แชร์ประสบการณ์จัดฟันตั้งแต่ ประถม จนถึงอายุ 33 ปี และบทเรียนที่ผมได้เรียนรู้

คนเราทุกคนคงอยากจะย้อนเวลากลับไปได้ใช่ไหมครับ ผมเองก็เช่นกัน ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้คงอยากจะเปลี่ยนการตัดสินใจอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของฟัน แต่ในเมื่อไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ผมจึงได้เรียนรู้จากความผิดพลาด และส่งต่อความรู้นี้ให้กับคนอื่นๆ โดนเฉพาะพ่อแม่หรือผู้ที่กำลังจะจัดฟัน

ย้อนกลับไปสมัยอนุบาล ผมจำความได้ว่าผมเป็นคนไม่ค่อยพูด และไม่ค่อยยิ้ม สาเหตุหลักๆมาจากที่ฟันล่างของผมจะยื่นออกมาผิดปกติ (underbite) เวลายิ้มแล้วไม่รู้ว่าจะต้องใช้กล้ามเนื้อตรงไหน สบฟันตรงไหน มันดูไม่ลงล๊อคไปหมด แล้วทำไมริมฝีปากล่างผมถึงใหญ่กว่าเพื่อนๆ สิ่งนี้ส่งผลต่อความมั่นใจและการพัฒนานิสัยของผมมากเมื่อโตขึ้นมาแล้วคิดย้อนกลับไป

ผมจำได้ว่าหมอฟันสมัยนั้นถอนเขี้ยวที่เป็นฟันน้ำนมของผมออก จำไม่ได้ว่าเพราะอะไร แน่ถ้าเดาก็น่าจะผุ ทำให้ฟันในปากที่เหลือล้มกันไม่เป็นท่า

จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่เพื่อนของพ่อเป็นหมอฟัน พอการพัฒนาของฟันเริ่มไปผิดทางเค้าก็ทัก แล้วแนะนำนว่า แค่ใส่ retainer โดยพยายามเอาลวดดัดให้ฟันบนยื่นออกมาก็น่าจะแก้ปัญหาการสบฟันได้ โดยไม่จำเป็นต้องใส่เหล็กดัด ตอนนั้นผมก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่าต้องใส่ retainer ทุกวัน ผ่านไปไม่กี่เดือน ฟันบนก็ยื่นออกมาครอบฟันล่างได้พอดี

ปัญหาของผมคือ จากฟันล่างที่มันยื่นออกมาอยู่แล้วโดยฟันบนที่ยื่นออกมามันยื่นออกมาจนโครงหน้าดูประหลาด คือปากอูมผิดปกติ ฟันบนยื่นออกมาด้วยรู้สึกว่าหน้าของตัวเองดูแปลกมาก ด้วยความเป็นเด็กยังไม่ค่อยสนใจเรื่องของรูปลักษณ์มากนัก บวกกับตอนนั้นเข้าใจว่าใส่ต่อแค่ 1-2 ปีก็น่าจะพอแล้ว หลังจากเลิกใส่สักพักปรากฏว่าฟันล้มไม่เป็นท่า และไม่รู้ว่าเป็นเพราะ retainer ที่ใส่ด้วยไหมกดฟันกรามของผมให้ขึ้นได้ไม่สุด กลายเป็นคนปากอูม สบฟันหน้า cross bite แล้วฟันก็ล้ม

ทีนี้ที่บ้านก็แนะนำให้ไปจัดฟันกับคุณหมอที่เป็นคนรู้จัก หลังจากนั้นก็ลากยาวเลยครับ ผมจำได้ทุกสัปดาห์หลังเลิกเรียนคุณป้าจะมารับตอนบ่าย ต้องโดดเรียนคาบบ่ายไปหาคุณหมอท่านนี้ ชีวิตก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ ป.4 ขึ้นมัธยม สอบติดมหาลัย .... จนทำงานไปได้อีก 4 ปี -*-

ผมต้องถอนฟันหน้า 4 ซี่ออกเพื่อที่จะดึงฟันที่ยื่นออกไปกลับเข้ามา แต่ประเด็นตอนนั้นก็เหมือนกับว่า ฟันกรามผมมันขึ้นมาไม่สุด แล้วคุณหมอพยายามจะใช้ลวดงัดมันขึ้นมา ผ่านไป 10 ปี มันก็ยังไม่ขึ้น ผมได้แต่สงสัยว่าน่าจะมีเทคนิคอื่นไหมนอกจากใช้ลวดอย่างเดียว เช่นการปักหมุด หรือสกรูเพื่อเพิ่มแรงในการดึง 

นอกจากนี้ ผมมาทราบภายว่าก่อนจัดฟันจริงๆควรมีการถอนฟันคุดก่อน แต่ไม่ทราบว่าวางแผนอย่างไรทำให้เหลือฟันคุดอยู่ซี่นึงด้านขวาบนติดกับฟันกราม อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฟันที่จัดมันไม่สมดุลสักทีเพราะฟันซี่ที่ถอนออกไม่หมดแค่ข้างเดียวคอยดันอยู่ทำให้ระนาบของฟันมันไม่สมดุล

ต่อมาคุณหมอก็บ่นว่าจัดเท่าไรก็ไม่เสร็จซักที ตอนแรกไม่ได้ยิ้มแบบนี้นี่นา จนสุดท้ายซี่ไหนที่สบกันไม่ลง คุณหมอก็เจียปลายฟันออก แล้วบอกว่าเสร็จแล้วนะ ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรก็จ่ายเงินแล้วก็เดินออกมางงๆ แต่รู้สึกว่าฟันที่จัดเสร็จมันไม่ได้เป็นตำแหน่งที่กัดลงเลย 

และแล้วเรื่องแย่ที่สุดในชีวิตผมก็เกิดขึ้น หลังจากจัดฟันเสร็จ มักจะมีเสียงคลิกๆที่กรามตลอดเวลาทานข้าวหรือเวลาพูด ผมเองก็ไม่อยากลับไปหาหมอฟันคนเดิมแล้ว (ลองคิดดูว่าจัดมา 10 กว่าปี ต้องกลับไปอีก) ทำให้กว่าจะพูดแต่ละคำต้องคิดให้มาก เพราะทุกครั้งที่อ้าปากนอกจากกจะปวดกรามแล้วยังอ้าปากไม่ค่อยสะดวก

นอกจากจะปวดฟันที่จัดแล้ว ผมรู้สึกว่าเวลาจะกัดฟันที่จัดเสร็จ เนื่องจากระนาบของฟันมันจัดไม่ลง ผมรู้สักเหมือนหัวผมโดนบิดด้านหนึ่งตลอดเวลา จะต้องเอนตัวเอนคอไปด้านนึงตลอดเพื่อให้มันสบลง ทำให้รู้สึกปวดคอ ปวดหลังมากๆ เวลาเดินน้ำหนักก็จะไปลงเข่าข้างนึงตลอดเพราะหน้าและตัวที่เอน 

แย่ที่สุดคือเรื่องการหายใจ พอจะต้องเอนตัวไปด้านในด้านหนึงเสมอมันส่งผลให้สบักข้างหนึ่งของผมมันจมลึกลงไปกดทับปอด เวลาจะหายใจรู้สึกหายใจไม่อิ่ม เวลานอนก็รู้สึกว่าฟันด้านหน้ามันถูกดึงเข้ามามาเกินไป เวลาใส่ retainer ยิ่งทำให้ลิ้นไปจุกหลังคอ หายใจไม่ออก หลับไม่สนิท  ทรมานมากๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอะไร ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะเกิดมาจากแค่การจัดฟัน แต่เพราะมันหายใจไม่ออกจริงๆตอนนั้นเลยตัดสินใจว่าถ้าลองไม่ใส่รีเทนเนอร์ดู แล้วฟันล่างที่คับที่ฟันบนอยู่แล้วน่าจะดันฟันบนออกมาได้ อย่างน้อยก็จะได้หายใจสบายขึ้นบ้าง แต่ทุกอย่างก็ค่อยๆแย่ลง

ผมทำงานไปสักพัก ตอนนั้นบริษัทส่งไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ชีวิตกับกำลังไปได้สวย แต่ด้วยหลายๆอย่าง ทั้งการพูดที่ทำได้ลำบาก การนอนหลับไม่สนิทเป็นเวลาหลายเดือน แล้วยังต้องเดินทางไปๆมาๆ ผมรู้สึกเหนื่อยมาก จนมีวันหนึ่งที่ผมกำลังพูดกับเพื่อนร่วมงานอยู่แล้วผมหน้ามืด ตอนนั่งทะเลาะกับอินเดียถึงตีสอง ตอนนั้นคือ breakdown สุดๆ ทั้งร่างกายจิตใจ ทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นชีวิตที่ฝันอยู่แท้ๆ สุดท้ายตัดสินใจลาออกจากงาน 

พอลาออก ผมก็ซึมอยู่หลายเดือน จนตั้งสติได้ จึงพยายามแก้ปัญหา ผมมองว่าปัญหาของผมคือเรื่องการหายใจและการนอน จำเป็นที่จะต้องแก้ตรงนี้ก่อน ทำให้ผมไปหาหมอเฉพาะทางด้านระบบทางเดินหายใจมาเกือบ 20 คน ทุกคนบอกว่าผมปกติ อาจจะมีปัญหาว่าพื้นที่ด้านหลังคอแคบ แต่ปริมาตรปอด ความดัน อ๊อกซิเจน ทุกอย่างปกติ

ตอนนั้นผมนอนหลับได้แค่วันละ 4-5 ชั่วโมงติดต่อกันหลายปี โดยส่วนมากคือนอนหอบอยู่บนเตียง แค่หัวถึงหมอนก็รู้สึกอากาศไม่พอแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่าเป็นเพราะฟูกไหม ผมก็ไปร้านขายฟูกทั่วกรุงเทพ จำชื่อฟูกได้แทบทุกรุ่น แทบจะจำได้ว่าแต่ละรุ่นมันทำมาจากอะไรบ้าง ไปลองจนพนักงานไม่อยากต้อนรับแล้ว แต่ก็หารุ่นที่นอนสบายไม่ได้ 

ผมซื้อฟูกราคาเป็นแสน เอารุ่นที่ดีที่สุดที่หาได้ตอนนั้น แต่สุดท้ายคือโทรไปเปลี่ยนบริษัทสองรอบก็ยังไม่ถูกใจอยู่ดี จนพนักงานทนไม่ไหว วันหนึ่งเค้าทักว่า ทำไมน้องไม่นอนตรงๆหล่ะคะ เตียงเค้าทำมาให้น้องนอนตรงๆ นอนขดเป็นกิ้งกือแบบนี้จะสบายได้อย่างไร ทำให้ผมมาคิดได้ว่า ตอนนั้นคือกล้ามเนื้อทุกส่วนมันตึงมากๆจนหายใจไม่ออก ปัญหาคือถ้าผมจะนอนตรงๆ ฟันผมมันสบกันไม่ได้ ผมก็จะพยายามขดตัวไปให้ตรงที่ฟันมันสบกันได้หน่ะแหละ แต่ตอนนั้นคือยังไม่เคยคิดถึงเรื่องฟันเลยแต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณคอและหัวไหล่

ผมตระเวนไปคลินิคกายภาพทั่วกรุงเทพ ทั้งแบ่งเวลาเสาร์อาทิตย์ไปร้านนวดหมอผี ร้านจัดกระดูก ร้านฟังเข็ม shock wave  หมอรีดเส้นอะไรที่ไปมาหมด คือตอนนวดมันก็ดีขึ้น หายใจโล่งขึ้นอยู่ประมาณ 1-2 วันหลังจากนั้นมันก็จะกลับมาเกร็งจุดเดิม ถ้าให้นับการเข้ารับบริการร้านพวกนี้ผมนับได้เกิน 100 รอบ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคลินิคการยภาพบำบัด

ที่แย่ที่สุดคืองานของผมคือพักงานออฟฟิศ เวลานั่งทำงานแล้วมันหายใจไม่ออกเหมือนใส่หน้ากาก N95 ตอนทำงานตลอดเวลามันทรมานมากๆ กับทุกคนที่มองผมว่าเป็นคนแปลกๆ คุณลองคิดดูว่าถ้าคุณนอนได้วันละไม่กี่ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ทานยาแก้แพ้กับสูโดเอฟรีดีนกับเวลาจะทำงานต้องพ่นยาแก้หอบหืดตลอดเวลาจะเป็นอย่างไร

ผมรักงานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากๆ แต่ด้วยสภาพร่างกายในตอนนั้น แค่ผมมานั่งหน้าคอมเกิน ครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกปวดหลังปวดคอจจนไม่สามารถทำงานต่อได้แล้ว สภาพผมในตอนนั้นเหมือนรูปด้านล่างนี้ คือน้ำหนักทุกอย่างกดลงมาที่หลังและคอ


ผมสิ้นหวังมากๆ จนวันหนึ่งได้ยินเพื่อนคุยกันเรื่อง sleep test ผมก็ไปขอคุณหมอทดสอบการนอนหลับ ตอนแรกคุณหมอก็ไม่ยอมเซนต์ให้ เพราะมองว่าอายุยังไม่มาก ไม่ควรมีปัญหาเรื่องนี้ แต่ผมก็ไปหาคุณหมออยู่หลายท่าน จนซื้อเครื่อง cpap จากอเมริกามาใช้เอง แล้วรู้สึกดีขึ้น ปรินท์เอาผลที่เครื่องบันทึกได้ไปคุยกับคุณหมอว่าผมมีอาการจริงๆ แล้วก็พอใช้แล้วดีขึ้น จึงได้ลองทดสอบ แต่คิวที่ได้คือปีถัดไป

รอผ่านมาปีนึงเพื่อรอรับการทดสอบ ผล sleep test ทั้งๆที่ผมไม่ได้กรน แต่ผลออกมาคือผมเป็น severe OSA (อาการหยุดหายใจขณะหลับขั้นรุนแรง) ... ผมเล่าข้ามเรื่องหลังจากนี้ไป แต่จะบอกสั้นๆว่าในเวลา 2 ปี ผมเสียไปกับการวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลหลายสิบรอบ ผ่าจมูกคด ตัดต่อทอมซิล ตัดลิ้นไก่ จี้คลื่น RF ฯลฯ ถ้าถามว่าทรมานขนาดไหนคือ ตอนตื่นจากเตียงนี่คือเจ็บที่สุดตั้งแต่เกิดมาอะครับ ผมต้องรักษาอาการซึมเศร้าไปพร้อมๆกัน (ครั้งแรกที่มาเจอคุณหมอที่ศิริราช คุณหมอถามว่า อยากพบจิตแพทย์ด้วยเลยไหม เพราะปัญหาทางการนอนหลับเกิดจากความเครียดได้เช่นกัน)

แต่หลังจากที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดมา ... ผมแทบไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ชีวิตตอนนั้นคือดิ่งสุดๆแล้ว เพราะตอนนั้นรู้สึกหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก เหมือนเราเสียงานที่เรารัก ความฝัน ความหวังทุกอย่าง จากคนที่เคยคล่องแคร่ว คิดเร็ว ตัดสินใจดี กลายเป็นคนคิดอะไรไม่ออก หงุดหงิดง่าย สมาธิสั้น จากสังคมที่ผมอยู่มีแต่คนเก่งๆ เรารู้สึกว่าเรา connect กันด้วยความคิด แต่พอผมคิดอะไรได้ไม่ทันเพื่อนๆ ผมรู้สึกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นอีกต่อไปแล้ว...

จนผมเห็นโฆษณาของคลินิคที่นึง ซึ่งเป็นของคุณหมอศัลยกรรมชื่อดัง มีรายการทีวีด้วย บอกสามารถรักษาอาการนอนกรนได้ด้วยการผ่าตัด เมื่อผมไปปรึกษา คุณหมอเห็นผลทดสอบแล้วบอกว่า ให้รีบผ่าตัดทันที ค่าผ่าตัดประมาณ 1 ล้านบาท ให้เลือกเอาระหว่างเงินหรือชีวิต เพราะอาการหยุดหายใจขณะหลับขั้นรุนแรงนี้อาจทำให้ถึงตายได้ ตอนนั้นผมกลัวและสับสนมากๆ คุณหมอดูกระวนกระวายในการรักษามากๆจนผมเกือบตัดสินใจผ่าตัดแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่ตัดสินใจผ่าวันนั้นคือผมยังไม่เข้าใจ ด้วยองศากรามและใบหน้าเท่าไรจึงจะมีผลต่อการหายใจ และผมผิดจากความเป็นปกติไปเท่าไร จึงอยากเข้าใจก่อน และคุณหมอคนนั้นปฏิเสธในการวิเคราะห์โครงหน้าให้ก่อนที่จะจ่ายเงินจำนวนมาก ซึ่งผมไม่เห็นด้วย แต่หลังจากนั้นทำให้ผมเห็นความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่าง ฟัน และการหายใจ อาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้ผมเริ่มคิดได้ว่า หรือทั้งหมดนี้มันจะเกี่ยวกับการสบฟัน

ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเล่าสันนิฐานของผม (ขอย้ำว่าผมไม่ใช่หมอนะครับ)

1.  จริงๆแล้วเสียงคลิกๆเวลาที่ผมอ้าปากจริงๆมันเป็นอาการไม่ปรกติของการสบฟัน เรียกว่า The temporomandibular joints disorder หรือหมอฟันทุกคนจะเรียกว่า TMD เป็นเสียงที่เกิดจากการที่กระดูกขากรรไกรของคนเราไม่อยู่ในร่องที่มันควรจะอยู่ เสียงคลิกๆคือเสียงที่กระดูขากรรไกรเสียดสีกับกะโหลก ทำให้เกิดเสียงขึ้น ซึ่งเกิดมาจากการสบฟันไม่ลงร่องตามตำแหน่งของมันนี่แหละ


 

2. งานวิจัยหลายฉบับชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเกร็งของกล้ามเนื้อที่คอ กระดูกสันหลัง และการหายใจมีความสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการ TMD อธิบายง่ายๆคือร่างกายคนเราจะพยายามรักษาสมดุลทุกอย่างให้เป็นเส้นตรง เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งเบี้ยวไป กล้ามเนื้อที่เหลือและสมองต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อประคองให้เกิดสมดุลขึ้น แต่ถ้าความผิดปรตินี้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนเกร็ง

  

3. ผลที่ตามมาในกรณีของผม ที่หมอนวดคนไทยจะเรียกว่าสะบักจมบ้าง เรียกว่าไหล่ทรุดบ้าง เรียกว่าขาไม่เท่ากันบ้าง จริงๆมันคือการ scapulocostal syndrome ที่กล้ามเนื้อส่วนสบักเกร็งมากเกินไป ซึ่งในกรณีของผมสันนิฐานว่ามาจากระนาบของการสบฟัน ที่ต่อให้แก้กล้ามเนื้อให้มันคลายตัว ถ้ายังสบฟันที่เดิม ร่างกายผมก็เอนไปทางเดิม กล้ามเนื้อมันก็กลับมาเกร็งแบบเดิม วนไป
 
(ต่อในคอมเมนต์)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่