามีที่ว่างมั้ย ถ้ามี รร. ก็จะจับสลาก ซึ่งเราโชคดีมากๆ ปีนั้น ไม่มีที่ว่างจ้ะ แต่อย่างที่บอกว่า เราตั้งใจโฮมสคูลกันอยู่แล้ว ก็แค่กลับมา way เดิม (ลืมบอก เราไปสมัครเข้า อนุบาล 2 นะคะ)
ผ่านไป 8 เดือน รร. ติดต่อมาว่ามีที่ว่าง น้องได้ รร. อื่นรึยัง เราก็บอกไปว่า เราโฮมสคูล คุณครูก็นัดเข้าไปสัมภาษณ์พ่อแม่ ทดสอบพัฒนาการลูกเล็กๆ น้อยๆ และก็เริ่มเข้าเรียนตอนปลายเทอม 1 แบบไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว
อ่ะ จะเริ่มรีวิวโรงเรียนกันละนะคะ (ได้เริ่มซักที)
สำหรับฝั่งปฐมวัย จะมี 3 ระดับชั้น คือ อนุบาล 1-3
อนุบาล 1 = น้องเล็ก
อนุบาล 2 = พี่กลาง
อนุบาล 3 = พี่โต
การแบ่งห้องเรียน จะแบ่งเป็นชื่อบ้าน ทั้งหมด 6 บ้าน คือ
บ้านทำดี บ้านคิดดี บ้านแสนดี บ้านยินดี บ้านใจดี และบ้านอารมณ์ดี
โดยแต่ละบ้าน จะคละอายุกันหมด คือเรียนรวมกัน น้องเล็ก พี่กลาง พี่โต
ซึ่งตอนแรกเราก็งงมากว่า แล้วจะเรียนกันอิท่าไหน แต่อย่างที่บอกว่า นี่คือ โรงเรียนทางเลือก ไม่ใช่แนววิชาการ เพราะฉะนั้น ทุกการเรียนรู้จะผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วงวัยจึงไม่ใช่อุปสรรค และอีกข้อดีของการคละอายุ จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การมีหลายสถานะของตัวเอง เช่น พี่กลาง ก็จะเป็นทั้งพี่ของน้องเล็ก และ น้องของพี่โต ( อันนี้ส่วนตัวชอบมาก เพราะ ลูกสาวเป็นลูกคนเดียว ไม่รู้จักความเป็นพี่ เป็นน้อง )
และการได้คละวัย มีอีกข้อดีคือ เด็กในวัยเดียวกัน พัฒนาการ ความถนัด ความสามารถไม่เท่ากัน เด็กบางคนทำบางอย่างไม่ได้ หรือยังทำได้ไม่ดี เมื่อเทียบกับวัยเดียว เด็กอาจรับรู้ว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อน้องเล็กมาเห็น น้องจะชื่นชม โอ้โห พี่เก่งจัง หรือ พี่อาจทำสิ่งนี้ได้ไม่ถนัดเท่าเพื่อน แต่ก็ทำได้ดีพอที่จะแนะนำน้อง มันจะมีความละมุนกลมกล่อมกันไปในแต่ละวัน ซึ่งแม่ชอบมากจริงๆ สำหรับการเรียนคละวัยแบบนี้
ไปโรงเรียนแบบไม่มีการบ้าน
เด็กๆ จิตตเมตต์ จะมี 3 สิ่งที่ต้องหิ้วไปโรงเรียน ก็คือ กระเป๋าเป้ใบเล็ก กระเป๋าผ้าใส่นิทาน และกระติกน้ำ
กระเป๋าเป้ใบเล็ก
ไว้ใส่เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนกลับบ้าน และ นมกล่องสำหรับไว้ไปทานตอนเบรค
กระเป๋าผ้าใส่นิทาน
นิทาน คือ การบ้านของลูกและพ่อแม่ค่ะ เด็กๆ จะเลือกนิทานกลับมาบ้านวันละ 1 เล่ม ให้พ่อแม่อ่านให้ฟังก่อนนอน และจะมีสมุดบันทึกให้พ่อแม่เขียนว่า เล่าเรื่องอะไร ใครเป็นคนเล่า ใครเป็นคนให้กำลังใจ และ มีความเห็นว่ายังไงบ้าง มันคือ การบ้านที่เป็น Quality Time เป็นช่วงเวลาของการเป็น พ่อแม่ที่มีอยู่จริง
วัน Free Day
ทุกวันจันทร์ จะเป็นวัน Free Day ตอนเช้าหลังเคารพธงชาติ คุณครูจะมาเล่านิทานแบบเป็นการแสดงให้เด็กๆ ดู บอกเลยว่า คุณครูจิตตเมตต์ทุกคน เต็มที่กับทุกกิจกรรมมากๆ 100 เต็ม 10 กับทุกสิ่ง ไม่มีคำว่า ก็แค่ทำให้เด็กดู แต่ทำสุดทุกครั้ง
หลังจากนิทานจบ เด็กๆ ก็จะไปเตรียมตัว ฟังคุณครูเล่าถึงฐานต่างๆ เช่น ฐานศิลปะ ฐานเล่นทราย ฐานปั่นจักรยาน ฐานหัตถกรรม ฐานเล่านิทาน ฐานกินของว่าง ฯลฯ แล้วคุณครูก็จะให้เด็กๆ วางแผนว่า อยากไปฐานไหน เลือกได้ตามใจเลย จะไปหมดทุกฐาน หรือ แค่บางฐาน ให้เด็กๆ คิดและวางแผนเอง จากนั้นเด็กๆ ก็ลุยเลยจ้ะ ไปตามที่ตัวเองวางแผนไว้ ไปได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ และ ปรับเปลี่ยนในสัปดาห์ต่อๆ ไป (เค้าจะไปวางแผนใหม่เอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ว่าทำครบ ไม่ครบ เพราะอะไร ควรปรับยังไง)
ไม่มีกิจกรรมวันพ่อ วันแม่
ที่โรงเรียน จะมีกิจกรรมนึงที่ชื่อ "วันครอบครัวที่แสนวิเศษ" ที่จะให้เด็กๆ เปลี่ยนสถานตัวเองจากการเป็นผู้รับ เป็นผู้ให้ โดยในวันนั้น เด็กๆ จะเลือกใครก็ได้ในครอบครัวมา 1 คน จะเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ใครก็ได้ ที่เด็กๆ อยากให้มาเป็นคนพิเศษในวันนั้น ซึ่งแม่ได้รับเลือกเป็นคนพิเศษคนแรกที่ลูกเชิญไปแสนวิเศษด้วยกัน
วันนั้นแม่ (หรือครอบครัวที่แสนวิเศษที่ได้ไป) ก็จะไปทำกิจกรรมกับลูกที่ รร. เริ่มจากไปห้องศิลปะ จะวาดรูป ระบายสี ประดิษฐ์ของ อะไรก็ได้ที่อยากทำด้วยกัน งานนี้ลูกสาว ก็ทำหน้าที่แนะนำอุปกรณ์ต่างๆ ถามแม่ว่าอยากทำอะไร ระบายสีมั้ย นู้นนี้นั่น น่าเอ็นดูมากๆ
พอจบจากห้องศิลปะ ก็ไปต่อที่ห้อง Music & Movement ก็เต้น ก็ร้องเพลงกันสนุกสุดๆ ไปเลย แม่ได้ปล่อยวางทุกอย่าง ย้อนวัยไปเป็นเด็กอีกครั้ง สนุกมากๆ ลูกเองก็สนุกมากเช่นกัน
และกิจกรรมสุดท้าย ถือเป็นไฮไลท์ที่เด็กๆ ฝึกซ้อม เตรียมตัวล่วงหน้ากันมาร่วมอาทิตย์ คือ ฐานปรนนิบัติ (อันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ อยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ได้ไปเจอประสบการณ์น่าประทับใจนี้เองแบบไม่สปอยล์) แต่บอกเลยว่า เป็นกิจกรรมที่น่ารักมากๆ และ เด็กๆ เค้าทำได้แบบน่าประทับใจมากจริงๆ ค่ะ
ฝึกเป็นผู้ให้ ด้วยกิจกรรมการกุศล
ตลาดนัดส่งความสุข เป็นกิจกรรมการกุศลที่คุณครูจะชวนให้เด็กๆ ย้อนนึกถึงความสุขในช่วงกิจกรรมปีใหม่ที่พ่อแม่ คุณครู และเด็กๆ ได้ทำร่วมกัน แต่ในช่วงเวลาแห่งความสุขของเรา ก็มีเด็กๆ อีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสแบบนี้
คุณครูก็จะชวนเด็กๆ ช่วยกันคิด ร่วมแรงร่วมใจ เปิดตลาดนัดส่งความสุข ขายสินค้าจากงานฝีมือของเด็กๆ ผักที่เด็กๆ ช่วยกันปลูกไว้ก่อนหน้านี้ หรือ กิจกรรมเปิดหมวกต่างๆ ร้องเพลง แสดงดนตรี วาดภาพเหมือน รวมทั้ง บู๊ทอาหารต่างๆ ข้าวใข่เจียว ไขติมเขย่า ขนมปังอบกรอบ
พอตลาดนัดเปิด พ่อๆ แม่ๆ ก็ช้อปกันสุดเหวี่ยงไปเลยจ้ะ สินค้าต่างๆ มีตั้งแต่ราคา 10 บาท ไปจนถึง 100 บาท หรือ แล้วจิตศรัทธา เด็กๆ ก็ได้สวมบทบาทเป็นพ่อค้าแม่ค้าตัวน้อย จบงานก็ได้เงินบริจาคให้ มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ไปได้หลายบาทเลย
มัวทำกิจกรรม ไม่มีการเรียนการสอนหรอ ?????
คำถามนี้ แม่ได้ยินบ่อยมาก ทั้งจากคนรอบข้าง และ คนไกลตัว
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า "แก่น" ของโรงเรียนทางเลือก คือ การเรียนรู้ผ่านการเล่น เน้นไปที่ EF ซึ่งเป็นสิ่งที่มีช่วงเวลาทองของมันเอง ก็คือ วัยอนุบาล ส่วนตัวแม่เชื่อว่า ความวิชาการต่างๆ ไม่มีคำว่าสายไปที่จะเรียนรู้ แต่ EF มันมีคำว่าสายเกินไป ดังนั้น เป้าหมายของบ้านเรา จึงไม่ใช่ การท่อง ก.ไก่ A-Z หรือ การบวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน สแควร์รูทใดๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า รร. จะเล่นไปเรื่อย ไม่การเรียนรู้สอดแทรกใดๆ นะ การอ่าน การเขียน เด็กจะซึมซับไปด้วยตัวเองจากการใช้ชีวิตใน รร. เช่น รู้ว่าชื่อที่หน้าล๊อคเกอร์นี้คือชื่อใคร เห็นชื่อ "มานี" ก็รู้ว่า นี่คือล๊อคเกอร์ "มานี" นั่งรถเห็นป้ายข้างทาง เจอคำเหมือนชื่อเพื่อน ก็ชี้บอกว่า นี่ๆ ชื่อ มานี
อ่านนิทานให้ฟัง อยู่ๆ ก็ชื้ถามว่า คำนี้ อ่านว่า อะไร พอเราบอกไป "กระต่าย" หลังจากนั้น เจอคำว่า กระต่าย ก็อ่านได้ว่า กระต่าย โดยที่แม่ไม่ต้องมา กอ รอ อะ กระ ตอ อา ไม้เอก ยอ ต่าย กระ-ต่าย
วันดีคืนดี เดินถือกระดาษ ดินสอ มาบอกแม่ว่า อยากเขียนคำว่า รักแม่ยุ้ย แม่เขียนให้ดูหน่อย แม่ก็เขียนใส่กระดาษไปให้ แล้วเค้าก็ไปนั่งเขียนตามเอาเอง ซักพัก คำว่า รักแม่ยุ้ย ลายมือน่ารักๆ ก็มาอยู่ที่โต๊ะทำงานแม่
หรือคณิตศาสตร์ ที่ลูกสามารถหยิบของตามจำนวนที่บอกได้ หรือ ถ้าหยิบมาเกิน ก็สามารถเอาออก จนได้จำนวนที่แม่ต้องการ
สิ่งที่แม่อยากบอก ถ้าจะให้ลูกมาทางนี้
สิ่งเดียวเลย ก็คือ หนักแน่น และ ไม่เปรียบเทียบลูกเรากับใครทั้งนั้น ไม่มีใครชอบถูกเอาไปเปรียบเทียบหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเด็กใน รร เดียวกัน หรือ ที่อื่น ยิ่งถ้าลูกเราอยู่ในสายทางเลือก ยิ่งในวัยนี้ ไม่ต้องไปฟังป้าข้างบ้านเยอะค่ะ หลานเขียนหนังสือเก่งแล้ว ท่อง A-Z ในน้ำได้แล้ว หรือ บวก ลบ คูณ หารได้ไวใน 3 วิ ( โตมาก็ใช้เครื่องคิดเลขกันทั้งนั้น ในมือถือมีทุกเครื่องลูก แม่สะดวกแบบนี้จริงๆ 555 ) ทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ปรึกษากันไปในครอบครัว ลูกชอบแบบไหน อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนแล้วมีความสุข
เชื่อมั่นในตัวลูกเราเยอะๆ ค่ะ ไม่ต้องคิดแทน ไม่ต้องกังวลล่วงหน้า ว่าโตไปเค้าจะเรียนไม่ทัน สอบเข้าที่นั่นที่นี่ไม่ได้ หรือ เข้าได้ ก็เรียนไม่เก่งเท่าเพื่อน เอาวันนี้ก่อนค่ะ วันนี้ลูกเรามีความสุขแล้วรึยัง ความคาดหวังของเรา ไม่ควรสร้างความทุกข์ให้ใคร เราตื่นมาทุกวัน ก็เดินเข้าหาความตายใกล้ขึ้นทุกวัน อย่าเป็นเดอะแบก ที่แบกทุกอย่างไว้ เพียงเพราะคำว่า "ที่แม่ทำไป ก็เพื่ออนาคตที่ดีของลูก" คิดได้ค่ะ แต่แค่พอดีๆ มองลูก แล้วดูว่า วันนี้เค้าต้องการอะไร เด็กวัยอนุบาล พ่อแม่คือโลกทั้งใบ มาสร้างความทรงจำวัยเด็ก ที่มีพ่อแม่เป็นแบตเตอรี่หัวใจ คอยชาร์จกำลังแรงใจให้ลูก ในวัยที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในอนาคตกันดีกว่านะคะ ไม่ว่าจะ รร.ทางเลือกหรือสายวิชาการ ล้วนเป็นความหวังดีของพ่อแม่ทั้งนั้น ไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่คำว่า แบบนี้ลูกเรามีความสุข 😊🥰 ขอเป็นกำลังแรงใจให้พ่อแม่ทุกคนในการเลี้ยงลูกนะคะ