เรื่อง : สำนึกที่ถูกสังหาร
โดย : ละเว้
☆☆☆☆☆
เอ็งยังจำวันนั้นได้ดี ปี 1975 เมื่ออายุสิบสามของเอ็งกำลังมาเยือน มันเป็นช่วงของความเปลี่ยนแปลงแห่งวัย จากเด็กชายเข้าสู่วัยรุ่น หากแต่ว่าสำหรับเอ็งแล้วมันมากกว่านั้น เพราะเอ็ง ไม่เคยได้รู้จักคำว่าวัยรุ่นเลยด้วยซ้ำ
เอ็งพลัดพรากจากครอบครัวท่ามกลางความสับสน ถูกต้อนออกจากพนมเปญ สู่ดินแดนชนบท กับโชคชะตาที่พาข้ามพ้นช่วงวัยสำคัญแห่งชีวิต เอ็งถูกฝึกให้เป็นทหาร และกลายเป็นเพชฌฆาต ใช่ ไม่เยิ่นเย้อไปกว่าพลิกฝ่ามือ ชีวิต ความคิด และจิตสำนึกของเอ็ง ก็เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
อ็องการ์เลอ เอ็งไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาคือใคร หรือรู้ว่าเป็นอะไร เอ็งรู้แต่ว่า นั่นคืออำนาจสูงสุดของสังคมแขมร์ยุคใหม่ก็เพียงพอแล้ว ใครก็ตามที่คิดกบฏต่ออ็องการ์ มันผู้นั้นสมควรตาย และนั่นคือหน้าที่ของเอ็ง ที่ต้องจัดการกับเศษสวะพวกนั้น...
☆☆☆☆☆
เจ้าก็จำวันนั้นได้ดีเช่นกัน เมื่อวัยสามสิบของเจ้าเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน วันที่แผ่นดินเกิดทุกข์เข็ญจากการกระหายอำนาจ เจ้าต้องพลัดพรากจากครอบครัว จากลูก จากผัว โดยไม่รู้ซึ่งชะตากรรม
สังคมใหม่ พวกเขากล่าวอ้างเช่นนั้น สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยประชาชน เพื่อฅนขแมร์ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน หากแต่เจ้ากลับต้องกลายเป็นประชาชนชั้นสอง ในสังคมสวยหรูแห่งความวาดฝันที่พวกเขาพร่ำบอก ทั้งวันและทุกวัน เจ้าต้องทนอยู่กับงานหนัก แทบไม่มีแม้แต่เวลาแสดงความเหนื่อยล้าออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าทุกลมหายใจล้วนต้องการอิสระ แต่เจ้านั้นช่างโง่เง่านัก ที่คิดว่าจะหลุดรอดจากเงาปีกของกาดำได้อย่างง่ายดาย เจ้าทำได้แค่ไขว่คว้าเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
☆☆☆☆☆
ตะวันยังคงสาดแสงกล้า คราบเลือดยังเกรอะกรังกับท่อนไม้ที่เอ็งกำแน่นในมือ เบื้องหน้าคือร่างหญิงโสโครกถูกมัดมือเท้าคลุกฝุ่น
เมื่อเจ้าอ่อนล้าจนเกินทน ก็คงได้เวลาพักผ่อนของชีวิต ตอนนี้เจ้าไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด และหากเป็นไปได้ เจ้าคงอยากแทรกร่างลงใต้ผืนดินร้อนระอุแร้นแค้นที่ซบกายอยู่นี้มากกว่า เพื่อว่าทุกสิ่งจะได้จบสิ้นโดยไวเสียเท่านั้น
ท่ามกลางกลิ่นอายมรณะรอบกายนั้น เอ็งยังคงทอดสายตาสู่เบื้องหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเอ็งคิดอะไร บางที แม้แต่เอ็งนั้นก็เช่นกัน
ริมฝีปากของเจ้าเม้มสนิท ขดตัวปิดตาสั่นสะท้าน ใช่ เจ้าทำเช่นนั้น ทั้งที่อยากเงยหน้า อยากสบตา อยากปลอบประโลมโอบกอดให้สมกับความคิดถึง หากแต่ยามนี้เจ้าขลาดกลัวเกินกว่าจะกระทำสิ่งใดได้ เปล่าเลย เจ้าไม่ได้ห่วงชีวิตของตัวเองดอก เลือดเนื้อของเจ้าต่างหากที่ยังเด็กนัก เจ้าจึงปิดปาก หลับตา เลือกที่จะไม่รับรู้สิ่งใด เพียงเพื่อได้ปกป้องเท่านั้น
☆☆☆☆☆
“มันเป็นกบฏ ฆ่ามันซะ” เสียงนั้นประกาศก้อง เจ้าสะดุ้งสะท้าน ขบริมฝีปากปิดตาสนิทแน่นขึ้นอีก
“มันเป็นกบฏ ฆ่ามันซะ” เสียงนั้นประกาศซ้ำ หากแต่เอ็งยังคงนิ่ง ดั่งไม่สนใจคำกล่าวอ้างที่มักได้รับในแต่ละครั้งนั่นเลยด้วยซ้ำ
ไอร้อนยังคงระอุรอบกาย อย่างช้า ๆ เอ็งสูดลมหายใจลึกเข้าปอดก่อนกระชับท่อนไม้ในมือ
สำนึกสุดท้ายของเอ็ง มันถูกสังหารไปนานแล้ว.
สำนึกที่ถูกสังหาร
โดย : ละเว้
☆☆☆☆☆
เอ็งยังจำวันนั้นได้ดี ปี 1975 เมื่ออายุสิบสามของเอ็งกำลังมาเยือน มันเป็นช่วงของความเปลี่ยนแปลงแห่งวัย จากเด็กชายเข้าสู่วัยรุ่น หากแต่ว่าสำหรับเอ็งแล้วมันมากกว่านั้น เพราะเอ็ง ไม่เคยได้รู้จักคำว่าวัยรุ่นเลยด้วยซ้ำ
เอ็งพลัดพรากจากครอบครัวท่ามกลางความสับสน ถูกต้อนออกจากพนมเปญ สู่ดินแดนชนบท กับโชคชะตาที่พาข้ามพ้นช่วงวัยสำคัญแห่งชีวิต เอ็งถูกฝึกให้เป็นทหาร และกลายเป็นเพชฌฆาต ใช่ ไม่เยิ่นเย้อไปกว่าพลิกฝ่ามือ ชีวิต ความคิด และจิตสำนึกของเอ็ง ก็เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
อ็องการ์เลอ เอ็งไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาคือใคร หรือรู้ว่าเป็นอะไร เอ็งรู้แต่ว่า นั่นคืออำนาจสูงสุดของสังคมแขมร์ยุคใหม่ก็เพียงพอแล้ว ใครก็ตามที่คิดกบฏต่ออ็องการ์ มันผู้นั้นสมควรตาย และนั่นคือหน้าที่ของเอ็ง ที่ต้องจัดการกับเศษสวะพวกนั้น...
☆☆☆☆☆
เจ้าก็จำวันนั้นได้ดีเช่นกัน เมื่อวัยสามสิบของเจ้าเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน วันที่แผ่นดินเกิดทุกข์เข็ญจากการกระหายอำนาจ เจ้าต้องพลัดพรากจากครอบครัว จากลูก จากผัว โดยไม่รู้ซึ่งชะตากรรม
สังคมใหม่ พวกเขากล่าวอ้างเช่นนั้น สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยประชาชน เพื่อฅนขแมร์ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน หากแต่เจ้ากลับต้องกลายเป็นประชาชนชั้นสอง ในสังคมสวยหรูแห่งความวาดฝันที่พวกเขาพร่ำบอก ทั้งวันและทุกวัน เจ้าต้องทนอยู่กับงานหนัก แทบไม่มีแม้แต่เวลาแสดงความเหนื่อยล้าออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าทุกลมหายใจล้วนต้องการอิสระ แต่เจ้านั้นช่างโง่เง่านัก ที่คิดว่าจะหลุดรอดจากเงาปีกของกาดำได้อย่างง่ายดาย เจ้าทำได้แค่ไขว่คว้าเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
☆☆☆☆☆
ตะวันยังคงสาดแสงกล้า คราบเลือดยังเกรอะกรังกับท่อนไม้ที่เอ็งกำแน่นในมือ เบื้องหน้าคือร่างหญิงโสโครกถูกมัดมือเท้าคลุกฝุ่น
เมื่อเจ้าอ่อนล้าจนเกินทน ก็คงได้เวลาพักผ่อนของชีวิต ตอนนี้เจ้าไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด และหากเป็นไปได้ เจ้าคงอยากแทรกร่างลงใต้ผืนดินร้อนระอุแร้นแค้นที่ซบกายอยู่นี้มากกว่า เพื่อว่าทุกสิ่งจะได้จบสิ้นโดยไวเสียเท่านั้น
ท่ามกลางกลิ่นอายมรณะรอบกายนั้น เอ็งยังคงทอดสายตาสู่เบื้องหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเอ็งคิดอะไร บางที แม้แต่เอ็งนั้นก็เช่นกัน
ริมฝีปากของเจ้าเม้มสนิท ขดตัวปิดตาสั่นสะท้าน ใช่ เจ้าทำเช่นนั้น ทั้งที่อยากเงยหน้า อยากสบตา อยากปลอบประโลมโอบกอดให้สมกับความคิดถึง หากแต่ยามนี้เจ้าขลาดกลัวเกินกว่าจะกระทำสิ่งใดได้ เปล่าเลย เจ้าไม่ได้ห่วงชีวิตของตัวเองดอก เลือดเนื้อของเจ้าต่างหากที่ยังเด็กนัก เจ้าจึงปิดปาก หลับตา เลือกที่จะไม่รับรู้สิ่งใด เพียงเพื่อได้ปกป้องเท่านั้น
☆☆☆☆☆
“มันเป็นกบฏ ฆ่ามันซะ” เสียงนั้นประกาศก้อง เจ้าสะดุ้งสะท้าน ขบริมฝีปากปิดตาสนิทแน่นขึ้นอีก
“มันเป็นกบฏ ฆ่ามันซะ” เสียงนั้นประกาศซ้ำ หากแต่เอ็งยังคงนิ่ง ดั่งไม่สนใจคำกล่าวอ้างที่มักได้รับในแต่ละครั้งนั่นเลยด้วยซ้ำ
ไอร้อนยังคงระอุรอบกาย อย่างช้า ๆ เอ็งสูดลมหายใจลึกเข้าปอดก่อนกระชับท่อนไม้ในมือ
สำนึกสุดท้ายของเอ็ง มันถูกสังหารไปนานแล้ว.