ตำนานพระพุทธเจ้า : บทที่ 1 พุทธโกลาหล ณ ดุสิตสวรรค์

เมื่อหนึ่งแสนปีมาแล้ว ก่อนพระศรีศากยมุนีโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จะอุบัติขึ้นบนโลกมนุษย์ ความโกลาหลครั้งใหญ่ได้เกิดปรากฏขึ้นบนสวรรค์ เป็นความโกลาหลที่กึกก้องด้วยเสียงอื้ออึงของเหล่าเทวดาทั้งหลายบนสวรรค์ทั้งหกชั้นฟ้า เสียงนั้นเป็นเสียงแสดงความปีติยินดีอย่างที่สุด

การที่เทวดาจะพากันส่งเสียงแสดงความปีติยินดี หรือบางที่ก็เปล่งเสียงกึกก้องอื้ออึงเพราะเกิดจากความหวาดหวั่น จนกลายเป็นความโกลาหลขึ้นในแดนสวรรค์ได้เช่นนี้มีสาเหตุอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1.เมื่อถึงคราวโลกจะสิ้นกัป ซึ่งจะมีไฟประลัยกัลป์มาเผาผลาญล้างโลก 2.เมื่อถึงคราวจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติบนโลกมนุษย์ 3.เมื่อถึงคราวจะมีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นบนโลก

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อ 1 แสนปีนี้เป็นความโกลาหลที่เกิดจากการจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นบนโลกมนุษย์ในเวลาอีก 1 แสนปีข้างหน้า (ความโกลาหลลักษณะนี้เรียกว่า พุทธโกลาหล) ที่น่าสังเกตก็คือ ถึงแม้จะเกิดโกลาหลไปทั่วทุกชั้นฟ้า ทว่าจุดศูนย์กลางของเหตุอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต

สวรรค์ชั้นดุสิตอันเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์และเทวดาอื่นๆซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญบารมีอย่างต่อเนื่องยาวนาน เมื่อสิ้นอายุจะมาบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ที่นี่ สวรรค์ชั้นดุสิตมีท้าวสันดุสิตเป็นผู้ปกครองดูแล ท้าวสันดุสิตก็เป็นพระโพธิสัตว์ และมีโอกาสจะไปอุบัติในโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
ก่อนพระโพธิสัตว์องค์ใดจะจุติลงไปอุบัติในโลกมนุษย์ จะต้องมีลางหรือสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า 5 ประการว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้จะหมดอายุขัยในอีก 1 แสนปีข้างหน้า เรียกว่า ปัญจบุพนิมิต คือ 

1.ดอกไม้ทิพย์ที่ประดับอยู่จะเริ่มเหี่ยวแห้ง
2.เครื่องทรงจะดูหม่นหมองลงไป
3.น้ำเหงื่อที่ปรกติเทวดาจะไม่มี แต่กลับจะมีไหลออกมาบริเวณรักแร้
4.ร่างกายจะปรากฏอาการผิดปรกติต่างๆขึ้น
5.จะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายวิมานที่ประทับบนสวรรค์นั้น
 
ลางบอกเหตุนี้เกิดขึ้นกับท้าวสันดุสิตครบทั้งห้าประการ แสดงว่าในอีกหนึ่งแสนปีข้างหน้า ท้าวสันดุสิตจะจุติจากดุสิตสวรรค์ไปอุบัติยังโลกมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและประกาศศาสนาของพระองค์สมตามความปรารถนาที่ตั้งมั่นบำเพ็ญบารมีต่อเนื่องยาวนานถึง 20 อสงไขย แสนมหากัป และจะนับเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่แห่งภัททกัปต่อจากพระกัสสปพุทธเจ้า

เทวดาทั้งหลายต่างก็เกิดความปีติยินดีที่พระสันดุสิตจะจุติลงไปอุบัติบนโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อศาสนาพุทธไม่ให้ขาดหายไป หลังจากพระกัสสปพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว โลกมนุษย์จะได้มีพระพุทธเจ้าอีก จึงส่งเสียงกึกก้องอื้ออึงด้วยความปีติยินดีเป็นโกลาหล

เมื่อเกิดโกลาหลขึ้น เหล่าเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่สถิตอยู่บนสวรรค์ทั้งหกชั้นฟ้าจึงต่างมาร่วมชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งท้าวมหาพรหม ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ท้าวสันดุสิต ท้าวสักกเทวราช ท้าวเทวราชผู้ปกครองสวรรค์แต่ละชั้นฟ้า และเทวดาชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ ไม่มีองค์ใดขาดหายไปเลย

“ท่านเป็นผู้ใหญ่ในแดนสวรรค์ ท่านคงได้รับรู้กันแล้วว่า บุพนิมิต 5 ประการได้เกิดขึ้นกับพระโพธิสัตว์สันดุสิต แสดงว่า ถึงเวลาที่พระโพธิสัตว์สันดุสิตจะจุติจากสวรรค์ลงไปอุบัติยังโลกมนุษย์แล้ว”

ท้าวมหาพรหม เทพอาวุโสสูงสุดของเหล่าทวยเทพในแดนสวรรค์ประกาศต่อที่ประชุมเทวดาชั้นผู้ใหญ่
“อันพระโพธิสัตว์สันดุสิตนี้ ได้ตั้งความปรารถนาและมุ่งมั่นบำเพ็ญบารมีอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาถึง 20 อสงไขย แสนมหากัป เพื่อหวังผลว่าจะได้อุบัติเป็นพระพุทธเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์ และได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนแล้ว 24 องค์ นับแต่ทีปังกรพุทธเจ้าเป็นองค์แรก ดังนั้นพระโพธิสัตว์สันดุสิตจึงมีความเหมาะสมที่จะอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อพระพุทธศาสนา สั่งสอนมนุษย์ให้ทำแต่ความดี มีศีลธรรม ช่วยให้โลกมนุษย์มีแต่ความสงบสุข”

ท้าวมหาพรหมทอดพระเนตรไปท่ามกลางที่ประชุม ก่อนจะมาหยุดลงตรงเฉพาะพระพักตร์องค์พระโพธิสัตว์สันดุสิต แล้วตรัสต่อไปว่า
“จึงขอชวนเชิญท่านทั้งหลายมาร่วมกันอาราธนาพระสันดุสิตผู้ประเสริฐให้จุติลงไปยังโลกมนุษย์ และอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อจากพระกัสสปพุทธเจ้า ขอให้ทุกท่านเปล่งเสียงคำว่า สาธุ เป็นการแสดงความเห็นชอบร่วมกันในการอาราธนานี้เถิด”
สิ้นเสียงท้าวมหาพรหมผู้อาวุโส บัดนั้นที่ประชุมก็เปล่งเสียงขึ้นพร้อมกันด้วยความปีติยินดีว่า
“สาธุ สาธุ สาธุ”

พระโพธิสัตว์สันดุสิตตื้นตันใจที่จะได้สมความปรารถนาในการบำเพ็ญบารมีต่อเนื่องยาวนานมาถึง 20 อสงไขย แสนมหากัป จะได้จุติลงไปอุบัติบนโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงยืนขึ้นแล้วประกาศต่อที่ประชุมว่า

“การที่บรรดาท่านทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาอันเหมาะ สมควรที่เราจะจุติลงไปอุบัติยังโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอีกหนึ่งแสนปีนั้น เราไม่ขัดข้องแต่ประการใด ทว่าการที่พระโพธิสัตว์พระองค์ใดจะจุติลงไปอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องพิจารณาถึงสิ่งสำคัญ 5 ประการเพื่อความควรแก่การอุบัติ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ก่อนที่เราจะรับคำอาราธนาจากท่านทั้งหลาย เราขอเวลาเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ก่อน เมื่อเราพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจึงจะแจ้งแก่ท่าน”

สิ่งสำคัญห้าประการที่พระโพธิสัตว์จะต้องพิจารณานี้เรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ ได้แก่ กาลเวลา ทวีป กาลประเทศ ตระกูล และพระพุทธมารดา
พระสันดุสิตทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะหรือสิ่งสำคัญที่พระโพธิสัตว์ต้องพิจารณาเลือกก่อนจุติ ดังนี้

กาลเวลา หมายถึง อายุขัยของมนุษย์ที่กำหนดไว้เป็นช่วงๆ มีตั้งแต่ 10 ปี ถึง 1 อสงไขย พระสันดุสิตพิจารณาว่า ควรเลือกเอายุคสมัยที่อายุขัยของมนุษย์มีกำหนดเวลาพอเหมาะพอดีต่อการรับฟังและเข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนและคิดตามได้อย่างลึกซึ้ง คือยุคที่มนุษย์มีอายุได้ประมาณ 100 ปี (คือยุคปัจจุบันนี้)

ทวีป โลกสมัยนั้นถือเอาเขาพระสิเนรุเป็นศูนย์กลางโลก มีทวีปอยู่โดยรอบ 4 ทวีป ทั้งสี่ทิศ พระสันดุสิตเลือกที่จะจุติลงมาอุบัติในชมพูทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ ด้วยเห็นความเป็นอยู่ของมนุษย์ในชมพูทวีปจะมีทั้งความสุขและความทุกข์คละเคล้ากัน ทำให้สามารถชี้ถึงสุขและทุกข์ได้ง่ายกว่ามนุษย์ในทวีปอื่น

กาลประเทศ คือ ภาคส่วนของทวีปในเวลานั้น พระสันดุสิตเลือกเอามัชฌิมประเทศคือภาคกลางของชมพูทวีป ที่มีความเจริญรุ่งเรือง ประชากรมีจำนวนมาก สำนักศึกษาศิลปะวิทยาการก็มีมาก จะสามารถเผยแผ่พระศาสนาได้ง่ายขึ้น

ตระกูล ในสมัยนั้นมนุษย์ในชมพูทวีปมีการแบ่งชั้นวรรณะ วรรณะพราหมณ์กับวรรณะกษัตริย์จะได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณะสูง พระสันดุสิตเลือกจะอุบัติในวรรณะกษัตริย์ ซึ่งเวลานั้นมีอำนาจเหนือวรรณะอื่นและเลือกเอาตระกูลศากยะของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งนครกบิลพัสดุ์

พระพุทธมารดา ทรงเลือกพระนางสิริมหามายา พระมเหสีขงพระเจ้าสุทโธนะ เพราะพระนางทรงแสดงความปรารถนาจะเป็นพระพุทธมารดาและสั่งสมบารมีตั้งแต่ชาติก่อนหน้านี้มาเป็นเวลา 1 อสงไขย ในชาตินี้ ทรงประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม และพระนางจะสวรรคตตามอายุขัยในเวลา 10 เดือน กับ 7 วัน นับจากเมื่อพระโพธิสัตว์จุติมาอุบัติในพระครรภ์ของพระนาง

ครั้นเมื่อพระสันดุสิตพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้แจ้งแก่ที่ประชุมเทพทั้งหลายว่า พระองค์รับคำอาราธนาในการจุติลงไปอุบัติเป็นมนุษย์และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่ประชุมทวยเทพทุกชั้นฟ้าต่างแสดงความยินดีปรีดา เปล่งวาจา สาธุ สาธุ สาธุ เป็นการรับรองคำรับอาราธนาของพระสันดุสิต
เหล่าเทวดาทุกองค์ทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างพากันส่งเสียงกึกก้องอื้ออึงเป็นโกลาหล โปรยปรายดอกไม้ทิพย์ไปทั่วทุกชั้นฟ้า ตลอดรวมทั้งในโลกมนุษย์ก็บังเกิดความโกลาหลด้วยปรากฏเสียงกึกก้องอื้ออึง ส่วนแดนนรกก็เช่นกัน โดยเฉพาะในแดนอเวจีที่เป็นนรกชั้นต่ำสุดและมืดมิดตลอดกาล ก็เกิดแสงสว่างกระจ่างขึ้น เพื่อเป็นการรับรู้ถึงการจะมีพระโพธิสัตว์มาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมกันไปด้วย

เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง พระสันดุสิตก็เสด็จเข้าสู่สวนนันทวัน สถานที่อันรื่นรมย์ด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์และสิ่งอันเป็นทิพย์ทั้งปวง สมเป็นแดนสวรรค์ ประทับบำเพ็ญบารมีรำลึกถึงกุศลกรรมที่เคยบำเพ็ญมา รอเวลาที่จะจุติลงไปอุบัติยังโลกมนุษย์
กำหนดวันที่พระสันดุสิตจุติจากดุสิตสวรรค์ลงไปอุบัติยังโลกมนุษย์ ตรงกับวันอาสาฬหปุรณมี คือวันเพ็ญเดือน 8
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่