
- ดูจากโปสเตอร์กับอ่านเรื่องย่อก็รู้ได้แล้วว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร อีกทั้งการกลับมาเยือนยังแดนตะวันตกของลุง John Woo อีกครั้งในรอบ 20 ปี ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังว่าการกลับมารอบนี้จะกลับมาพีคเหมือนสมัยยุค 80 – 90’s อยู่แล้ว แต่อย่างน้องก็พอจะรักษามาตรฐานในแบบที่เคยทำมาอย่าง Red Cliff 1-2 (2008-2009) ซึ่งส่วนตัวชอบมาก เอาว่าไหน ๆ ลุง Comeback ทั้งทีก็ขอสนับสนุนซะหน่อยล่ะกัน หลังจากดูจบก็เป็นไปตามที่คิดไว้ให้อยู่ในระดับเดียวกันตอนดูเรื่อง Simulant (2023) แต่ ดีกว่านิดนึง เปิดเรื่องมาก็ถือว่าดูน่าติดตามอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งพระเอกถูกยิงเข้าที่คอจนสูญเสียการพูดไปผมนึกถึงเรื่อง Mute (2018) ขึ้นมาในแง่ของตัวละครที่สูญเสียทักษะการสื่อสารจนกลายเป็นคนใบ้แถมหน้าตา ส่วนสูง คล้ายกับ Alexander Skarsgard อีก ถึงแม้ว่าต่างคนต่างมีปมที่แตกกันแต่ก็มีโทนสีที่คล้ายกันอยู่ในแง่ของการนำเสนอในโลกสีเทาแสนเบียวผ่านมุมมองของคนชายขอบ แปลกใจคือมีการใส่ CG แทรกเข้ามานิดเดียวด้วยเพื่อให้รู้ว่ากูใช้ CG ปลอมเรียกแขกจนดูขัดแย้งกับความจริงในเหตุการณ์ขณะนี้เห็น ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังคงสไตล์การกำกับที่เป็นเอกลักษณ์ของลุง WOO อยู่ อย่าง การสโลว์โมชั่นฉากแอ๊คชั่นระเบิดภูเขาบึ้มส์กระท่อมระดับตำบลที่ยังคงดุดันเลือดสาดตาม Way ของหนังแนวนี้ , การยืนทำหน้าซึ้งเก๊กหล่อเพื่อดูเชิง (หรือขิง) คู่ต่อสู้ ก่อนแล้วชักปืนคู่ออกมาปะทะกัน กระทั่งการใส่ความเป็นคู่หูแบบ Partner เหมือนเรื่อง Bad Boys เข้ามาหน้าตาเฉยและยัดเยียดเกินความจำเป็นเพื่อโชว์ให้เด็กรุ่นใหม่ดูว่านี่แหล่ะคือเอกลักษณ์ของกูเป็นแบบนี้ ทั้งที่ตัวบทไม่ได้พูดถึงหรือส่งเสริมในส่วนนี้ซักนิด ขาดอย่างเดียวคือ ไม่มีนกพิราบบินผ่านหน้าจอ ไม่งั้นครบสูตรองค์ประชุมของลุง Woo ของแทร่ 100%

- บทเชย จำเจ อันนี้เข้าใจได้ไม่ว่ากันแต่ปัญหาที่ต้องกล่าวคือจังหวะการตัดต่อไปอีกฉากกับสโลว์โมชั่นที่ลุงชอบใช้นักคือโคตรน่ารำคาญและโคตรเป็นอุปสรรคต่อการเล่าที่สุด นอกจากขัดใจเป็นระยะกับการมาถี่ของพวกมันแล้วยังทำให้เรื่องไม่สนุกอีกด้วยจนอยากจะเอามือตบกบาลไอ้ฝ่ายตัดต่อชิปหาย คือ ไม่มีจังหวะในการจับทางอารมณ์หรือไงว่าควรจะตัดช่วงไหน นึกจะตัดก็ตัด นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนดื้อ ๆ แถมดันไปตัดฉากที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มนี่สิ ทั้งที่คนดูอย่างกูยังไม่ทันเสพ Moment ให้เสร็จเรียบร้อยทีแล้วรีบเปลี่ยนฉากไปอย่างไร้เยื้อใยปล่อยให้คนดูสตั๊นท์ไปตามอัธยาศัยไม่พอยังมีการแทรกด้วยภาพจากการใส่ปมระหว่างพระเอกกับลูกชายปะปนกับฉากที่กำลัง Run ในขณะนั้นอยู่แถมดันมาโผล่กลางจอนี่สิ โดยเฉพาะไอ้ช่วงท้ายผมนี้ถึงกับอุทานในใจว่า

ขึ้นมา เพราะ นึกถึงหน้าลูกเด็กโผล่กลางดวงพระอาทิตย์แล้วหัวเราะคิกคิกในรายการเทเลทับบี้ ยังไงยังงั้น แทนที่จะซึ้งเรียกศรัทธาคนดูกลับพาหลอนติดตากลับบ้านแทนซะงั้น คือ เรียบเรียงให้มันเป็นลำดับทีละ Step ตามธรรมชาติดี ๆ ก็ได้แค่นี้คนดูเขาก็เข้าใจแล้ว ไม่ต้องเล่นท่ายากตามเสด็จพ่อโนแลนหรอก มันจะเป็นการฝืนในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองโดยใช่เหตุเปล่า ๆ

- ถึงแม้ว่าลุงจะพยายามนำเสนอ Plot ในทิศทางด้วยการขาย Concept เพื่อฉีกแนวออกไปจากเดิมแต่ผลลัพธ์คือมันไม่เวิร์ก แก่นสารที่ต้องการจะสื่อของ Concept ไม่สัมพันธ์กับแก่นหลักเรื่องเหมือนพยายามฝืนทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดทั้งที่ผู้บริโภคก็ทราบว่ามันไม่ถูกจริตของคนส่วนมากแถมไม่ช่วยนำพาให้เรื่องมีความน่าสนใจขึ้นมาเลยซักนิดจึงทำให้ช่วงแรกหลังจากที่พระเอกกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านนี้ดูไปซักแปปเผลอวูบหลับไป 2 ฉากด้วยความน่าเบื่อทันที ยังดีที่มีบทสนทนาจากตัวละครสมทบหลายคนหรือการใช้แอพแปลภาษาจากโทรศัพท์มือถือช่วยในเรื่องการติดต่อสื่อสารบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ กระทั่งการใส่ Sounds ประกอบช่วยเรียกสติผมให้ลืมตาดูไปพร้อมกับความรุนแรงด้วยฉากแอ๊คชั่นหรือความหวือหวาของภาพแสงสีเสียงโดยมีฉากหลังเป็น Theme Christmas พอเรียกความตื่นเต้นได้เป็นระยะ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ส่งเสริมเคียงคู่บารมีต่อกันกับหนังลักษณะแนวนี้อยู่แล้ว ถ้าปล่อยให้ลุงแกเล่นตาม Concept เป็นละครเงียบแบบนี้ต่อไปรับรองได้หลับทั้งเรื่องแน่นอน

- สรุป ภาพรวมพอใช้ สนุก เพลิดเพลินไปกับเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็ไม่แย่มากจนถึงกับสาปส่ง แต่มีอะไรหลายอย่างทั้ง ตัวบท , การชู Concept หรือ การตัดต่อเป็นปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งให้การเล่าเรื่องสะเปะสะปะและไม่สนุกเท่าที่ควรจะไปต่อได้มากกว่านี้แถมฉุดให้ลงไปจนเกือบจะถึงก้นเหว ยังดีที่มีส่วนที่ชอบอยู่บ้างคือช่วงการฝึก Skills ของพระเอกด้วยตัวเองเริ่มจากตั้งแต่ศูนย์ค่อย ๆ ฝึกฝนไปทีละ Step จนถึงออกภาคสนามจริง ซึ่งตรงนี้ทำให้เราเห็นพัฒนาการในตัวของพระเอกจากคนธรรมดาค่อย ๆ กลายเป็นนักฆ่าที่มีความแค้นเป็นแรงผลักดันอย่างค่อยเป็นค่อยได้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งเกือบจะทั้งหมดของหนังจะกินเวลาในส่วนนี้ไปเยอะจนทำให้ส่วนอื่นอย่าง Part ดราม่าของพรเอกกับเมียที่ถูกดูดหายไปจนเกือบหมด , ฉากแอ๊คชั่นที่มีน้อยกว่าที่คิดไว้ก่อนดู และ หัวหน้าตัวร้ายหรือตัวนักสืบที่ไม่ค่อยมีบทอะไรอยู่แล้วยิ่งถูกซ้ำเติมด้วยการแสดงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น Jobber ให้พระเอกได้มีอะไรทำ เข้าใจได้ว่าคงไม่ได้สำคัญกับเรื่องนอกจากขายความเป็น One Man Revenge Show ของพระเอกอย่างเดียว แต่อย่างน้อยก็ให้พื้นที่หรือเพิ่มเวลาพวกเขาแสดงฝีมือบ้างก็ดี โดยเฉพาะไอ้ตัวบอสนี้ที่สุดจะบรรยายโม้เพื่อนไว้อย่างดี ไอ้ตัวลูกน้องมือขวากับรรดาลุกเบ๊พอยังได้โชว์ฝีมือปะฉะดะมากกว่าลูกพี่อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก

- อีกอย่างที่ชอบคือฉากแอ๊คชั่นที่ขับรถไล่ยิงกลางถนน หรือ ฉากบุกรังหัวหน้าในคืน Christmas ที่ Set ฉากได้เข้ากับโลกอาชญากรใต้ดินได้สมจริง อย่างตอนพระเอกกำลังไฝว้กับลูกเบ๊แล้วโหลดกระสุนอย่างไวแล้วสาดใส่เข้าให้ดูไปก็นึกถึงเรื่อง John Wick เหมือนกัน กระทั่งการตั้งชื่อเรื่องก็เป็นจุดขายใหม่ที่น่าสนใจไปในเทศกาลนี้แล้วเริ่มเป็นที่นิยมใช้กันอย่างล่าสุดก็เรื่อง A Violent Night (2022) ก็ใช้ Theme เดียวกัน เอาจริงถ้าลุงเล่าดี ๆ เน้นความเดือดใส่ใจบทให้เหมือนที่ลุงเคยทำในเรื่องก่อน ๆ ด้วยการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับลูกชายให้มากแล้วลดไอ้ฉากสโลว์หรือเอาออกไปได้ยิ่งดีจะช่วยให้ตัวหนังมีความเป็นมนุษย์ที่ผมซื้อใจได้ไม่ยากทันที ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับ John Wick เอาง่าย ๆ ดูหนังของลูกพรี่ Scott Adkins เป็นกรณีศึกษาว่าการทำหนังให้คนดูรู้สึกสนุกในสไตล์นี้โดยไม่ต้องสนใจบทควรทำกันอย่างไร ? ถึงการกลับมาในรอบนี้จะไม่สมการรอคอยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็พอทำให้เราคิดถึง Moment ในวันเก่า ๆ สมัยพีค ๆ ตอนทำหนังที่บ้านเกิดของลุง Woo อย่าง A Better Tomorrow 1-2 (1986-1987) , The Killer (1989) หรือ ช่วงโกอินเตอร์แล้วอย่าง Broken Arrow (1996) , Face-Off (1997) นิด ๆ หน่อย ๆ ให้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งลุงก็เคยทำหนังแอ๊คชั่นมันส์ครบเครื่องให้เราได้ดูกันในชาตินี้

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.78 Silent Night : นัดเดว เสวทั้งบาง
- ดูจากโปสเตอร์กับอ่านเรื่องย่อก็รู้ได้แล้วว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร อีกทั้งการกลับมาเยือนยังแดนตะวันตกของลุง John Woo อีกครั้งในรอบ 20 ปี ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังว่าการกลับมารอบนี้จะกลับมาพีคเหมือนสมัยยุค 80 – 90’s อยู่แล้ว แต่อย่างน้องก็พอจะรักษามาตรฐานในแบบที่เคยทำมาอย่าง Red Cliff 1-2 (2008-2009) ซึ่งส่วนตัวชอบมาก เอาว่าไหน ๆ ลุง Comeback ทั้งทีก็ขอสนับสนุนซะหน่อยล่ะกัน หลังจากดูจบก็เป็นไปตามที่คิดไว้ให้อยู่ในระดับเดียวกันตอนดูเรื่อง Simulant (2023) แต่ ดีกว่านิดนึง เปิดเรื่องมาก็ถือว่าดูน่าติดตามอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งพระเอกถูกยิงเข้าที่คอจนสูญเสียการพูดไปผมนึกถึงเรื่อง Mute (2018) ขึ้นมาในแง่ของตัวละครที่สูญเสียทักษะการสื่อสารจนกลายเป็นคนใบ้แถมหน้าตา ส่วนสูง คล้ายกับ Alexander Skarsgard อีก ถึงแม้ว่าต่างคนต่างมีปมที่แตกกันแต่ก็มีโทนสีที่คล้ายกันอยู่ในแง่ของการนำเสนอในโลกสีเทาแสนเบียวผ่านมุมมองของคนชายขอบ แปลกใจคือมีการใส่ CG แทรกเข้ามานิดเดียวด้วยเพื่อให้รู้ว่ากูใช้ CG ปลอมเรียกแขกจนดูขัดแย้งกับความจริงในเหตุการณ์ขณะนี้เห็น ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังคงสไตล์การกำกับที่เป็นเอกลักษณ์ของลุง WOO อยู่ อย่าง การสโลว์โมชั่นฉากแอ๊คชั่นระเบิดภูเขาบึ้มส์กระท่อมระดับตำบลที่ยังคงดุดันเลือดสาดตาม Way ของหนังแนวนี้ , การยืนทำหน้าซึ้งเก๊กหล่อเพื่อดูเชิง (หรือขิง) คู่ต่อสู้ ก่อนแล้วชักปืนคู่ออกมาปะทะกัน กระทั่งการใส่ความเป็นคู่หูแบบ Partner เหมือนเรื่อง Bad Boys เข้ามาหน้าตาเฉยและยัดเยียดเกินความจำเป็นเพื่อโชว์ให้เด็กรุ่นใหม่ดูว่านี่แหล่ะคือเอกลักษณ์ของกูเป็นแบบนี้ ทั้งที่ตัวบทไม่ได้พูดถึงหรือส่งเสริมในส่วนนี้ซักนิด ขาดอย่างเดียวคือ ไม่มีนกพิราบบินผ่านหน้าจอ ไม่งั้นครบสูตรองค์ประชุมของลุง Woo ของแทร่ 100%
- บทเชย จำเจ อันนี้เข้าใจได้ไม่ว่ากันแต่ปัญหาที่ต้องกล่าวคือจังหวะการตัดต่อไปอีกฉากกับสโลว์โมชั่นที่ลุงชอบใช้นักคือโคตรน่ารำคาญและโคตรเป็นอุปสรรคต่อการเล่าที่สุด นอกจากขัดใจเป็นระยะกับการมาถี่ของพวกมันแล้วยังทำให้เรื่องไม่สนุกอีกด้วยจนอยากจะเอามือตบกบาลไอ้ฝ่ายตัดต่อชิปหาย คือ ไม่มีจังหวะในการจับทางอารมณ์หรือไงว่าควรจะตัดช่วงไหน นึกจะตัดก็ตัด นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนดื้อ ๆ แถมดันไปตัดฉากที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มนี่สิ ทั้งที่คนดูอย่างกูยังไม่ทันเสพ Moment ให้เสร็จเรียบร้อยทีแล้วรีบเปลี่ยนฉากไปอย่างไร้เยื้อใยปล่อยให้คนดูสตั๊นท์ไปตามอัธยาศัยไม่พอยังมีการแทรกด้วยภาพจากการใส่ปมระหว่างพระเอกกับลูกชายปะปนกับฉากที่กำลัง Run ในขณะนั้นอยู่แถมดันมาโผล่กลางจอนี่สิ โดยเฉพาะไอ้ช่วงท้ายผมนี้ถึงกับอุทานในใจว่า
- ถึงแม้ว่าลุงจะพยายามนำเสนอ Plot ในทิศทางด้วยการขาย Concept เพื่อฉีกแนวออกไปจากเดิมแต่ผลลัพธ์คือมันไม่เวิร์ก แก่นสารที่ต้องการจะสื่อของ Concept ไม่สัมพันธ์กับแก่นหลักเรื่องเหมือนพยายามฝืนทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดทั้งที่ผู้บริโภคก็ทราบว่ามันไม่ถูกจริตของคนส่วนมากแถมไม่ช่วยนำพาให้เรื่องมีความน่าสนใจขึ้นมาเลยซักนิดจึงทำให้ช่วงแรกหลังจากที่พระเอกกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านนี้ดูไปซักแปปเผลอวูบหลับไป 2 ฉากด้วยความน่าเบื่อทันที ยังดีที่มีบทสนทนาจากตัวละครสมทบหลายคนหรือการใช้แอพแปลภาษาจากโทรศัพท์มือถือช่วยในเรื่องการติดต่อสื่อสารบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ กระทั่งการใส่ Sounds ประกอบช่วยเรียกสติผมให้ลืมตาดูไปพร้อมกับความรุนแรงด้วยฉากแอ๊คชั่นหรือความหวือหวาของภาพแสงสีเสียงโดยมีฉากหลังเป็น Theme Christmas พอเรียกความตื่นเต้นได้เป็นระยะ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ส่งเสริมเคียงคู่บารมีต่อกันกับหนังลักษณะแนวนี้อยู่แล้ว ถ้าปล่อยให้ลุงแกเล่นตาม Concept เป็นละครเงียบแบบนี้ต่อไปรับรองได้หลับทั้งเรื่องแน่นอน
- สรุป ภาพรวมพอใช้ สนุก เพลิดเพลินไปกับเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็ไม่แย่มากจนถึงกับสาปส่ง แต่มีอะไรหลายอย่างทั้ง ตัวบท , การชู Concept หรือ การตัดต่อเป็นปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งให้การเล่าเรื่องสะเปะสะปะและไม่สนุกเท่าที่ควรจะไปต่อได้มากกว่านี้แถมฉุดให้ลงไปจนเกือบจะถึงก้นเหว ยังดีที่มีส่วนที่ชอบอยู่บ้างคือช่วงการฝึก Skills ของพระเอกด้วยตัวเองเริ่มจากตั้งแต่ศูนย์ค่อย ๆ ฝึกฝนไปทีละ Step จนถึงออกภาคสนามจริง ซึ่งตรงนี้ทำให้เราเห็นพัฒนาการในตัวของพระเอกจากคนธรรมดาค่อย ๆ กลายเป็นนักฆ่าที่มีความแค้นเป็นแรงผลักดันอย่างค่อยเป็นค่อยได้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งเกือบจะทั้งหมดของหนังจะกินเวลาในส่วนนี้ไปเยอะจนทำให้ส่วนอื่นอย่าง Part ดราม่าของพรเอกกับเมียที่ถูกดูดหายไปจนเกือบหมด , ฉากแอ๊คชั่นที่มีน้อยกว่าที่คิดไว้ก่อนดู และ หัวหน้าตัวร้ายหรือตัวนักสืบที่ไม่ค่อยมีบทอะไรอยู่แล้วยิ่งถูกซ้ำเติมด้วยการแสดงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น Jobber ให้พระเอกได้มีอะไรทำ เข้าใจได้ว่าคงไม่ได้สำคัญกับเรื่องนอกจากขายความเป็น One Man Revenge Show ของพระเอกอย่างเดียว แต่อย่างน้อยก็ให้พื้นที่หรือเพิ่มเวลาพวกเขาแสดงฝีมือบ้างก็ดี โดยเฉพาะไอ้ตัวบอสนี้ที่สุดจะบรรยายโม้เพื่อนไว้อย่างดี ไอ้ตัวลูกน้องมือขวากับรรดาลุกเบ๊พอยังได้โชว์ฝีมือปะฉะดะมากกว่าลูกพี่อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก
- อีกอย่างที่ชอบคือฉากแอ๊คชั่นที่ขับรถไล่ยิงกลางถนน หรือ ฉากบุกรังหัวหน้าในคืน Christmas ที่ Set ฉากได้เข้ากับโลกอาชญากรใต้ดินได้สมจริง อย่างตอนพระเอกกำลังไฝว้กับลูกเบ๊แล้วโหลดกระสุนอย่างไวแล้วสาดใส่เข้าให้ดูไปก็นึกถึงเรื่อง John Wick เหมือนกัน กระทั่งการตั้งชื่อเรื่องก็เป็นจุดขายใหม่ที่น่าสนใจไปในเทศกาลนี้แล้วเริ่มเป็นที่นิยมใช้กันอย่างล่าสุดก็เรื่อง A Violent Night (2022) ก็ใช้ Theme เดียวกัน เอาจริงถ้าลุงเล่าดี ๆ เน้นความเดือดใส่ใจบทให้เหมือนที่ลุงเคยทำในเรื่องก่อน ๆ ด้วยการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับลูกชายให้มากแล้วลดไอ้ฉากสโลว์หรือเอาออกไปได้ยิ่งดีจะช่วยให้ตัวหนังมีความเป็นมนุษย์ที่ผมซื้อใจได้ไม่ยากทันที ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับ John Wick เอาง่าย ๆ ดูหนังของลูกพรี่ Scott Adkins เป็นกรณีศึกษาว่าการทำหนังให้คนดูรู้สึกสนุกในสไตล์นี้โดยไม่ต้องสนใจบทควรทำกันอย่างไร ? ถึงการกลับมาในรอบนี้จะไม่สมการรอคอยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็พอทำให้เราคิดถึง Moment ในวันเก่า ๆ สมัยพีค ๆ ตอนทำหนังที่บ้านเกิดของลุง Woo อย่าง A Better Tomorrow 1-2 (1986-1987) , The Killer (1989) หรือ ช่วงโกอินเตอร์แล้วอย่าง Broken Arrow (1996) , Face-Off (1997) นิด ๆ หน่อย ๆ ให้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งลุงก็เคยทำหนังแอ๊คชั่นมันส์ครบเครื่องให้เราได้ดูกันในชาตินี้
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้