เนื้อหาของเทศนาฉบับนี้ หลวงปู่โต๊ะได้เล่าถึงประสบการณ์การสนทนากับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ไว้ด้วย ทางคอลัมน์ขอนำมาเผยแผ่ต่อแต่เนื่อง จากการที่มีข้อจำกัดทางพื้นที่จึงจะแบ่งนำเสนอเป็น 2 ตอน ตอนแรกให้ชื่อว่า หลวงปู่โต๊ะสอนการรักษาศีล ตามต้นฉบับเดิม ส่วนตอนหลังนี้จะใช้ชื่อตามเนื้อหาว่า หลวงปู่โต๊ะสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น โดยมีความละเอียดดังต่อไปนี้
พระนิพพานน่ะ ไม่ใช่ว่า ทานโทษ ตายไป แล้วได้นะ ไม่ใช่ เป็นๆ นี่ก็ได้ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส กรรม วิบาก โลภ โกรธ หลง 3 ตัวนี่ ไม่เกิดขึ้นกับเรา ได้แล้ว นี่ทางพระนิพพาน...ได้เป็นลำดับ ลำดับ
นิพพานเป็นไง หูตาจิตใจไม่มีอะไร หมด มีแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปราศจากร่างกายของเรา เสมอกันหมด ไม่มีการเบียดเบียนกันเลย แม้แต่เพียงนิดหน่อย มีแต่ใจเจือจุนอุดหนุนกัน เขามีความสุข เออ คนอื่นเขามีความสุขก็ให้คนอื่นสุขเรื่อยๆ ไป หรือเขามีความทุกข์เราก็หาทางแก้ช่วยเหลือกัน จิตไม่แปรเป็นธาตุที่ดับอีกต่อไป แจ๋วเลย ใช้ของใช้บริสุทธิ์หมดจด หมด แต่สิ่งเหล่านี้ต้องกระทำ เขาเรียกการปฏิบัติจนเห็นธรรมแจ้งอยู่กับใจของตน ยืนก็มีธรรม เดินก็มีธรรม นั่งก็มีธรรม นอนก็มีธรรมะประจำอิริยาบถอยู่เสมอๆ ความไม่ดี ไม่งามก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะความดีความงามมันสูงกว่าสุดเอื้อมของเขา เขาก็นิ่งไปเอง เขาก็ดับของเขาเอง เขาก็ล้มละลายของเขาเอง โดยอำนาจความดีของเรานั่นเอง จึงไม่มีโจรเข้ามาปล้น ทางหู ทางตา ทางใจ ของเรา
ท่านว่าเป็น วิมุตติ หลุดพ้นไปได้เป็นครั้งคราว รู้ไว้ว่าวาสนาของเราแก่กล้า หลุดไปเลย หลุดไปเลย หลุดอย่างสบาย ผู้ปฏิบัติ เป็นอุบาสก อุบาสิกา สมณะชีพราหมณ์ หวังพระนิพพาน เพราะเป็นยอดความสุข
พระนิพพานน่ะ หยิบยกให้กันไม่ได้ ได้แต่บอก ได้แต่บอกหนทางให้ว่า ทำอย่างนี้นะ นี่ทุกข์ นี่เหตุเกิดทุกข์ นี่ดับทุกข์ นี่หนทางดำเนิน หนทางหมดทุกข์ เรียกมรรค 8 เมื่อเราเข้าไปในมรรค 8 ได้ เข้าไปเข้าขั้นของอริยะ ไม่ต้องเสียอกเสียใจ รำพันว่า เฮ้อ! เราทำไมมันปฏิบัติไม่ถึงโน่น ไม่ถึงนี่ ทำไมไม่ถึงพระอริยะสักที อย่าไปคิด
เราควรดีอกดีใจ เข้าถึง เข้าถึง เข้าถึงขั้น ขั้นของพระอริยะอะไร ขั้นต่ำๆ โสดาเป็นยังไง ปกครอง ปกครองบ้านเมือง ลูกเต้า ปกครองได้หมด ปกครองด้วยศีล 5 ไม่มีผิดศีล ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ไม่มี ความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี ท่านเป็นอริยะเข้าขั้น พระก็เหมือนกัน เข้าขั้นอริยะ ปกครองบ้านเมือง หากินตามปกติ สัมมาอาชีวะทำอะไรก็ขึ้น ด้วยความดีนี่ แต่อย่าเข้าใจว่า เราน่ะเป็นปุถุชน ไม่ใช่นะ นี่เป็นสัปบุรุษแล้วนะพวกเรานี่ เป็นสัปบุรุษ เลื่อนแล้วนะ เลื่อนจากชั้นปุถุชน ขึ้นกัลยาณชน รักษาต่อไปให้ถึงอริยชนเลย
ดูพระอรหันต์ท่านรักษาระดับสูงแล้วน่ะ ไม่ใช่ปุถุชน ท่านพวกนี้ไม่ใช่อริยชน ขึ้นขึ้นไปได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ศีลสมาธิเข้าขั้น ไม่ต้องเสียอกเสียใจ ทำไปแล้วจะถึงในวันข้างหน้า
ทีนี้พูดถึงอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นกับอาตมาคุ้นเคยกัน แต่อาตมายังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่บอกเจ้าคุณอุบาลีฯ วัดบรมนิวาสว่า เมื่อหลวงพ่อองค์นี้ลงมา ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ผมจะมาฟังธรรมะธัมโมของท่าน ท่านก็รับ ท่านเป็นญาติกัน แล้วก็สั่งสมภารองค์ใหม่นี้ไว้ด้วย จะเป็นประโยชน์ พอเราเข้าไปกราบเท่านั้นเย็น ใจคอเย็น ทานโทษ เหมือนยังกับเข้าไปอยู่ในร่ม อากัปกิริยาเหมือนยังกะเราเข้าไปอยู่ในร่ม เย็น เย็นหู เย็นตา เย็นใจ ทั้งตัวเย็น เย็นไปหมด เพราะอะไร
การปฏิบัติในทางสมถกรรมฐาน มีอะไรเป็นหลัก
ท่านก็ว่า กรรมฐาน 40 นั่นแหละ เลือกเอาตามพอใจเท่านั้นเอง เลือกเอาตามพอใจ ก็หลายอย่าง หลวงพ่อ หลายอย่าง
ท่านก็แนะว่า ทำตามจริตของเขาที่เข้าใจ ถ้าคนที่มีโทสจริตก็เจริญพุทโธก็ได้ ท่านว่างั้น และเราก็ว่า พุทโธ ต้องประกอบกับลมด้วย ขอรับ
ท่านก็ว่า ต้องประกอบซี กรรมฐานน่ะ อานาปานะ เป็นยอดของกรรมฐานนะคุณนะ อย่าปลดปล่อยนา
ครับ ไม่ปล่อย จะต้องทำยังไงขอรับ ถึงจะรู้ว่า ลมเข้า ลมออก ก็ตามรู้ ลมเข้าลมออก ปัญญาเกิด
เมื่อภาวนาพุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธหายไป เราจะทำไง ไม่มีหรอกพุทโธ ไม่ได้บริกรรม ไม่มีอะไร ไม่มีเลย
ท่านว่า นั่นแหละลมละเอียดแล้ว ลมละเอียดแล้ว
ลมละเอียดแล้วจะต้องทำอะไรต่อไปอีก
ดูลม ดูลมให้ละเอียด ถ้าละเอียด ละเอียดหนักๆ ขึ้น เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าหายใจนะคุณนะ ไม่รู้ว่าหายใจ หายใจเข้า หายใจยังไง เราก็ไม่รู้เรื่อง
มีการเผลอไหมครับ
ท่านบอก ไม่เผลอ ต้องมีสติผูกจิตไว้ด้วย ท่านว่างั้น อะไรผ่าน จำ ท่านว่าให้จำ จำไว้ จำไว้
ถ้าหากมีโยก ไม่โคลง จะทำไงขอรับ มันไปข้างหน้ามั่ง
ท่านว่า ให้เฉย ที่จริงไม่ได้โยก ไม่ได้โคลงหรอก มันเป็นกิริยาของพระอรหันต์ มันเป็นกิริยาของท่าน มันแสดงให้เราเห็น ทีนี้ทำท่าจะเหาะ ฉันจะเหาะได้นา ถ้าทำไปเหาะได้นา ถ้าท่านทำไป เหาะได้นา เราทำไง เราทำท่าจะเหาะนี่ เฉย เฉย เวลานั้นจะสว่างไม่ใช่เล่น สว่างไสวไปหมด ดูข้าง ดูเคียง ดูอะไรๆ นั่นเขาเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส อย่าไปหลง อย่าไปหลง เราเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลสที่สว่าง ดับวูบ นั่นก็คือธรรมะคือ วิปัสสนา นั่นคือ วิปัสสนาปิดหมด จะสว่างไสว มันสว่างไสว ปลอดภัยทุกอย่าง อย่าไปหลงเข้านะ อย่าไปหลง แต่ก็มีฤทธิ์นะ สว่างนั้นมีฤทธิ์ จะเป็นมดเป็นหมอเป็นอะไรต่ออะไรทำได้ทั้งนั้น ทำได้
ก็ถามว่า ท่านทิ้งแล้วหรือยังขอรับ สมถะ
ไม่ได้ทิ้งละ มันเป็นอุบายข้อที่...พระพุทธเจ้ายังทิ้งไม่ได้นี่คุณ อ่านหนังสือพบไหม ท่านว่างั้น ก็ว่าพบ อ่านพบ
ทิ้งไม่ได้ มีฤทธิ์ มีเดชมีอะไรหลายๆ อย่าง แต่ตถาคตน่ะไม่แสดง แสดงในสิ่งที่จำเป็น แล้วตถาคตยังห้ามสาวกอื่นๆ ว่า อย่างแสดง ยังห้าม ยังห้าม เลือกแสดง เลือกสิ่งที่จำเป็นละก็ทำได้ ที่จำเป็น เพราะฉะนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เอาละ หลักนี่ไม่ใช่หลักของพระพุทธเจ้านา เพราะว่าเขามีมาก่อนพระพุทธเจ้าหลายสิบองค์ มีพระพุทธเจ้าเกิดในโลกก็เห็นว่าหลักของเขาดีก็ทำ ก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็ทำด้วยหลักกรรมฐาน เป็นของโลกๆ เขา แต่ก็ได้ประโยชน์ ดีสุดเข้าก็เลยรวบรัดตัดความใช้ได้ ให้เห็นเข้าแท้จริงๆ มันก็เบื่อหน่ายได้
หลวงพ่อครับ วันหนึ่งทำกี่ครั้ง
นับไม่ถ้วน ท่านว่า นี่ฉันก็ทำ ท่านว่า นี่ฉันก็ทำสมถะ กายใจ...จิต จิต...ชอบกล คนเราน่ะ ต้องทำเรื่อยๆ ยืนในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอนในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปหมด นี่ความหลุดพ้น เรียกว่า วิมุตติ ครบบริบูรณ์
ความชั่วหามีกับเราไม่ ด้วยอาศัยการปฏิบัติที่เราถือกุญแจลูกนี้ ไขเข้าไปกว่าจะถึงหลัก นี่คือหลักการรักษาศีลในทายกทายิกาที่มาประชุมที่นี้
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ แม้ท่านจะนึกปรารถนาสิ่งใดสมความปรารถนาสุขทุกทิพาราตรีกาลนั้น สวัสดี
ต้นฉบับที่คัดลอกบทสนทนาคือเวปข่าวโพสทูเดย์
https://www.posttoday.com/politics/323731
ใครไม่อ่านจะเสียใจ!! หลวงปู่โต๊ะสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น
พระนิพพานน่ะ ไม่ใช่ว่า ทานโทษ ตายไป แล้วได้นะ ไม่ใช่ เป็นๆ นี่ก็ได้ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส กรรม วิบาก โลภ โกรธ หลง 3 ตัวนี่ ไม่เกิดขึ้นกับเรา ได้แล้ว นี่ทางพระนิพพาน...ได้เป็นลำดับ ลำดับ
นิพพานเป็นไง หูตาจิตใจไม่มีอะไร หมด มีแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปราศจากร่างกายของเรา เสมอกันหมด ไม่มีการเบียดเบียนกันเลย แม้แต่เพียงนิดหน่อย มีแต่ใจเจือจุนอุดหนุนกัน เขามีความสุข เออ คนอื่นเขามีความสุขก็ให้คนอื่นสุขเรื่อยๆ ไป หรือเขามีความทุกข์เราก็หาทางแก้ช่วยเหลือกัน จิตไม่แปรเป็นธาตุที่ดับอีกต่อไป แจ๋วเลย ใช้ของใช้บริสุทธิ์หมดจด หมด แต่สิ่งเหล่านี้ต้องกระทำ เขาเรียกการปฏิบัติจนเห็นธรรมแจ้งอยู่กับใจของตน ยืนก็มีธรรม เดินก็มีธรรม นั่งก็มีธรรม นอนก็มีธรรมะประจำอิริยาบถอยู่เสมอๆ ความไม่ดี ไม่งามก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะความดีความงามมันสูงกว่าสุดเอื้อมของเขา เขาก็นิ่งไปเอง เขาก็ดับของเขาเอง เขาก็ล้มละลายของเขาเอง โดยอำนาจความดีของเรานั่นเอง จึงไม่มีโจรเข้ามาปล้น ทางหู ทางตา ทางใจ ของเรา
ท่านว่าเป็น วิมุตติ หลุดพ้นไปได้เป็นครั้งคราว รู้ไว้ว่าวาสนาของเราแก่กล้า หลุดไปเลย หลุดไปเลย หลุดอย่างสบาย ผู้ปฏิบัติ เป็นอุบาสก อุบาสิกา สมณะชีพราหมณ์ หวังพระนิพพาน เพราะเป็นยอดความสุข
พระนิพพานน่ะ หยิบยกให้กันไม่ได้ ได้แต่บอก ได้แต่บอกหนทางให้ว่า ทำอย่างนี้นะ นี่ทุกข์ นี่เหตุเกิดทุกข์ นี่ดับทุกข์ นี่หนทางดำเนิน หนทางหมดทุกข์ เรียกมรรค 8 เมื่อเราเข้าไปในมรรค 8 ได้ เข้าไปเข้าขั้นของอริยะ ไม่ต้องเสียอกเสียใจ รำพันว่า เฮ้อ! เราทำไมมันปฏิบัติไม่ถึงโน่น ไม่ถึงนี่ ทำไมไม่ถึงพระอริยะสักที อย่าไปคิด
เราควรดีอกดีใจ เข้าถึง เข้าถึง เข้าถึงขั้น ขั้นของพระอริยะอะไร ขั้นต่ำๆ โสดาเป็นยังไง ปกครอง ปกครองบ้านเมือง ลูกเต้า ปกครองได้หมด ปกครองด้วยศีล 5 ไม่มีผิดศีล ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ไม่มี ความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี ท่านเป็นอริยะเข้าขั้น พระก็เหมือนกัน เข้าขั้นอริยะ ปกครองบ้านเมือง หากินตามปกติ สัมมาอาชีวะทำอะไรก็ขึ้น ด้วยความดีนี่ แต่อย่าเข้าใจว่า เราน่ะเป็นปุถุชน ไม่ใช่นะ นี่เป็นสัปบุรุษแล้วนะพวกเรานี่ เป็นสัปบุรุษ เลื่อนแล้วนะ เลื่อนจากชั้นปุถุชน ขึ้นกัลยาณชน รักษาต่อไปให้ถึงอริยชนเลย
ดูพระอรหันต์ท่านรักษาระดับสูงแล้วน่ะ ไม่ใช่ปุถุชน ท่านพวกนี้ไม่ใช่อริยชน ขึ้นขึ้นไปได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ศีลสมาธิเข้าขั้น ไม่ต้องเสียอกเสียใจ ทำไปแล้วจะถึงในวันข้างหน้า
ทีนี้พูดถึงอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นกับอาตมาคุ้นเคยกัน แต่อาตมายังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่บอกเจ้าคุณอุบาลีฯ วัดบรมนิวาสว่า เมื่อหลวงพ่อองค์นี้ลงมา ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ผมจะมาฟังธรรมะธัมโมของท่าน ท่านก็รับ ท่านเป็นญาติกัน แล้วก็สั่งสมภารองค์ใหม่นี้ไว้ด้วย จะเป็นประโยชน์ พอเราเข้าไปกราบเท่านั้นเย็น ใจคอเย็น ทานโทษ เหมือนยังกับเข้าไปอยู่ในร่ม อากัปกิริยาเหมือนยังกะเราเข้าไปอยู่ในร่ม เย็น เย็นหู เย็นตา เย็นใจ ทั้งตัวเย็น เย็นไปหมด เพราะอะไร
การปฏิบัติในทางสมถกรรมฐาน มีอะไรเป็นหลัก
ท่านก็ว่า กรรมฐาน 40 นั่นแหละ เลือกเอาตามพอใจเท่านั้นเอง เลือกเอาตามพอใจ ก็หลายอย่าง หลวงพ่อ หลายอย่าง
ท่านก็แนะว่า ทำตามจริตของเขาที่เข้าใจ ถ้าคนที่มีโทสจริตก็เจริญพุทโธก็ได้ ท่านว่างั้น และเราก็ว่า พุทโธ ต้องประกอบกับลมด้วย ขอรับ
ท่านก็ว่า ต้องประกอบซี กรรมฐานน่ะ อานาปานะ เป็นยอดของกรรมฐานนะคุณนะ อย่าปลดปล่อยนา
ครับ ไม่ปล่อย จะต้องทำยังไงขอรับ ถึงจะรู้ว่า ลมเข้า ลมออก ก็ตามรู้ ลมเข้าลมออก ปัญญาเกิด
เมื่อภาวนาพุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธหายไป เราจะทำไง ไม่มีหรอกพุทโธ ไม่ได้บริกรรม ไม่มีอะไร ไม่มีเลย
ท่านว่า นั่นแหละลมละเอียดแล้ว ลมละเอียดแล้ว
ลมละเอียดแล้วจะต้องทำอะไรต่อไปอีก
ดูลม ดูลมให้ละเอียด ถ้าละเอียด ละเอียดหนักๆ ขึ้น เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าหายใจนะคุณนะ ไม่รู้ว่าหายใจ หายใจเข้า หายใจยังไง เราก็ไม่รู้เรื่อง
มีการเผลอไหมครับ
ท่านบอก ไม่เผลอ ต้องมีสติผูกจิตไว้ด้วย ท่านว่างั้น อะไรผ่าน จำ ท่านว่าให้จำ จำไว้ จำไว้
ถ้าหากมีโยก ไม่โคลง จะทำไงขอรับ มันไปข้างหน้ามั่ง
ท่านว่า ให้เฉย ที่จริงไม่ได้โยก ไม่ได้โคลงหรอก มันเป็นกิริยาของพระอรหันต์ มันเป็นกิริยาของท่าน มันแสดงให้เราเห็น ทีนี้ทำท่าจะเหาะ ฉันจะเหาะได้นา ถ้าทำไปเหาะได้นา ถ้าท่านทำไป เหาะได้นา เราทำไง เราทำท่าจะเหาะนี่ เฉย เฉย เวลานั้นจะสว่างไม่ใช่เล่น สว่างไสวไปหมด ดูข้าง ดูเคียง ดูอะไรๆ นั่นเขาเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส อย่าไปหลง อย่าไปหลง เราเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลสที่สว่าง ดับวูบ นั่นก็คือธรรมะคือ วิปัสสนา นั่นคือ วิปัสสนาปิดหมด จะสว่างไสว มันสว่างไสว ปลอดภัยทุกอย่าง อย่าไปหลงเข้านะ อย่าไปหลง แต่ก็มีฤทธิ์นะ สว่างนั้นมีฤทธิ์ จะเป็นมดเป็นหมอเป็นอะไรต่ออะไรทำได้ทั้งนั้น ทำได้
ก็ถามว่า ท่านทิ้งแล้วหรือยังขอรับ สมถะ
ไม่ได้ทิ้งละ มันเป็นอุบายข้อที่...พระพุทธเจ้ายังทิ้งไม่ได้นี่คุณ อ่านหนังสือพบไหม ท่านว่างั้น ก็ว่าพบ อ่านพบ
ทิ้งไม่ได้ มีฤทธิ์ มีเดชมีอะไรหลายๆ อย่าง แต่ตถาคตน่ะไม่แสดง แสดงในสิ่งที่จำเป็น แล้วตถาคตยังห้ามสาวกอื่นๆ ว่า อย่างแสดง ยังห้าม ยังห้าม เลือกแสดง เลือกสิ่งที่จำเป็นละก็ทำได้ ที่จำเป็น เพราะฉะนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เอาละ หลักนี่ไม่ใช่หลักของพระพุทธเจ้านา เพราะว่าเขามีมาก่อนพระพุทธเจ้าหลายสิบองค์ มีพระพุทธเจ้าเกิดในโลกก็เห็นว่าหลักของเขาดีก็ทำ ก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็ทำด้วยหลักกรรมฐาน เป็นของโลกๆ เขา แต่ก็ได้ประโยชน์ ดีสุดเข้าก็เลยรวบรัดตัดความใช้ได้ ให้เห็นเข้าแท้จริงๆ มันก็เบื่อหน่ายได้
หลวงพ่อครับ วันหนึ่งทำกี่ครั้ง
นับไม่ถ้วน ท่านว่า นี่ฉันก็ทำ ท่านว่า นี่ฉันก็ทำสมถะ กายใจ...จิต จิต...ชอบกล คนเราน่ะ ต้องทำเรื่อยๆ ยืนในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอนในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปหมด นี่ความหลุดพ้น เรียกว่า วิมุตติ ครบบริบูรณ์
ความชั่วหามีกับเราไม่ ด้วยอาศัยการปฏิบัติที่เราถือกุญแจลูกนี้ ไขเข้าไปกว่าจะถึงหลัก นี่คือหลักการรักษาศีลในทายกทายิกาที่มาประชุมที่นี้
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ แม้ท่านจะนึกปรารถนาสิ่งใดสมความปรารถนาสุขทุกทิพาราตรีกาลนั้น สวัสดี
ต้นฉบับที่คัดลอกบทสนทนาคือเวปข่าวโพสทูเดย์
https://www.posttoday.com/politics/323731