เมื่อผู้ชายสายเปย์ มาพบรักผู้หญิงสายเทค #บริษัทจัดหาคู่

พอดีผมมาพบกับกระทู้พันทิปเก่าแก่อันหนึ่ง แต่เป็นกระทู้ไฟลุกในสมัยนั้น ซึ่งเรื่องราว ผู้เล่าไม่ปะติดปะต่อ อ่านค่อนข้างยาก และเสียเวลาเลื่อนหน้ามาก อีกทั้งส่วนใหญ่ล้อคอินที่มาตอบสมัยนั้นได้เลิกใช้กันไปแล้วพอสมควร รวมถึงจขกท.ผู้เล่าปัจจุบันก็ไม่ได้แอคทีฟแล้ว ซึ่งเนื้อเรื่องข้างในน่าจะเป็นอุทาหรณ์ และประสบการณ์ความรักให้กับทุกยุคทุกสมัย ยังน่าจะไม่ล้าสมัย ผมจึงใช้เวลามาเรียบเรียงใหม่ ให้ชาวพันทิปได้อ่านกันง่ายขึ้นและต่อเนื่อง โดยหากท่านใดอยากไปเจาะต้นฉบับ ผมจะแปะลิ้งไว้ให้เป็นเครดิตกับผู้เล่าในเม้นหลังจากลงเรื่องราวจบนะครับ เป็นเรื่องที่สนุก ตื่นเต้น ชวนลุ้น ชวนติดตาม ดราม่า เวิ่นเว้อ ครบทุกรสชาติแห่งความรัก ความหลง ลองอ่านได้เลยครับ 

-----------------------------------------------------


     สามเดือนก่อน ผมเจอกับผู้หญิงคนนึงผ่านทางบริษัทจัดหาคู่แห่งนึง ชื่อประมาณว่านัดพบฯ ก็แล้วกันนะครับ ทางนัดพบก็แนะนำโปรไฟล์มาให้หลายคน ก็เลือกๆ อยู่สักพักก็ไปตามนัดแต่ก็ไม่เจอคนไหนที่ถูกใจ จนมาถึงคนนี้...

     วันที่นัดเจอ ผมจำได้ดี วันนั้นผมนึกว่าจะไปสายเสียแล้ว เพราะผมไม่เคยไปนัดสายเลย แต่วันนั้นกะเวลาผิด เพราะไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นเลย ผมก็แจ้งน้องไปว่าเดี๋ยวอาจจะไปถึงช้าสักหน่อย ส่วนน้องก็แจ้งว่าจะถึงช้าเหมือนกัน เพราะติดธุระอยู่ ก็โล่งอกไปครับ ก็ปรากฏว่าไปถึงก่อน ก็นั่งรอโดยที่ผมไม่เคยเห็นน้องมาก่อน และน้องก็ไม่เคยเห็นผมมาก่อน โดยปกติแล้วทางนัดพบฯ จะไม่ให้รู้ข้อมูลอะไรไปมากกว่าว่า ชื่อ สูง นน ทำงาน อะไรยังไง มีพื้นเพนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ละเอียดมาก

     ผมนั่งรออยู่ได้ประมาณ 15 นาทีน้องก็มาถึง ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าคนไหน เพราะมีลูกค้าท่านอื่นเดินเข้ามาในร้านอยู่คนสองคน แต่พอน้องเดินเข้ามาก็เดินมาหาโต๊ะผมพร้อมกับนั่งลงแล้วยิ้มโดยไม่ถามเลยว่าใช่ผมที่นัดหรือเปล่า นับเป็นความประทับใจแรกของผมกับน้องเลยครับ

     น้องเป็นคนน่ารัก ดูมั่นใจ แต่งตัวเก่ง ผมชอบการแต่งหน้าของน้องมาก ขนาดเก็บไปพูดถึงในภายหลังว่าชอบการแต่งหน้าตรงไหนบ้าง วันนั้นเราคุยกันอยู่ร่วมชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย ผมไม่ค่อยอยากพูดอะไรดัง เพราะมีพนักงานยืนอยู่ไม่ไกล ผมไม่ค่อยชอบพูดให้คนอื่นได้ยิน หรือให้เค้ารำคาญ หรือรับรู้เรื่องราวส่วนตัวเราเท่าไหร่ ก็เลยพูดได้แค่เรื่องทั่วๆ ไป ไม่เน้นอะไรมาก

     การพูดคุยของเราสองคนเหมือนจะเข้ากันได้ดี ผมก็เล่าเรื่องอะไรต่างๆ ไปหลายอย่าง น้องเองก็เล่าเรื่องอะไรต่างๆ มาแลกเปลี่ยนกัน พูดถึงการนัดที่ผ่านมา ก็ขำไป หัวเราะไป บางทีก็ไม่ค่อยกล้ามองหน้านาน เพราะน้องน่ารักมากในความรู้สึกผม ถึงแม้ผมจะเคยมีแฟนที่หน้าตาดีๆ มาบ้างหลายคนแล้วก็ตาม

     วันนั้น ผมนั่งแท็กซี่ไป แล้วก็ต่อวินไปอีกที เพราะกลัวจะไปไม่ทัน พอไปถึงก็ต้องเดินต่อไปอีกนิดเพราะไม่รู้ร้านอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าซอยอะไร ขากลับก็เลยต้องอาศัยกลับกับน้อง น้องตอนแรกว่าจะไปส่งถึงที่ แต่ผมเกรงใจเลยบอกว่าส่งแค่ BTS ก็พอ ตอนที่อยู่ในรถ น้องเป็นคนสะอาดพอสมควร รถเป็นระเบียบเรียบร้อย น่านั่งมาก ผมก็ยิ้มๆ แล้วก็คุยไปปกติ มีจังหวะนึงที่ผมถามว่า น้องคิดว่ายังไงบ้าง เค้าก็ตอบว่าก็โอเค ก็คุยได้ แล้วถามผมว่า ผมรู้สึกยังไง ผมตอบไปตามตรงว่า ถ้าผมเป็นน้อง ผมจะไม่เลือกผม เพราะผมไม่มีอะไรดี แต่ถ้าให้โอกาส ผมก็จะทำให้เต็มที่

     น้องถามผมว่า ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่ดี ผมตอบไปตามตรงว่า สำหรับน้อง คงมีคนที่เข้ามาคุยด้วยเยอะ ทั้งฐานะดี หน้าตาดี มีความพร้อมกว่าผม แต่ผมเองถึงจะไม่ได้แย่ขั้นหนักหน่วง แต่ก็ไม่ได้เพียบพร้อมอะไรเมื่อเทียบกับคนอื่น

     ขอเกริ่นพื้นหลังน้องกับผมสักนิดนะครับ ถ้าใครรู้จัก หรือคุ้นๆ ก็อย่าได้คิดอะไรมากครับ เอาเป็นเรื่องนี้อาจจะพ้องกับเรื่องราวบุคคลที่ท่านรู้จักก็แล้วกัน น้องเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัทแห่งนึง รายได้ค่อนข้างดี เอาเป็นประมาณแถวๆ สองแสนก็แล้วกันครับ ส่วนผมทำงานอิสระเกี่ยวกับภาษา ถึงแม้ตัวงานจะดูง่าย ไม่มีกฏอะไรมาก ไม่ต้องเข้างานเช้าออกงานเย็น แต่ก็ต้องทำงานวันละ 14+ ชม และไม่มีวันหยุด ส่วนตัวผมรวมรายได้แล้วก็เดือนนึงประมาณ 250k-350k แล้วแต่ความขยัน แต่รายจ่ายผมก็ค่อนข้างเยอะ เพราะต้องส่งที่บ้านด้วย คุณพ่อผมมีหนี้สินจำนวนนึง แต่ก็ไม่ได้ส่งประจำ

พอแยกย้ายจากกัน ผมก็พยายามที่จะไม่ทำนิสัยแย่ๆ ก็คือไม่จุกจิก ไม่วุ่นวาย ไม่ไปตามอะไรมาก ส่งข้อความสั้นๆ ไปบอกแค่ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้ แล้วก็บอกว่า เป็นเดทที่โอเคที่สุดเท่าที่ไปมาแล้ว ถ้าพอคุยได้ก็คุย แต่ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ

     ตอนนั้นผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เพราะทั้งชีวิตของผม ทำงานลำบากมา ผมเชื่อมั่นมากว่าเรามีดี เราเองก็ทำได้ ถึงแม้จะไม่ได้จบมหาลัยเหมือนชาวบ้าน เราก็ใช้ประสบการณ์ และความรักในงานที่ทำ ทำจนมามีทุกวันนี้ได้ไม่ท้อ ไม่หยุด ไม่ยอมแพ้ แต่พอมาเจอน้อง ผมรู้สึกว่าเราไม่มีอะไรเลย อายุห่างกันปีเดียว แต่ผมเช่าคอนโดถูกๆ อยู่ ไม่มีรถ ไม่มีเงินเก็บเป็นก้อน (และไม่มีหนี้สินใดๆ) ส่วนน้อง อายุน้อยกว่าผมปีนึง แต่มีรถเป็นของตัวเอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ส่งเงินพ่อแม่ใช้ (พ่อแม่น้องไม่ได้ทำงานแล้ว และน้องเป็นลูกคนเดียว) น้องเก่งเรื่องหุ้นแบบเก็งกำไรระยะสั้น ทำเงินจากหุ้นได้เยอะ มีเงินในพอร์ตเยอะ เยอะขนาดที่ผมมีไม่ถึง 20% ของน้องเลย

     ช่วงนั้นผมท้อใจมาก ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่า แต่ก่อนเคยบอกว่า อยากเจอผู้หญิงสักคนที่เก่ง ฉลาด ทำงานเป็น สวย หุ่นดี ผิวดี หน้าตาดี ซึ่งใครๆก็บอกว่า มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้ จะหาแบบนั้นจากไหน บ้าเหรอ แต่เปล่าเลยครับ พอวันนึงผมได้เจอจริงๆ ผมรู้เลยว่า มีจริงนะ แต่เราไม่คู่ควรหรอก

ช่วงแรกๆ นั้นผมไม่ค่อยส่งอะไรไปให้น้อง เราคุยกันแค่ในไลน์นิดๆ หน่อยๆ เพราะอันที่จริงผมก็ตัดใจไปแล้ว ได้แต่ไปเล่าให้เพื่อนในกลุ่มไลน์ฟังว่า เนี่ย เจอผู้หญิงคนนึง เป็นผู้หญิงในฝันเลย แต่มันไม่มีทางเป็นจริงได้ เพราะเค้าอยู่ไกลเกินไป

     แต่ก็บังเอิญว่าน้องจะรับปริญญาใบที่สอง ก็เลยถามผม เพราะผมชอบถ่ายรูป ผมก็บอกว่าไปได้ครับ ก็อยากไปอยู่แล้ว อยากทำให้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่คิดว่าอะไรทำให้ได้ก็จะทำ ประมาณ 2-3 วันต่อมา น้องบอกว่าเพื่อนทิ้ง voucher โรงแรม ก็เลยอยากไปแทน ก็ถามผม ผมก็บอกว่าไปได้ครับ ก็แซวๆ ว่ากลัวโดนปล้ำมั้ย ผมก็เฉยๆ นะ ในความรู้สึกเราคือ เราจริงใจ และจริงจัง ไม่ค่อยอะไรอยู่แล้ว ไปก็คงไปแบบเป็นเดทกันเฉยๆ แต่กว่าจะได้ไปกันจริงๆ ก็ยึกยักอยู่นาน จนสุดท้ายผมก็จองโรงแรมให้แล้วก็ไปกัน โดยที่ไม่ได้ใช้ voucher ที่ตอนแรกเป็นต้นเหตุให้อยากไปแต่อย่างใด

     พอจะไปจริงๆ กลายเป็นว่า อย่างที่บอก ผมไม่มีรถ แต่ผมขับได้ แค่ไม่ชินเท่าไหร่ ส่วนน้องก็ขามีปัญหา เจ็บเอ็นเลยขับไม่สะดวก ผมก็อาสาขับให้ น้องก็มารับที่คอนโดผม แต่พอผมจะขับน้องก็ไม่ยอม บอกว่าผมขับไม่เก่ง ดูแค่วงเลี้ยวก็รู้ละ ผมก็ยืนยันว่าจะขับให้เพราะเป็นห่วง แต่น้องพูดเสียงดังขึ้นมา ถ้าไม่ให้ขับก็ลงไปเดี๋ยวนี้ ผมก็เลยลงให้น้องมาขับแทน ก็ขับๆ ไปจนถึงที่หมาย เป็นโรงแรมติดทะเลใกล้ๆ กรุงเทพนี่แหละครับ สองสาม ชม ก็ถึงละ เราก็ไปที่พักกัน แล้วก็ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย แล้วก็ไปกินข้าว ผมลองถ่ายรูปน้องดู ถ่ายยังไงก็ไม่ได้ดั่งใจ ผมคิดว่าแสงคงหมดไปแล้วละ เพราะไปถึงก็มืดแล้ว ก็ไม่รู้จะถ่ายยังไง น้องก็ถามดู แล้วก็บอกว่า เออ พี่ถ่ายไม่ค่อยสวยจริงๆ ผมฟังเงียบๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

     วันนั้นกินข้าวกันเสร็จ ก็กลับมาห้อง คุยกันนิดหน่อย อาบน้ำ ต่างคนต่างนอน ผมเองเป็นคนนอนกรน ก็เลยต้องรอให้น้องหลับก่อน แต่น้องก็หลับไม่ค่อยได้ เพราะผมหลับเร็วมากๆ ประมาณนับ 1 ถึง 10 ผมหลับแล้ว ตื่นเช้ามาน้องก็บ่นๆ แต่ก็ไปถ่ายรูปกัน ถ่ายกันจนถึงเกือบเที่ยงก็เช็คเอาท์แล้วกลับ โดยมีแวะกินข้าวนิดหน่อย น้องชอบรูปมาก เริ่มชมว่าถ่ายสวย ผมก็เฉยๆ ไม่อยากพูดอะไร ก็ชอบก็ดีแล้ว แล้วก็พูดเรื่องไปถ่ายงานรับปริญญากันต่ออีกนิด

     ช่วงนั้นน้องโพสต์รูปที่ผมไปถ่ายให้บ่อยๆ และเราก็คุยกันมากขึ้น ผมเองก็พยายามทำอะไรๆ ให้เหมือนเดิม ไม่ได้ทำเพราะอยากได้คะแนนนะครับ แต่ทำเพราะเรารู้สึกว่า ทำให้ได้ก็จะทำ อย่างเช่น ช่วงใกล้ๆ งานรับฯ น้องอยากได้กิ๊ฟหนีบผม ผมก็ไปหามาให้ น้องไม่ว่างมาเอา ผมก็ส่งไปให้ในคืนนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมเริ่มสังเกตว่าน้องชอบพูดอะไรไม่ได้หมายความอย่างนั้น

     คือ ผมสังเกตว่า อย่างเช่นจะไปเที่ยวทะเล น้องก็พูดวนไปวนมาหลายรอบ คือพูดแค่รอบแรกผมก็ตกลงแล้วครับ แต่น้องไม่ตกลง ต้องแบบกึ่งๆ บังคับด้วยการจองโรงแรมแล้วนะ อันนี้นะ สวยนะ บลาๆๆ ถึงจะโอเค ทีนี้พอใกล้วันรับ น้องเคยชวนว่าไปนอนค้างที่โน่นมั้ย เพราะเค้าต้องไปคนเดียว แค่พูดผมก็รับปากแล้วครับ ผมไม่ค่อยลีลา คือพูดแล้วทำ ไม่พูดก็ไม่ทำ แต่น้องจะแบบ ยึกยักไปๆ มาๆ ไม่เข้าไม่ออก ไม่ตกลงสักที เดี๋ยวก็บอก เพื่อนจะไปด้วย เดี๋ยวก็เพื่อนไม่ไปแล้ว เดี๋ยวก็จะไปคนเดียว จนผมพูดไปว่า ตกลงจะให้ไปมั้ย ถ้าไม่ ก็บอกว่าไม่ จบ

     น้องเลยบอกว่า ไม่ค่ะ ผมเลยบอกว่า โอเค ก็แค่นั้นละ จะวนไปมาให้มันยากทำไม เพราะผมเองก็ต้องจัดเวลาด้วยถ้าจะไปก็ต้องเคลียร์งาน เตรียมของ เตรียมคอมไปทำงานด้วย ระหว่างนั้นน้องมีช่างภาพที่จะไปถ่ายงานอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่า ถ่ายไม่สวย ไม่ได้ดั่งใจ ก็มาบ่นๆ ให้ฟัง ผมเลยกลายเป็นได้ไปด้วย จะได้ไปนอนเป็นเพื่อน แล้วก็จะได้ถ่ายรูปให้ด้วย

     การเดินทางก็เหมือนเดิมครับ ต้องขับรถ ผมก็สงสารจับใจ เค้าไม่ให้ผมขับ และผมก็ไม่เก่งเส้นทาง ไม่เก่งการขับในเมือง คือผมมาจากบ้านนอกน่ะครับ ถ้าขับต่างจังหวัดนี่พอได้ แต่ขับในเมือง ยิ่งเวลากลางคืน ยิ่งไม่ถนัดจริงๆ มองไม่ค่อยเห็นทาง น้องก็ขับไปบ่นง่วง บ่นเหนื่อยไป ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ช่วงนั้นฝนตกหนักมาก น้องชอบขับเร็ว ผมก็ยิ่งเป็นห่วง แล้วยังมาหลงทางอีก

     กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ แต่นั่นไม่เท่าไหร่ ที่ตกใจคือ ทำไมที่พักมันแย่จัง เป็นบ้านหลังนึงที่เปิดให้เป็นที่พัก น่าจะแบบชั่วคราว ไม่ได้ทำประจำ แต่ทำช่วงที่มีรับปริญญาเฉยๆ ค่าห้องคืนละ 5,000 บาทแต่แบบสภาพแย่มาก ไม่สมราคา ผมก็เลยถามว่า คืนก่อนหน้านี้มานอนได้ยังไงคนเดียว เปลี่ยวขนาดนี้ ฯลฯ ซึ่งคืนนั้นก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างรีบเข้านอน ผมก็ทำงานต่อสักพักแล้วก็นอน ส่วนน้องนอนไม่ค่อยหลับเพราะผมนอนกรนอีกแล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไง น้องเลยไล่ผมไปนอนห้องนั่งเล่น ผมก็ไป นอนหนาว หรือร้อนจำไม่ค่อยได้ จนดึก เลยกลับเข้าไปในห้องนอน นอนอีกฝั่งจนถึงตีสาม น้องก็ตื่นมาบ่นๆ ว่าไม่ได้นอน แล้วต้องรีบมาแต่งหน้าแต่งตัวไปซ้อม
 
     ช่วงเวลา 3-4 วันที่อยู่ที่มหาลัยน้อง ผมจะตื่นมาพร้อมน้อง คอยทำนั่นทำนี่ให้ หยิบโน่นหยิบนี่ แล้วก็ไปส่งที่มหาลัย แล้วก็เอารถน้องกลับมาจอด พอถึงสักสิบโมงเช้าก็จะออกไปรอน้องหลังออกจากห้องประชุม เป็นแบบนี้วนไปจนครบ วันแรก น้องสั่งอาหารเช้ามา แต่สั่งสำหรับคนเดียว พอตื่นเช้ามาน้องก็นั่งกินข้าว โดยที่ผมนั่งตรงหน้า และมองเฉยๆ น้องไม่เรียกสักคำ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร คือผมก็หิวนะ แต่น้องไม่เรียก ไม่พูด นั่งกินเฉยๆ แล้วก็บอกว่า จะออกไปละ แล้วก็ออกไป

     ทุกวันก็จะเป็นคล้ายๆ กัน แต่วันหลังๆ ผมได้กินข้าวด้วยแล้วเพราะสั่งมาสำหรับสองคน ผมก็ทำหน้าที่เหมือนเดิมครับ เฝ้ากระเป๋า เฝ้าของ ให้เงินไปจ่ายค่ากรอบรูป ค่านั่นนี่ คอยรับโทรศัพท์ให้ในบางวัน โทรจองช่างทำผม จัดเตรียมดอกไม้สำหรับวันจริง อะไรประมาณนั้น แล้วก็ไปถ่ายรูปให้น้อง แล้วก็เพื่อน ถ้าวันไหนเค้าจะถ่ายกันเองผมก็จะรอที่โต๊ะจนกว่าเค้าจะกลับมา แล้วก็เดินถือของให้ จนครบวันรับปริญญา บางครั้งน้องก็บอกว่ายืมเงินก่อน จะจ่ายนั่นจ่ายนี่ แรกๆก็สองพัน อะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยพูดถึงนะครับ อันนี้ผมเกริ่นมาก่อน ว่าปัญหามันเริ่มเกิดทีละนิดแล้ว

มีต่อ.....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่