ตอนนี้เรากับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนหนึ่งไม่ถูกกันอย่างมาก (ด้วยสาเหตุหนึ่งที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม) และต่างคนต่างก็แสดงออกชัดเจนด้วยว่าไม่ถูกกัน รุ่นน้องคนนั้นเลิกเคารพเรา ส่วนเราก็เลิกเอ็นดูน้องคนนั้น ต่างคนต่างไม่พูดกันและเมินใส่กัน ปกติงานเรากับงานเขาไม่ต้องทำร่วมกัน แต่ล่าสุดหัวหน้าพูดกับเราเรื่องงานๆหนึ่งที่เป็นเหมือนงานเฉพาะกิจ ซึ่งเราอาจต้องทำ และต้องมีคนช่วยเรา เราประเมินดูแล้วมีโอกาสสูงที่หัวหน้าจะมอบหมายให้รุ่นน้องคนนั้นเป็นคนช่วยเรา (เป็นงานแนวต้องออกแรง และปกติถ้าเป็นงานต้องออกแรง หัวหน้าจะชอบใช้เพื่อนร่วมงานคนนั้น เพราะเขาแรงเยอะ)
แต่เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะเราพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานคนนั้น จะให้มาแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวก็ไม่ง่าย เพราะสาเหตุที่ไม่ถูกกันมันมาจากทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราจึงคิดว่าถ้าหากหัวหน้ามอบหมายให้เราทำงานกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นจริงๆ เราควรบอกหัวหน้าไหมว่าเราไม่อยากให้คนๆนั้นมาช่วยงานเรา ขอเป็นคนอื่นแทน จริงๆเราคิดว่าหัวหน้าก็พอจะมองออกบ้างว่าเรารู้สึกไม่โอเคกับเพื่อนร่วมงานคนนั้น เพราะจริตนิสัยที่ต่างกันลิบลับ เราเคยบ่นเรื่องพฤติกรรมเพื่อนร่วมงานคนนั้นให้หัวหน้าฟังด้วย และก่อนหน้านี้หัวหน้าก็ถามเราว่าเราได้คุยกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นบ้างไหม เราก็ตอบว่าไม่ได้คุย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คุย
-------------------------------------
สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเรากับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนั้นไม่ถูกกันเรื่องอะไร
1. เพื่อนร่วมงานคนนั้นมีนิสัยแรงๆ ชอบมีปัญหากับคนอื่นไม่เว้นแต่ละวัน ชอบเอาชนะ ชอบเล่าเรื่องคนอื่นที่ไปดีลงานด้วย+คนในครอบครัวของตัวเองในทางที่ไม่ดี ชอบเล่าว่าตัวเองเคยไปตบตีกับใครบ้าง และก็พูดใส่อารมณ์แบบเสียงดังก้าวร้าว ด่ากราด เราได้ยินแล้ว Toxic มาก เพราะเราไม่ชอบคนนิสัยฉุนเฉียวและรุนแรง แล้วเราต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้ทุกวัน (จะใส่หูฟังกลบเสียงก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยฟังเสียงหัวหน้าเรียก โต๊ะทำงานเราอยู่ใกล้ห้องหัวหน้า นอกจากหัวหน้าจะเรียกเราคุยงานแล้ว หัวหน้ายังชอบฝากเราเรียกลูกน้องคนอื่นให้เขาด้วย) หัวหน้าเตือนแล้วเขาก็ยังทำอีก ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้บาดหมางกัน แต่เป็นชนวน เพราะนิสัยแบบนี้ของเขาทำให้เราไม่อยากคุยด้วย เวลาเขาจะนินทาด่าว่าใคร เราไม่เคยร่วมประสมโรงด้วยเลย (ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆจะมีร่วมประสมโรงกับเขาบ้าง) เราจะคุยกับเขาเฉพาะเรื่องงาน (หรือเวลาหัวหน้าฝากเราช่วยเรียกเขาให้ไปพบหัวหน้า)
2. เรารู้สึกได้ว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็ไม่ชอบเราเหมือนกัน ในเมื่อเขาชอบนินทาด่าคนอื่นไปทั่วแม้แต่เรื่องเล็กกระจิด แล้วมีหรือที่เราจะไม่โดน ยิ่งจริตไม่ตรงกันด้วย เราก็ไม่ใช่คนเพอร์เฟ็ค ในที่ทำงานเราเป็นคนสงบเสงี่ยมมาก ไม่ค่อยพูดคุยสัพเพเหระกับใคร ไม่ชอบมีปัญหากับใคร เน้นทำงาน เป็นที่ชื่นชมและไว้ใจของหัวหน้า แต่บางครั้งเราก็เป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งเราถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนหนึ่งพูดจาไม่ดีใส่ต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วเราก็ดันไปเห็นเพื่อนร่วมงานคู่กรณีของเราออกอาการสะใจที่เห็นเราถูกพูดไม่ดีใส่ (เขาไม่ได้ตั้งใจแสดงอาการให้เราเห็น แต่เราตาไว) ซึ่งเราก็ไม่นิ่งเฉย ตอนนั้นเรารู้สึกถูกหยามเกียรติ และคิดว่าตัวเองไม่ผิด เราจึงพูดสวนกลับไปด้วยความไม่พอใจ ซึ่งคนที่พูดไม่ดีกับเราก็ดันสนิทกับคู่กรณีเราด้วย หลังจากนั้นทั้งคนที่พูดไม่ดีกับเรา และคู่กรณีเรา ต่างก็ไม่คุยกับเรา เราก็ไม่อยากคุยกับทั้งคู่เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรากับคู่กรณีบาดหมางกัน
3. หัวหน้ามอบหมายงานเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคู่กรณีเราให้ไปส่งแฟ้มเอกสารเสนอเซ็นทุกวัน (งานส่งแฟ้มหัวหน้ามอบหมายไว้ 2 คน แต่ตอนนี้คนที่เป็นมือ 1 ลาออกไป เขาที่เป็นมือ 2 จึงต้องมาทำหน้าที่เป็นมือ 1 แทนจนกว่าจะมีคนใหม่มาทำหน้าที่มือ 1) วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานคู่กรณีเราก็มาบ่นให้หัวหน้าฟังว่าเขาไม่อยากไปส่งแฟ้มเอกสาร ณ ห้องๆหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ห้องนั้นชอบทำสีหน้าหรือกิริยาไม่ดี (เป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะเก็บมาใส่ใจ) แล้วบังเอิญว่าแฟ้มเอกสารที่ต้องไปส่งที่ห้องนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารงานของเรา หัวหน้าฟังแล้วก็ไม่อยากให้มีปัญหากัน จึงมอบหมายให้เราเป็นคนไปส่งแฟ้มเอกสารที่ห้องๆนั้นแทนเพื่อนร่วมงานคู่กรณีเรา เราก็ยอมทำ หลังจากนั้นคู่กรณีเราก็มีท่าทางกระดี๊กระด๊า พอมีแฟ้มต้องไปส่ง มีทั้งส่วนที่เขาต้องไปส่ง และส่วนที่เราต้องไปส่ง เขาก็ทำเป็นพูดเสียงดังว่า "หน้าที่ใครก็ทำไปนะ" ซึ่งเป็นคำพูดที่กระทบถึงเรา เราไม่โต้ตอบ แต่รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่แย่มาก ไม่มีจิตสำนึก และเราก็รู้สึกถูกเอาเปรียบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เรากับคู่กรณีบาดหมางใจกันมากขึ้น
4. พอไม่ถูกกันแล้วก็ยากที่จะเข้าหน้ากันติด เรากับคู่กรณีไม่พูดคุยกันอีกเลย (ยกเว้นเรื่องงาน และต้องจำเป็นต้องคุยจริงๆ แบบว่าให้คนอื่นคุยแทนไม่ได้แล้ว) เราไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขา ส่วนเขาที่เป็นรุ่นน้อง ปกติจะไหว้ทักรุ่นพี่ตอนมาทำงานและเลิกงาน แต่พอเขาไม่ถูกกับเรา เขาก็เลิกไหว้ทักทายเรา เลิกเคารพเรา ส่วนเราก็จะทำเป็นไม่สนใจเวลาเขาไหว้ทักทายใคร ไม่หันไปมอง และเวลาหัวหน้าเรียกเรียกเขาไปพบ ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงหัวหน้า เราก็จะไม่ช่วยเรียกเขา (ปล่อยให้หัวหน้าเรียกไป หรือไม่ก็รอจนกว่าจะมีคนอื่นได้ยินแล้วช่วยเรียกเขา) หรือเวลาหัวหน้ามอบหมายเขาเอาของไปแจกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พอเขามาถึงโต๊ะเราก็จะยื่นของให้แบบส่งๆ ให้แบบไม่เต็มใจ ให้แบบอยากจะหาเรื่อง (ถ้าโยนขว้างให้ได้คงทำแล้ว) เราก็จะทำเป็นไม่สนใจ ไม่ขอบคุณด้วย ประมาณนี้ และด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อยากทำงานอะไรร่วมกับเขา เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุทะเลาะกัน เราไม่ใช่คนเข้มแข็งที่จะรับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้งได้ ส่วนคู่กรณีเราก็พร้อมบวกตลอดเวลา
ถ้าถูกหัวหน้ามอบหมายให้ทำงานร่วมกับคนที่ไม่ถูกกัน ควรบอกหัวหน้าไหมว่าเราไม่ถูกกับคนๆนั้น
แต่เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะเราพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานคนนั้น จะให้มาแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวก็ไม่ง่าย เพราะสาเหตุที่ไม่ถูกกันมันมาจากทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราจึงคิดว่าถ้าหากหัวหน้ามอบหมายให้เราทำงานกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นจริงๆ เราควรบอกหัวหน้าไหมว่าเราไม่อยากให้คนๆนั้นมาช่วยงานเรา ขอเป็นคนอื่นแทน จริงๆเราคิดว่าหัวหน้าก็พอจะมองออกบ้างว่าเรารู้สึกไม่โอเคกับเพื่อนร่วมงานคนนั้น เพราะจริตนิสัยที่ต่างกันลิบลับ เราเคยบ่นเรื่องพฤติกรรมเพื่อนร่วมงานคนนั้นให้หัวหน้าฟังด้วย และก่อนหน้านี้หัวหน้าก็ถามเราว่าเราได้คุยกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นบ้างไหม เราก็ตอบว่าไม่ได้คุย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คุย
-------------------------------------
สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเรากับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนั้นไม่ถูกกันเรื่องอะไร
1. เพื่อนร่วมงานคนนั้นมีนิสัยแรงๆ ชอบมีปัญหากับคนอื่นไม่เว้นแต่ละวัน ชอบเอาชนะ ชอบเล่าเรื่องคนอื่นที่ไปดีลงานด้วย+คนในครอบครัวของตัวเองในทางที่ไม่ดี ชอบเล่าว่าตัวเองเคยไปตบตีกับใครบ้าง และก็พูดใส่อารมณ์แบบเสียงดังก้าวร้าว ด่ากราด เราได้ยินแล้ว Toxic มาก เพราะเราไม่ชอบคนนิสัยฉุนเฉียวและรุนแรง แล้วเราต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้ทุกวัน (จะใส่หูฟังกลบเสียงก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยฟังเสียงหัวหน้าเรียก โต๊ะทำงานเราอยู่ใกล้ห้องหัวหน้า นอกจากหัวหน้าจะเรียกเราคุยงานแล้ว หัวหน้ายังชอบฝากเราเรียกลูกน้องคนอื่นให้เขาด้วย) หัวหน้าเตือนแล้วเขาก็ยังทำอีก ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้บาดหมางกัน แต่เป็นชนวน เพราะนิสัยแบบนี้ของเขาทำให้เราไม่อยากคุยด้วย เวลาเขาจะนินทาด่าว่าใคร เราไม่เคยร่วมประสมโรงด้วยเลย (ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆจะมีร่วมประสมโรงกับเขาบ้าง) เราจะคุยกับเขาเฉพาะเรื่องงาน (หรือเวลาหัวหน้าฝากเราช่วยเรียกเขาให้ไปพบหัวหน้า)
2. เรารู้สึกได้ว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็ไม่ชอบเราเหมือนกัน ในเมื่อเขาชอบนินทาด่าคนอื่นไปทั่วแม้แต่เรื่องเล็กกระจิด แล้วมีหรือที่เราจะไม่โดน ยิ่งจริตไม่ตรงกันด้วย เราก็ไม่ใช่คนเพอร์เฟ็ค ในที่ทำงานเราเป็นคนสงบเสงี่ยมมาก ไม่ค่อยพูดคุยสัพเพเหระกับใคร ไม่ชอบมีปัญหากับใคร เน้นทำงาน เป็นที่ชื่นชมและไว้ใจของหัวหน้า แต่บางครั้งเราก็เป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งเราถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนหนึ่งพูดจาไม่ดีใส่ต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วเราก็ดันไปเห็นเพื่อนร่วมงานคู่กรณีของเราออกอาการสะใจที่เห็นเราถูกพูดไม่ดีใส่ (เขาไม่ได้ตั้งใจแสดงอาการให้เราเห็น แต่เราตาไว) ซึ่งเราก็ไม่นิ่งเฉย ตอนนั้นเรารู้สึกถูกหยามเกียรติ และคิดว่าตัวเองไม่ผิด เราจึงพูดสวนกลับไปด้วยความไม่พอใจ ซึ่งคนที่พูดไม่ดีกับเราก็ดันสนิทกับคู่กรณีเราด้วย หลังจากนั้นทั้งคนที่พูดไม่ดีกับเรา และคู่กรณีเรา ต่างก็ไม่คุยกับเรา เราก็ไม่อยากคุยกับทั้งคู่เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรากับคู่กรณีบาดหมางกัน
3. หัวหน้ามอบหมายงานเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคู่กรณีเราให้ไปส่งแฟ้มเอกสารเสนอเซ็นทุกวัน (งานส่งแฟ้มหัวหน้ามอบหมายไว้ 2 คน แต่ตอนนี้คนที่เป็นมือ 1 ลาออกไป เขาที่เป็นมือ 2 จึงต้องมาทำหน้าที่เป็นมือ 1 แทนจนกว่าจะมีคนใหม่มาทำหน้าที่มือ 1) วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานคู่กรณีเราก็มาบ่นให้หัวหน้าฟังว่าเขาไม่อยากไปส่งแฟ้มเอกสาร ณ ห้องๆหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ห้องนั้นชอบทำสีหน้าหรือกิริยาไม่ดี (เป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะเก็บมาใส่ใจ) แล้วบังเอิญว่าแฟ้มเอกสารที่ต้องไปส่งที่ห้องนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารงานของเรา หัวหน้าฟังแล้วก็ไม่อยากให้มีปัญหากัน จึงมอบหมายให้เราเป็นคนไปส่งแฟ้มเอกสารที่ห้องๆนั้นแทนเพื่อนร่วมงานคู่กรณีเรา เราก็ยอมทำ หลังจากนั้นคู่กรณีเราก็มีท่าทางกระดี๊กระด๊า พอมีแฟ้มต้องไปส่ง มีทั้งส่วนที่เขาต้องไปส่ง และส่วนที่เราต้องไปส่ง เขาก็ทำเป็นพูดเสียงดังว่า "หน้าที่ใครก็ทำไปนะ" ซึ่งเป็นคำพูดที่กระทบถึงเรา เราไม่โต้ตอบ แต่รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่แย่มาก ไม่มีจิตสำนึก และเราก็รู้สึกถูกเอาเปรียบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เรากับคู่กรณีบาดหมางใจกันมากขึ้น
4. พอไม่ถูกกันแล้วก็ยากที่จะเข้าหน้ากันติด เรากับคู่กรณีไม่พูดคุยกันอีกเลย (ยกเว้นเรื่องงาน และต้องจำเป็นต้องคุยจริงๆ แบบว่าให้คนอื่นคุยแทนไม่ได้แล้ว) เราไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขา ส่วนเขาที่เป็นรุ่นน้อง ปกติจะไหว้ทักรุ่นพี่ตอนมาทำงานและเลิกงาน แต่พอเขาไม่ถูกกับเรา เขาก็เลิกไหว้ทักทายเรา เลิกเคารพเรา ส่วนเราก็จะทำเป็นไม่สนใจเวลาเขาไหว้ทักทายใคร ไม่หันไปมอง และเวลาหัวหน้าเรียกเรียกเขาไปพบ ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงหัวหน้า เราก็จะไม่ช่วยเรียกเขา (ปล่อยให้หัวหน้าเรียกไป หรือไม่ก็รอจนกว่าจะมีคนอื่นได้ยินแล้วช่วยเรียกเขา) หรือเวลาหัวหน้ามอบหมายเขาเอาของไปแจกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พอเขามาถึงโต๊ะเราก็จะยื่นของให้แบบส่งๆ ให้แบบไม่เต็มใจ ให้แบบอยากจะหาเรื่อง (ถ้าโยนขว้างให้ได้คงทำแล้ว) เราก็จะทำเป็นไม่สนใจ ไม่ขอบคุณด้วย ประมาณนี้ และด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อยากทำงานอะไรร่วมกับเขา เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุทะเลาะกัน เราไม่ใช่คนเข้มแข็งที่จะรับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้งได้ ส่วนคู่กรณีเราก็พร้อมบวกตลอดเวลา