สวัสดีค่ะชาวพันทิป นี่เป็นกระทู้เเรกของเรา จริงๆอยู่ในนี้มานานแล้ว อ่านมาหลายกระทู้
วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ความรู้สึกของตัวเองบ้างค่ะ ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม
เราเองอายุ 30+ ค่ะ แต่งงานเเล้ว แต่ไม่มีลูกค่ะ เพราะตกลงกันว่าจะไม่มีลูก ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน และปัญหาสังคมที่มากมาย
เลยตัดสินใจจะใช้ชีวิตกันไปสองคนแบบนี้ค่ะ ชีวิตก็มีความสุขตามประสาค่ะ ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้ มีเก็บบ้าง เราทั้งคู่ก็รักกันดีค่ะ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากมาย ทะเลาะกันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น จนวันนึงเราได้มีโอกาสเจออาจารย์สมัยมัธยมค่ะ แกพาคุณแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาล พอดีเราก็ไปหาหมอเพราะไม่สบาย เลยบังเอิญเจอกัน เเล้วเราก็มีโอกาสได้คุยกัน ถามไถ่สารทุกข์ตามประสา หลังจากที่ไม่เคยเจอกันมานานมากๆ
ขอย้อนไปเมื่อสมัยมัธยม ตอน ม.4 นะคะ ตอนนั้นเราแอบชอบอาจารย์ท่านนี้มาก แต่ก็ได้แค่ชอบเพราะเราอยู่ในฐานะลูกศิษย์กับครู อาจารย์แกดีกับเรามาก และเราก็ค่อนข้างสนิทกันมาก บางครั้งคอมพิวเตอร์ที่บ้านเรามีปัญหา เราไปปรึกษาแก แกก็จะมาซ่อมให้ที่บ้าน (แกไม่ได้สอนคอมพิวเตอร์นะ แต่เก่งคอมมากค่ะ) บางครั้งก็ไปซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนให้ จนพ่อแม่เราก็รู้จักแกไปด้วยค่ะ บางครั้งแม่ก็เรียกแกอยู่กินข้าวด้วยกัน ตอนเเรกเพื่อนเราก็ไม่มีใครรู้ว่าแกเคยมาบ้านเรา เพราะเราไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟัง แต่มีครั้งนึงแกจะเข้ามาซ่อมคอมให้ที่บ้านตอนหลังเลิกเรียน แกเลยรับเรากลับมาด้วย เพื่อนเราก็แซวกันใหญ่ ว่าเราขึ้นรถอาจารย์กลับบ้าน จากนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงแกเรียกชื่อเล่นเราต่อหน้าเพื่อนๆในห้อง (จากที่เคยเรียกชื่อจริง) หลังจากนั้นแกก็เรียกชื่อเล่นเราตลอด แรกๆ เพื่อนในห้องก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มันมีหลายเหตุการณ์ทำให้เพื่อนๆ เริ่มคิดว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น เช่น มีครั้งนึงเราสอบวิชาพละศึกษา เป็นช่วงคิวเราสอบพอดี แกก็เดินเข้ามา แล้วมานั่งดูอยู่ข้างๆ อาจารย์พละ จนเราสอบเสร็จแกก็เดินไป เพื่อนเราก็แซวว่าอาจารย์มาดูเราหรอ แต่ ครั้งที่พีคคือ ตอนเราทะเลาะกับที่บ้าน พอมาโรงเรียน เรามาร้องไห้เล่าให้เพื่อนฟัง อาจารย์แกเดินผ่านมาพอดี เห็นเราร้องไห้ แกเดินเข้ามาในห้อง เรียกชื่อเล่นเรา แล้วบอกว่า..มานี่..คำเดียว แล้วพาเราไปคุยในห้องทำงานของแก (วันนั้นทำให้เพื่อนๆเราเริ่มแน่ใจไปอีกว่าเราพิเศษ เราเองก็คิดแบบนั้นนะ) จริงๆที่คุยวันนั้นคือแกก็ปรับมุมมองเรากับที่บ้านนั่นแหละ ให้เราใจเย็น ให้เรารู้ว่าที่แม่พูดเพราะเขาห่วง เขาหวังดี แล้วเราก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ (วันนั้นเราก็คุยกันต่อหน้าอาจารย์ในห้องอีก 2 คน ไม่ได้แอบคุย) แต่ตอนนั้นเราก็เริ่มรู้สึกดีจริงๆนะคะ เวลาคุยกับแก บางครั้งเวลาเราซ้อมรำ แกก็มานั่งดูในห้องนาฏศิลป์ แรกๆ ก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าแกมานั่งดูเรา แต่ด้วยสายตา และอะไรหลายๆอย่างเราเลยแน่ใจว่าแกมาดูเราซ้อม
ความสนิทของเราก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แบบครูกับลูกศิษย์ มีคุยเล่น หยอกล้อ ตามประสา แม้เราจะเริ่มแอบชอบแกมากเเล้วก็ตาม จนมาตอน ม.6 แกต้องลาออก เพื่อมาดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียง และเเม่กับป้าก็แก่มาก อาจารย์เป็นลูกคนเดียว จึงลาออกมาดูแลพ่อแม่กับป้า และสานต่อกิจการของครอบครัว เราเสียใจมากเลยค่ะตอนนั้น จริงๆ ตอนนั้นเราแทบอยากจะถามแกเลยนะคะ ว่าแกรู้สึกอะไรกับเราไหม แต่ก็ไม่กล้าพอ กลัวแห้ว เลยเลือกที่จะเงียบไป อันที่จริงก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เคยเกริ่นกับเราแล้วว่าอาจจะลาออก แต่ก็คิดว่าเขาจะรอจนเราเรียนจบ ม .6 ก่อนถึงออก แต่ก็นั่นแหละ เขาก็ต้องทำหน้าที่ลูก อีกอย่างเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน แม้เราจะชอบเขามากก็ตาม ก่อนลาออกแกยังเเนะเเนวเรียนต่อให้เรา ตอนนั้นเราไม่รู้จะเรียนอะไรดี เพราะไม่รู้ว่าชอบอะไร แกเป็นคนแนะนำให้เรียน เราก็เลือกเรียนตามที่แกบอก ไปลองสอบดูก็สอบเข้าได้ เลยเรียนจนจบ และทำงานสายที่เรียนมาค่ะ (อันที่จริงเรื่องเรียนนี้เราต้องขอบคุณแกมากๆค่ะ ที่เเนะนำเรา เราจึงประสบความสำเร็จกับสายงานในทุกวันนี้)
แล้วความรู้สึกดีๆ ก็จบลงตั้งเเต่วันที่แกลาออกไปค่ะ แต่เราก็มีเบอร์โทรนะคะ นานๆทีก็มีโทรไปบ้าง แต่พอรู้ว่าแกยุ่งมาก เราเลยเลิกโทรไปค่ะ ไม่อยากรบกวน พอมาช่วงที่มีเฟสบุ๊คเข้ามา แกก็มีเฟสบุ๊ค แกก็เพิ่มเพื่อนเรามา เราก็ได้ทักทายไปบ้างตามประสาเวลาเห็นโพส แต่ช่วงนั้นเราเรียนมหาลัย เรียนหนักมากก็ไม่ค่อยได้เล่นเฟสเท่าไรนัก แกเองก็ไม่ค่อยได้เล่น ก็เลยห่างๆ กันไปค่ะ จนเรามาทำงาน มีแฟน แต่งงาน ก็ไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกัน จนเวลาผ่านมาเนิ่นนาน และได้บังเอิญเจอกันที่โรงพยาบาลค่ะ พอได้พูดคุยกัน ความรู้สึกดีๆ ก็กลับมาค่ะ แต่เพราะเราก็มีครอบครัวเเล้วก็ต้องเว้นะระยะ ส่วนอาจารย์ยังครองโสดตลอดมา จริงๆเราก็พอรู้มาบ้างว่าแกไม่ได้แต่งงาน เพราะแกต้องดูแลครอบครัวกับกิจการที่บ้านจนไม่มีเวลาหาใคร แม้กระทั่งเวลาดูแลตัวเอง ครั้งเเรกที่เจอคือเราแอบตกใจเล็กน้อย จากที่แกเคยเป็นคนหล่อมากสมัยนั้น ตอนนี้ปล่อยผมขาวโพน แถมดูท่าทางอิดโรยมาก เหมือนไม่ได้พักผ่อน เรายังแอบเป็นห่วงแกเลยค่ะ แต่ก็ทำไรไม่ได้มาก ได้แต่บอกให้แกรักษาสุขภาพ
สุดท้ายเมื่อ 2 เดือนที่แล้วมารู้ว่าแม่แกเสียค่ะ เราเลยมีโอกาสได้ไปบ้านแกในวันงานศพแม่แก และตอนนี้แกอยู่คนเดียวลำพัง เราก็อดที่เป็นห่วงและสงสารแกไม่ได้ค่ะ ยิ่งเราได้มีโอกาสไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านแกมา เรายิ่งเป็นห่วงแกค่ะ บ้านแกหลังใหญ่นะคะ แต่ก็เงียบเหงามาก แกบอกว่านานๆ ที หลานกับลูกพี่ลูกน้องจะมาเยี่ยมบ้าง บางครั้งใจลึกๆ ก็แอบคิดไปว่าเราอยากดูแลแก อยากให้กำลังใจ อยากอยู่เคียงข้างแกนะคะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่พูดให้กำลังใจแกเท่านั้นค่ะ เพราะเราก็ต้องห่วงความรู้สึกของสามีเป็นหลัก เคยแอบคิดนะคะ ว่าถ้าอาจารย์แกรอจนเรา จบ ม.6 ตอนนั้น แล้วเรายังคงสนิทกันแบบนั้น เราอาจจะกล้าถามความรู้สึกไป บางทีความสัมพันธ์ของเราอาจจะพัฒนาไปได้มากกว่าลูกศิษย์กับครูก็ได้ค่ะ และตอนนี้เราก็อาจจะได้อยู่เป็นเพื่อนคู่คิดกับเขาก็ได้ เเต่ก็นั่นแหละค่ะ อดีตมันผ่านมาแล้ว อนาคตก็ต้องดำเนินต่อไป ยอมรับนะคะว่ารู้สึกผิดกับสามีอยู่เหมือนกัน ที่บางทีแอบคิดถึงคนอื่น แต่เราเพียงเเค่นึกถึงด้วยความห่วงใย ไม่มีทางทำอะไรเกินเลยมากเกินไปแน่นอนค่ะ อารมรณ์แบบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้น รักและเคารพแกตลอดไปค่ะ
ใครเคยมีประสบการณ์ ความรัก ในอีกรูปแบบไหมคะ..
วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ความรู้สึกของตัวเองบ้างค่ะ ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม
เราเองอายุ 30+ ค่ะ แต่งงานเเล้ว แต่ไม่มีลูกค่ะ เพราะตกลงกันว่าจะไม่มีลูก ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน และปัญหาสังคมที่มากมาย
เลยตัดสินใจจะใช้ชีวิตกันไปสองคนแบบนี้ค่ะ ชีวิตก็มีความสุขตามประสาค่ะ ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้ มีเก็บบ้าง เราทั้งคู่ก็รักกันดีค่ะ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากมาย ทะเลาะกันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น จนวันนึงเราได้มีโอกาสเจออาจารย์สมัยมัธยมค่ะ แกพาคุณแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาล พอดีเราก็ไปหาหมอเพราะไม่สบาย เลยบังเอิญเจอกัน เเล้วเราก็มีโอกาสได้คุยกัน ถามไถ่สารทุกข์ตามประสา หลังจากที่ไม่เคยเจอกันมานานมากๆ
ขอย้อนไปเมื่อสมัยมัธยม ตอน ม.4 นะคะ ตอนนั้นเราแอบชอบอาจารย์ท่านนี้มาก แต่ก็ได้แค่ชอบเพราะเราอยู่ในฐานะลูกศิษย์กับครู อาจารย์แกดีกับเรามาก และเราก็ค่อนข้างสนิทกันมาก บางครั้งคอมพิวเตอร์ที่บ้านเรามีปัญหา เราไปปรึกษาแก แกก็จะมาซ่อมให้ที่บ้าน (แกไม่ได้สอนคอมพิวเตอร์นะ แต่เก่งคอมมากค่ะ) บางครั้งก็ไปซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนให้ จนพ่อแม่เราก็รู้จักแกไปด้วยค่ะ บางครั้งแม่ก็เรียกแกอยู่กินข้าวด้วยกัน ตอนเเรกเพื่อนเราก็ไม่มีใครรู้ว่าแกเคยมาบ้านเรา เพราะเราไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟัง แต่มีครั้งนึงแกจะเข้ามาซ่อมคอมให้ที่บ้านตอนหลังเลิกเรียน แกเลยรับเรากลับมาด้วย เพื่อนเราก็แซวกันใหญ่ ว่าเราขึ้นรถอาจารย์กลับบ้าน จากนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงแกเรียกชื่อเล่นเราต่อหน้าเพื่อนๆในห้อง (จากที่เคยเรียกชื่อจริง) หลังจากนั้นแกก็เรียกชื่อเล่นเราตลอด แรกๆ เพื่อนในห้องก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มันมีหลายเหตุการณ์ทำให้เพื่อนๆ เริ่มคิดว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น เช่น มีครั้งนึงเราสอบวิชาพละศึกษา เป็นช่วงคิวเราสอบพอดี แกก็เดินเข้ามา แล้วมานั่งดูอยู่ข้างๆ อาจารย์พละ จนเราสอบเสร็จแกก็เดินไป เพื่อนเราก็แซวว่าอาจารย์มาดูเราหรอ แต่ ครั้งที่พีคคือ ตอนเราทะเลาะกับที่บ้าน พอมาโรงเรียน เรามาร้องไห้เล่าให้เพื่อนฟัง อาจารย์แกเดินผ่านมาพอดี เห็นเราร้องไห้ แกเดินเข้ามาในห้อง เรียกชื่อเล่นเรา แล้วบอกว่า..มานี่..คำเดียว แล้วพาเราไปคุยในห้องทำงานของแก (วันนั้นทำให้เพื่อนๆเราเริ่มแน่ใจไปอีกว่าเราพิเศษ เราเองก็คิดแบบนั้นนะ) จริงๆที่คุยวันนั้นคือแกก็ปรับมุมมองเรากับที่บ้านนั่นแหละ ให้เราใจเย็น ให้เรารู้ว่าที่แม่พูดเพราะเขาห่วง เขาหวังดี แล้วเราก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ (วันนั้นเราก็คุยกันต่อหน้าอาจารย์ในห้องอีก 2 คน ไม่ได้แอบคุย) แต่ตอนนั้นเราก็เริ่มรู้สึกดีจริงๆนะคะ เวลาคุยกับแก บางครั้งเวลาเราซ้อมรำ แกก็มานั่งดูในห้องนาฏศิลป์ แรกๆ ก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าแกมานั่งดูเรา แต่ด้วยสายตา และอะไรหลายๆอย่างเราเลยแน่ใจว่าแกมาดูเราซ้อม
ความสนิทของเราก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แบบครูกับลูกศิษย์ มีคุยเล่น หยอกล้อ ตามประสา แม้เราจะเริ่มแอบชอบแกมากเเล้วก็ตาม จนมาตอน ม.6 แกต้องลาออก เพื่อมาดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียง และเเม่กับป้าก็แก่มาก อาจารย์เป็นลูกคนเดียว จึงลาออกมาดูแลพ่อแม่กับป้า และสานต่อกิจการของครอบครัว เราเสียใจมากเลยค่ะตอนนั้น จริงๆ ตอนนั้นเราแทบอยากจะถามแกเลยนะคะ ว่าแกรู้สึกอะไรกับเราไหม แต่ก็ไม่กล้าพอ กลัวแห้ว เลยเลือกที่จะเงียบไป อันที่จริงก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เคยเกริ่นกับเราแล้วว่าอาจจะลาออก แต่ก็คิดว่าเขาจะรอจนเราเรียนจบ ม .6 ก่อนถึงออก แต่ก็นั่นแหละ เขาก็ต้องทำหน้าที่ลูก อีกอย่างเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน แม้เราจะชอบเขามากก็ตาม ก่อนลาออกแกยังเเนะเเนวเรียนต่อให้เรา ตอนนั้นเราไม่รู้จะเรียนอะไรดี เพราะไม่รู้ว่าชอบอะไร แกเป็นคนแนะนำให้เรียน เราก็เลือกเรียนตามที่แกบอก ไปลองสอบดูก็สอบเข้าได้ เลยเรียนจนจบ และทำงานสายที่เรียนมาค่ะ (อันที่จริงเรื่องเรียนนี้เราต้องขอบคุณแกมากๆค่ะ ที่เเนะนำเรา เราจึงประสบความสำเร็จกับสายงานในทุกวันนี้)
แล้วความรู้สึกดีๆ ก็จบลงตั้งเเต่วันที่แกลาออกไปค่ะ แต่เราก็มีเบอร์โทรนะคะ นานๆทีก็มีโทรไปบ้าง แต่พอรู้ว่าแกยุ่งมาก เราเลยเลิกโทรไปค่ะ ไม่อยากรบกวน พอมาช่วงที่มีเฟสบุ๊คเข้ามา แกก็มีเฟสบุ๊ค แกก็เพิ่มเพื่อนเรามา เราก็ได้ทักทายไปบ้างตามประสาเวลาเห็นโพส แต่ช่วงนั้นเราเรียนมหาลัย เรียนหนักมากก็ไม่ค่อยได้เล่นเฟสเท่าไรนัก แกเองก็ไม่ค่อยได้เล่น ก็เลยห่างๆ กันไปค่ะ จนเรามาทำงาน มีแฟน แต่งงาน ก็ไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกัน จนเวลาผ่านมาเนิ่นนาน และได้บังเอิญเจอกันที่โรงพยาบาลค่ะ พอได้พูดคุยกัน ความรู้สึกดีๆ ก็กลับมาค่ะ แต่เพราะเราก็มีครอบครัวเเล้วก็ต้องเว้นะระยะ ส่วนอาจารย์ยังครองโสดตลอดมา จริงๆเราก็พอรู้มาบ้างว่าแกไม่ได้แต่งงาน เพราะแกต้องดูแลครอบครัวกับกิจการที่บ้านจนไม่มีเวลาหาใคร แม้กระทั่งเวลาดูแลตัวเอง ครั้งเเรกที่เจอคือเราแอบตกใจเล็กน้อย จากที่แกเคยเป็นคนหล่อมากสมัยนั้น ตอนนี้ปล่อยผมขาวโพน แถมดูท่าทางอิดโรยมาก เหมือนไม่ได้พักผ่อน เรายังแอบเป็นห่วงแกเลยค่ะ แต่ก็ทำไรไม่ได้มาก ได้แต่บอกให้แกรักษาสุขภาพ
สุดท้ายเมื่อ 2 เดือนที่แล้วมารู้ว่าแม่แกเสียค่ะ เราเลยมีโอกาสได้ไปบ้านแกในวันงานศพแม่แก และตอนนี้แกอยู่คนเดียวลำพัง เราก็อดที่เป็นห่วงและสงสารแกไม่ได้ค่ะ ยิ่งเราได้มีโอกาสไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านแกมา เรายิ่งเป็นห่วงแกค่ะ บ้านแกหลังใหญ่นะคะ แต่ก็เงียบเหงามาก แกบอกว่านานๆ ที หลานกับลูกพี่ลูกน้องจะมาเยี่ยมบ้าง บางครั้งใจลึกๆ ก็แอบคิดไปว่าเราอยากดูแลแก อยากให้กำลังใจ อยากอยู่เคียงข้างแกนะคะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่พูดให้กำลังใจแกเท่านั้นค่ะ เพราะเราก็ต้องห่วงความรู้สึกของสามีเป็นหลัก เคยแอบคิดนะคะ ว่าถ้าอาจารย์แกรอจนเรา จบ ม.6 ตอนนั้น แล้วเรายังคงสนิทกันแบบนั้น เราอาจจะกล้าถามความรู้สึกไป บางทีความสัมพันธ์ของเราอาจจะพัฒนาไปได้มากกว่าลูกศิษย์กับครูก็ได้ค่ะ และตอนนี้เราก็อาจจะได้อยู่เป็นเพื่อนคู่คิดกับเขาก็ได้ เเต่ก็นั่นแหละค่ะ อดีตมันผ่านมาแล้ว อนาคตก็ต้องดำเนินต่อไป ยอมรับนะคะว่ารู้สึกผิดกับสามีอยู่เหมือนกัน ที่บางทีแอบคิดถึงคนอื่น แต่เราเพียงเเค่นึกถึงด้วยความห่วงใย ไม่มีทางทำอะไรเกินเลยมากเกินไปแน่นอนค่ะ อารมรณ์แบบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้น รักและเคารพแกตลอดไปค่ะ