ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่กระทู้ 5 คดีแปลกในแดนปลาดิบ
ญี่ปุ่น ดินแดนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าหลงใหล ทิวทัศน์อันงดงาม และความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ยังเป็นสถานที่สำหรับคดีที่น่างงงวยและลึกลับมากมายที่ยังเหลือผู้สืบสวนอยู่ และประชาชนก็งงงัน ตั้งแต่การหายตัวไปอย่างไม่ได้รับการแก้ไขไปจนถึงเหตุการณ์อาถรรพณ์อันน่าขนลุก ความลึกลับเหล่านี้ได้สะกดจิตจินตนาการของผู้คนทั่วโลก และปกคลุมญี่ปุ่นด้วยกลิ่นอายแห่งความอุตสาหะและความน่าหลงใหล ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกคดีลึกลับที่สุดบางคดีในญี่ปุ่น โดยพยายามค้นหาความกระจ่างเกี่ยวกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ และสำรวจรอยเท้าลึกลับที่ทำให้เราสงสัยมานานหลายปี เข้าร่วมกับเราในการเดินทางครั้งนี้ในขณะที่เราเปิดเผยความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย
1. ฆาตกรรมชวนขนหัวลุกของเด็ก 2 ขวบ
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ในปี 1984 พบเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ชื่อมากิโกะ สึชิยามะ นอนคว่ำหน้าอยู่ในคูระบายน้ำในซอยหลังบ้านของเธอ เธอหมดสติและดูเหมือนว่าเธอถูกสายไฟรัดคอ โดย 9 ชม.ต่อมาเธอได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล
สิ่งที่ทำให้คดีนี้แปลกมากขึ้นคือ สึชิยามะถูกพบว่าหมดสติในสถานที่เดียวกันกับเมื่อเดือนก่อนเกิดเหตุ แต่เธอรอดชีวิตมาได้ในครั้งนั้น และคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ ทางตำรวจสันนิษฐานว่าสึชิยามะถูกมัดด้วยเชือกไวนิลที่อยู่หน้าประตูบ้านของเธอเอง
หลังจากเกิดเหตุการณ์แรกไม่นานปู่ของสึชิยามะได้รับโทรศัพท์แปลก ๆ จากผู้หญิงคนหนึ่ง เธอร้องไห้และพูดจาไม่รู้เรื่อง ก่อนที่เธอจะพูดคำว่า “ฉันขอโทษ” แล้วก็วางสายไป ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุตัวคนที่โทรมาและฆาตกรได้เลย
2. การหายตัวไปของชินยะ มัตสึโอกะในเวลาเพียง 40 วินาที
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 1989 ชินยะ มัตสึโอกะ วัย 4 ขวบ ได้ไปเดินเล่นกับพ่อแม่พี่น้องและพี่น้องของเขา เมื่อกลับถึงบ้าน มัตสึโอกะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่สนามหญ้าหน้าบ้านเป็นเวลาประมาณ 40 วินาทีในขณะที่พ่อแม่ของเธออุ้มน้องชายกับพี่สาวของเขาเข้าไปข้างใน ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ มัตสึโอกะก็หายตัวไป
ทางตำรวจได้ออกค้นหาอย่างกว้างขวางแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ เบาะแสเดียวคือโทรศัพท์แปลก ๆ ที่โทรบอกพ่อแม่ของมัตสึโอกะว่า ลูกคุณต้องชำระค่าใช้จ่ายในส่วนของโรงเรียนอนุบาล แต่ไม่มีการชำระเงินใด ๆ เลย ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าโทรศัพท์ดังกล่าว เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างไร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีรายงานการพบเห็นมัตสึโอกะมากมาย แต่ก็ไม่มีใครระบุว่าพบเขาได้ที่ไหน หนึ่งในทฤษฎีเชื่อว่าเขาถูกลักพาตัวโดยสายลับของเกาหลีเหนือ แม้เรื่องนี้จะฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ก็มีเอกสารแสดงให้เห็นถึงการลักพาตัวของชาวเกาหลีเหนือที่เกิดขึ้นหลายกรณีในปี 1970 และ 1980
3. ประหารชีวิตสมาชิกลัทธิ “โอมชินริเกียว”
ทางการญี่ปุ่นประหารชีวิตสมาชิกลัทธิ “โอมชินริเกียว”หลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีการใช้แก๊สพิษซารินก่อวินาศกรรมรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 20 มี.ค ปี 1995 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน และ บาดเจ็บอีกหลายพันคน สำหรับลัทธิโอมชิริเกียว เป็นองค์กรที่ถูกยอมรับโดยทางการญี่ปุ่นว่าเป็นองค์กรทางศาสนา ในปี 1989 และมีจำนวนสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ก่อนจะค่อยๆกลายเป็นองค์กรที่มีความเชื่อในเรื่องวันสิ้นโลกเพราะเกิดสงคราม และเชื่อว่าสมาชิกของลัทธิเท่านั้นที่จะอยู่รอด
4. หญิงคนหนึ่งล้มลงที่ระเบียง มีกรรไกรติดอยู่ในหัวลึก 5 ซ.ม.เสียชีวิต
แต่หลังจากได้ชันสูตรพลิกศพแล้วพบว่า เธอเสียชีวิตเพราะลมแดด หรือ Heatstroke ตอนนี้ทางตำรวจได้ตรวจหารอยนิ้วมือขึ้นบนราวบันได และรอยเท้าตามทางเดิน และจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่ด้านตรงข้ามอีกครั้ง โดยสงสัยว่า เธออาจจะล้มลงแล้วกรรไกรในมือไปเจาะเข้าที่หัวพอดี เพราะเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา อุณหภูมิสูงสุดในเมืองโอซาก้าพุ่งไปแตะ 30.7 องศา ความชื้นเฉลี่ย 87% โดยการที่อุณหภูมิและความชื้นสูง เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคลมแดด ครึ่งแรกของเดือนนี้เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ในโตเกียว ส่วนโอซาก้าร้อนที่สุดในรอบ 7 ปี ความชื้นเพิ่มขึ้นตามฤดูฝน ว่ากันว่า การสวมหน้ากากอาจเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจอัตราการหายใจ และทำให้ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงขึ้น อาจสร้างความเครียดให้กับร่างกายและมีความเสี่ยงของโรคลมแดดอีกด้วย
5. ฆ่าเพราะเป็นห่วง? ของเด็กญี่ปุ่นวัย 15
เมืองไซตามะของญี่ปุ่นได้มี ตอนนั้นเด็กชาย A (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี กลับจากโรงเรียนราวๆ 6 โมงเย็น แล้วเข้าไปหาคุณตาตัวเองที่บ้าน จากนั้นเขาได้ลงมือแทงคุณตาวัย 87 ปีนับ 10 แผล แถมยังแทงทะลุลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน และจัดการลงมือฟันเข้าที่คอของคุณยายวัย 82 ปีด้วย! หลังก่อเหตุสะเทือนขวัญแล้ว เด็กชายก็รีบหนีจากบ้านทันที จัดการเปลี่ยนเสื้อและทิ้งชุดนักเรียนที่ชุ่มเลือดเอาไว้แถวนั้น จนเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า คุณแม่กลับบ้านมาพบศพคุณตาจึงรีบโทรแจ้งตำรวจยังมีเคราะห์ดีพราะคุณยายรอดชีวิต ถัดจากวันก่อเหตุเพียงวันเดียว เด็กชาย A ถูกพบตัวที่สถานีรถไฟคาวาโกเอะซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 20 กิโลเมตร เขาถูกจับกุมพร้อมกับพร้อมกับหลักฐานเป็นมีดในกระเป๋า 4 เล่ม และ 1 ในนั้นมีเล่มที่เปื้อนเลือด ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเลือดของคุณตาที่เขาสังหารโหดไปก่อนหน้านี้เขาก็รับสารภาพกับตำรวจว่าสิ่งที่เขาทำเกิดจากความตั้งใจล้วนๆ โดยให้เหตุผลว่า"จริงๆ ผมอยากฆ่าเพื่อนร่วมห้องคนนึง แต่ผมรู้ว่าว่าถ้าฆ่าไปแล้ว ครอบครัวผมต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ ผมเลยชิงลงมือฆ่าคนในครอบครัวผมก่อน! ถึงจะอย่างนั้นเพื่อนที่เขาหมายหัวไว้ว่าจะฆ่าตั้งแต่แรกก็รอดหวุดหวิดเจ้าหน้าตำรวจให้ความเห็นว่า การฆ่าคนในครอบครัวตัวเองก่อนจะไปลงมือฆ่าคนอื่น เป็นวัฒนธรรมที่เข้าใจได้สำหรับคนญี่ปุ่น แต่น่าจะเข้าใจยากสำหรับคนต่างชาติ ส่วนตัวเขาเองก็เชื่อและเข้าใจความรู้สึกของเด็กชาย A
5 คดีแปลกในแดนปลาดิบ
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะญี่ปุ่น ดินแดนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าหลงใหล ทิวทัศน์อันงดงาม และความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ยังเป็นสถานที่สำหรับคดีที่น่างงงวยและลึกลับมากมายที่ยังเหลือผู้สืบสวนอยู่ และประชาชนก็งงงัน ตั้งแต่การหายตัวไปอย่างไม่ได้รับการแก้ไขไปจนถึงเหตุการณ์อาถรรพณ์อันน่าขนลุก ความลึกลับเหล่านี้ได้สะกดจิตจินตนาการของผู้คนทั่วโลก และปกคลุมญี่ปุ่นด้วยกลิ่นอายแห่งความอุตสาหะและความน่าหลงใหล ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกคดีลึกลับที่สุดบางคดีในญี่ปุ่น โดยพยายามค้นหาความกระจ่างเกี่ยวกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ และสำรวจรอยเท้าลึกลับที่ทำให้เราสงสัยมานานหลายปี เข้าร่วมกับเราในการเดินทางครั้งนี้ในขณะที่เราเปิดเผยความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย
1. ฆาตกรรมชวนขนหัวลุกของเด็ก 2 ขวบ
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ในปี 1984 พบเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ชื่อมากิโกะ สึชิยามะ นอนคว่ำหน้าอยู่ในคูระบายน้ำในซอยหลังบ้านของเธอ เธอหมดสติและดูเหมือนว่าเธอถูกสายไฟรัดคอ โดย 9 ชม.ต่อมาเธอได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล
สิ่งที่ทำให้คดีนี้แปลกมากขึ้นคือ สึชิยามะถูกพบว่าหมดสติในสถานที่เดียวกันกับเมื่อเดือนก่อนเกิดเหตุ แต่เธอรอดชีวิตมาได้ในครั้งนั้น และคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ ทางตำรวจสันนิษฐานว่าสึชิยามะถูกมัดด้วยเชือกไวนิลที่อยู่หน้าประตูบ้านของเธอเอง
หลังจากเกิดเหตุการณ์แรกไม่นานปู่ของสึชิยามะได้รับโทรศัพท์แปลก ๆ จากผู้หญิงคนหนึ่ง เธอร้องไห้และพูดจาไม่รู้เรื่อง ก่อนที่เธอจะพูดคำว่า “ฉันขอโทษ” แล้วก็วางสายไป ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุตัวคนที่โทรมาและฆาตกรได้เลย
2. การหายตัวไปของชินยะ มัตสึโอกะในเวลาเพียง 40 วินาที
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 1989 ชินยะ มัตสึโอกะ วัย 4 ขวบ ได้ไปเดินเล่นกับพ่อแม่พี่น้องและพี่น้องของเขา เมื่อกลับถึงบ้าน มัตสึโอกะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่สนามหญ้าหน้าบ้านเป็นเวลาประมาณ 40 วินาทีในขณะที่พ่อแม่ของเธออุ้มน้องชายกับพี่สาวของเขาเข้าไปข้างใน ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ มัตสึโอกะก็หายตัวไป
ทางตำรวจได้ออกค้นหาอย่างกว้างขวางแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ เบาะแสเดียวคือโทรศัพท์แปลก ๆ ที่โทรบอกพ่อแม่ของมัตสึโอกะว่า ลูกคุณต้องชำระค่าใช้จ่ายในส่วนของโรงเรียนอนุบาล แต่ไม่มีการชำระเงินใด ๆ เลย ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าโทรศัพท์ดังกล่าว เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างไร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีรายงานการพบเห็นมัตสึโอกะมากมาย แต่ก็ไม่มีใครระบุว่าพบเขาได้ที่ไหน หนึ่งในทฤษฎีเชื่อว่าเขาถูกลักพาตัวโดยสายลับของเกาหลีเหนือ แม้เรื่องนี้จะฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ก็มีเอกสารแสดงให้เห็นถึงการลักพาตัวของชาวเกาหลีเหนือที่เกิดขึ้นหลายกรณีในปี 1970 และ 1980
3. ประหารชีวิตสมาชิกลัทธิ “โอมชินริเกียว”
ทางการญี่ปุ่นประหารชีวิตสมาชิกลัทธิ “โอมชินริเกียว”หลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีการใช้แก๊สพิษซารินก่อวินาศกรรมรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 20 มี.ค ปี 1995 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน และ บาดเจ็บอีกหลายพันคน สำหรับลัทธิโอมชิริเกียว เป็นองค์กรที่ถูกยอมรับโดยทางการญี่ปุ่นว่าเป็นองค์กรทางศาสนา ในปี 1989 และมีจำนวนสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ก่อนจะค่อยๆกลายเป็นองค์กรที่มีความเชื่อในเรื่องวันสิ้นโลกเพราะเกิดสงคราม และเชื่อว่าสมาชิกของลัทธิเท่านั้นที่จะอยู่รอด
4. หญิงคนหนึ่งล้มลงที่ระเบียง มีกรรไกรติดอยู่ในหัวลึก 5 ซ.ม.เสียชีวิต
แต่หลังจากได้ชันสูตรพลิกศพแล้วพบว่า เธอเสียชีวิตเพราะลมแดด หรือ Heatstroke ตอนนี้ทางตำรวจได้ตรวจหารอยนิ้วมือขึ้นบนราวบันได และรอยเท้าตามทางเดิน และจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่ด้านตรงข้ามอีกครั้ง โดยสงสัยว่า เธออาจจะล้มลงแล้วกรรไกรในมือไปเจาะเข้าที่หัวพอดี เพราะเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา อุณหภูมิสูงสุดในเมืองโอซาก้าพุ่งไปแตะ 30.7 องศา ความชื้นเฉลี่ย 87% โดยการที่อุณหภูมิและความชื้นสูง เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคลมแดด ครึ่งแรกของเดือนนี้เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ในโตเกียว ส่วนโอซาก้าร้อนที่สุดในรอบ 7 ปี ความชื้นเพิ่มขึ้นตามฤดูฝน ว่ากันว่า การสวมหน้ากากอาจเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจอัตราการหายใจ และทำให้ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงขึ้น อาจสร้างความเครียดให้กับร่างกายและมีความเสี่ยงของโรคลมแดดอีกด้วย
5. ฆ่าเพราะเป็นห่วง? ของเด็กญี่ปุ่นวัย 15
เมืองไซตามะของญี่ปุ่นได้มี ตอนนั้นเด็กชาย A (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี กลับจากโรงเรียนราวๆ 6 โมงเย็น แล้วเข้าไปหาคุณตาตัวเองที่บ้าน จากนั้นเขาได้ลงมือแทงคุณตาวัย 87 ปีนับ 10 แผล แถมยังแทงทะลุลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน และจัดการลงมือฟันเข้าที่คอของคุณยายวัย 82 ปีด้วย! หลังก่อเหตุสะเทือนขวัญแล้ว เด็กชายก็รีบหนีจากบ้านทันที จัดการเปลี่ยนเสื้อและทิ้งชุดนักเรียนที่ชุ่มเลือดเอาไว้แถวนั้น จนเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า คุณแม่กลับบ้านมาพบศพคุณตาจึงรีบโทรแจ้งตำรวจยังมีเคราะห์ดีพราะคุณยายรอดชีวิต ถัดจากวันก่อเหตุเพียงวันเดียว เด็กชาย A ถูกพบตัวที่สถานีรถไฟคาวาโกเอะซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 20 กิโลเมตร เขาถูกจับกุมพร้อมกับพร้อมกับหลักฐานเป็นมีดในกระเป๋า 4 เล่ม และ 1 ในนั้นมีเล่มที่เปื้อนเลือด ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเลือดของคุณตาที่เขาสังหารโหดไปก่อนหน้านี้เขาก็รับสารภาพกับตำรวจว่าสิ่งที่เขาทำเกิดจากความตั้งใจล้วนๆ โดยให้เหตุผลว่า"จริงๆ ผมอยากฆ่าเพื่อนร่วมห้องคนนึง แต่ผมรู้ว่าว่าถ้าฆ่าไปแล้ว ครอบครัวผมต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ ผมเลยชิงลงมือฆ่าคนในครอบครัวผมก่อน! ถึงจะอย่างนั้นเพื่อนที่เขาหมายหัวไว้ว่าจะฆ่าตั้งแต่แรกก็รอดหวุดหวิดเจ้าหน้าตำรวจให้ความเห็นว่า การฆ่าคนในครอบครัวตัวเองก่อนจะไปลงมือฆ่าคนอื่น เป็นวัฒนธรรมที่เข้าใจได้สำหรับคนญี่ปุ่น แต่น่าจะเข้าใจยากสำหรับคนต่างชาติ ส่วนตัวเขาเองก็เชื่อและเข้าใจความรู้สึกของเด็กชาย A