สวัสดีค่ะ เป็นกระทู้แรกเลยที่มาโพสต์ลงในพันทิป เป็นเรื่องที่ไม่กล้าปรึกษาใคร เราอายุ 49 ปีแล้ว อาจเป็นป้า เป็นแม่ เป็นน้าของใครหลาย ๆ คนในนี้ได้ หลังเรียนจบป.ตรีก็บรรจุเข้ารับราชการ ตอนนี้ทำงานมาได้เกิน 25 ปีแล้ว เงินเดือนก็48,xxx บาท เราแต่งงานครั้งแรกตอนอายุ 25 ปี ตอนอายุ 28 ปีก็มีลูก 1 คน ตอนคลอดจับได้ว่าสามีนอกใจ ช็อกมาก เสียใจและเครียดจนไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน พ่อกับแม่ให้เลือกเอาว่าจะหย่าหรือจะทน ความที่ตอนนั้นยังเด็ก เงินเดือนก็น้อย กลัวและอายกับคำว่าหม้ายและสงสารลูกจะไม่มีพ่อ จึงเลือกให้โอกาสเขา ก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยบนความหวาดระแวง ต่างคนต่างทำงานและเลี้ยงลูกตามกำลัง กระทั่งจากวันนั้นผ่านไป 10 ปี เขานอกใจอีกหน คราวนี้ตัดสินใจหย่า และเลี้ยงลูกเองโดยให้เขาจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรให้ทุกเดือน ในการจับได้ว่าเขานอกใจ เราได้บอกให้สามีของผู้หญิงคนนั้นรู้ด้วย กลายเป็นสร้างความแค้นเพราะผู้หญิงคนนั้นตามรังควานเรา ช่วงนั้นทุกข์มาก กลัวลูกมีอันตราย เพราะยังเล็กและอยู่เรียนชั้นประถม ไม่กล้าพักหอกันเหมือนเดิมแล้ว ต้องกลับไปอยู่บ้านใกล้พ่อแม่ แล้วเดินทางไปกลับที่ทำงานวันละเกือบ 100 กิโลแทน ค่าน้ำมันเปลืองมาก แต่ก็ทน
จากนั้นผ่านไปปีกว่า เราก็เจอกับผู้ชายคนใหม่ที่ปัจจุบันยังอยู่ด้วยกัน เขาก็เลิกกับภรรยาเหมือนกัน มีลูกชาย 2 คน อายุน้อยกว่าลูกชายเรา 2 และ 3 ปีตามลำดับ ประเด็นปัญหาที่เกิดต่อจากนี้แหละที่เรากำลังเผชิญอยู่และตอนนี้เหมือนตัวเองตาบอด มองไม่เห็นหนทางข้างหน้าเลย
พวกเขา 3 คนพ่อลูกย้ายมาจากกรุงเทพ เขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ของลูก แต่ยกบ้านที่กรุงเทพให้ ตัวเองเอาลูกมาเลี้ยงตามประสาผู้ชายรักลูก หวงลูกและหลงลูก อาชีพเดิมคือเป็นผู้รับเหมา ก็คงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเพราะสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินสด แต่พอจากมาอยู่ไกล ก็ทิ้งงานเดิม จะมาเอาดีทางการเทรดหุ้น เพราะตอนทำงานรับเหมาก่อสร้างก็เทรดไปด้วย ทำงานรับเหมาไปด้วย ก็สร้างรายได้ให้พอใช้จ่ายอยู่ (เขาบอกอย่างนั้น จริงหรือไม่เราไม่รู้หรอก) เรามีบ้านแค่ไกลจากตัวเมืองเกือบ 50 กิโล เราบอกว่าให้ไปอยู่กันที่บ้านนั้นแหละ แต่เขาบอกว่าไม่เอา ไกลเกินไปเพราะเด็กต้องเข้าโรงเรียน จะหาซื้อบ้านมือสองในเมือง แต่ขอให้เรากู้ธนาคารนะ เพราะเขาไม่มีรายได้ประจำ แต่เขาสามารถหาเงินได้แน่ เขาจะเป็นคนจ่ายค่าผ่อนบ้านเอง เราแค่ช่วยเป็นคู่สัญญาให้ โอเค...เราก็ทำให้ ธนาคารอนุมัติผ่าน ก็ย้ายเข้าไปอยู่ ก่อนหน้าที่เขาย้ายมาก็ไปสู่ขอเรากับพ่อ เราไม่ได้จัดงานแต่งงานอะไร ไม่มีสินสอด เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเคยมีครอบครัวมาแล้ว ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รักกันดี
แต่อยู่ไป ๆ เขาก็ทำเงินจากการเทรดหุ้นไม่ได้เลย ยิ่งเทรดยิ่งเสีย เงินก้อนที่มีติดตัวมาก็หมด ขายรถยนต์ของเขาเพื่อเปลี่ยนเป็นรถที่ราคาถูกลงให้มีเงินเหลือมาเป็นทุนเทรดก็ทำ ระหว่างนั้นเราก็ผ่อนบ้านไปเรื่อย ๆ ภาระค่าใช้จ่ายในบ้านก็รับไป ซึ่งจริง ๆ เราก็มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่ก่อนแล้ว เช่น มีเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ของที่ทำงาน และ ผ่อนบ้านที่อยู่ติดบ้านพ่อแม่ซึ่งสามีเก่าเป็นคนกู้และผ่อนเกือบหมดแล้ว เราเห็นว่าเราจะเป็นฝ่ายอยู่อาศัยไปตลอด จึงรับภาระหนี้ที่เหลืออีก 300,000 เองเป็นต้น เขาเองพอเทรดไม่ได้ ก็เครียด เราเองก็เครียดกับค่าใช้จ่ายที่รับภาระ แรก ๆ เขาก็กลับไปช่วยเพื่อนที่เป็นผู้รับเหมาเหมือนกันทำงาน ครั้งละ 3 เดือน 6 เดือน ตอนไปก็บอกให้ไปช่วยคุมงาน ตกลงแบ่งกำไรให้ แต่พองานจบ ไม่ได้แบ่งให้ตามที่พูด ต้องเทียวขับรถไปตั้งหลายร้อยกิโลเพื่อขอเงิน แล้วก็ได้มาครั้งละ 10,000 บาท ไปอยู่ 2 ครั้ง เห็นสายตาที่เขามองแล้วรู้สึกเหมือนเราเป็นขอทาน (ไปด้วยกัน) เราโมโหก็เลยบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว และให้เลิกคบกับยายเจ๊นั้นไปเลย ก็กลับมาอยู่บ้าน เด็ก ๆ ลูกของเขาก็กำลังวัยรุ่น ดื้อตามประสาผู้ชายอีก หัวจะปวด อันลูกชายเราน่ะเป็นลูกแม่ ใกล้ชิดเรา พูดคุยกันทุกเรื่อง เรารู้ว่าลูกเราเป็นยังไง เป็นเด็กเรียน ทำงานสภานักเรียน ตอนนี้เรียน ป.ตรีก็ได้ทุนเรียนฟรี แต่เขาเลี้ยงลูกแบบผู้ชาย ก็หัวหกก้นขวิด มันไปคนละทาง เราแตะต้องไม่ค่อยได้ แตะทีไรได้ทะเลาะกันทุกที
เราพูดบ่อยเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน ในเมื่อเขาไม่กลับไปทำงานรับเหมาเพราะอ้างว่าไกลบ้าน ถ้าทำที่นี่ก็เริ่มต้นไม่ได้แล้วเพราะไม่รู้จักใคร จะเอาดีแต่ทางเทรดหุ้นอย่างเดียว สุดท้ายรถยนต์ก็ขายหมด เหลือคันที่เราใช้อยู่คันเดียว (จริง ๆ มี 2 คันก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะเขาก็อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน) เด็ก ๆ ก็ขี่มอไซค์ไปเรียน ทีนี้ถ้าจะหารายได้เพิ่ม ก็เลยตกลงกันว่ากลางคืนกับวันหยุดต้องทำขนมฝากขายร้านของฝาก กับ ในโรงเรียน ก็พอได้ยอดขายสัปดาห์ละ 3-4 พัน กำไรก็สัปดาห์ละ 1 พันกว่าบาท ซึ่งก็ยังไม่พอ สุดท้ายเขาก็กลับไปทำงานกรุงเทพอีกรอบ เป็นงานรับเหมาเหมือนเดิม แต่เป็นอะไรไม่รู้ ทำอยู่ได้ไม่ถึง 2 เดือน ก็กลับบ้าน งานก็ยังไม่เสร็จ แต่ไม่ยอมไปทำต่อ บอกไม่อยากไป อยากอยู่บ้าน คิดถึงลูก คิดถึงเมีย อยู่ทางโน้นแล้วเหงาไม่มีใคร เราก็ได้แต่เงียบ พยายามมากเลยในการประคับประคองฐานะครอบครัว เมื่อไม่พอใช้จ่าย ถามเขา ๆ ก็พูดอยู่คำเดียวว่า ไม่มี เราก็จำเป็นต้องวิ่งหากู้เงินมา ทั้งกู้สหกรณ์ รีไฟแนนซ์บ้าน บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด รถยนต์ ที่ดิน เข้าไฟแนนซ์หมด จากที่เคยให้เงินพ่อทุกเดือน กลายเป็นขอยืมเงินพ่อ ซึ่งในขณะที่เราวิ่งวุ่นหัวหมุนหาเงิน เขาก็บอกอยู่ซ้ำ ๆ แบบเดิมว่าเดี๋ยวเขาก็จะเทรดได้ ใจเย็น ๆ รออีกนิด เขาจับทางได้แล้ว เขาว่าเขาชนะมันได้แล้ว ฯลฯ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบ 10 ปีแล้ว ตอนนี้รอบตัวเรามีแต่หนี้สิน เขาไม่ยอมไปทำงานหาเงิน ตอนนี้อ้างว่า รถก็ไม่มี เพื่อนฝูงก็ล้ำหน้าไปไกลแล้ว ถ้าไปของานทำ จะบากหน้าไปในสภาพไหน ขอยืมพี่ๆ เขาก็เกษียณกันหมดแล้ว ไม่ได้มีเงินเดือนมากมายเหมือนแต่ก่อน ก็จริงนะ เขาไม่เคยยืมเงินพี่ ๆ ได้เพราะยืมแล้วไม่ใช้คืน พวกเขาเลยให้มาแค่ทีละ 1000 - 2000
เมื่อเดือนตุลา 66 เรากับเขาทะเลาะกันหนักมาก จริง ๆ ต้นเรื่องมีแค่นิดเดียวคือ นอกจากเขาจะให้ลูกกู้เงินกยศ.เรียนแล้ว ยังให้ลูกหางานพิเศษทำ โดยที่ตัวเองไม่ยอมทำงาน หวังจะรวยจากการเทรดหุ้นอย่างเดียว จนลูกของเขาออกปากพูดว่า ไหนบอกว่าเทรดหุ้นแล้วได้เงิน ทุกวันนี้ไม่เห็นได้อะไรเลย ลูกก็ติดเพื่อนมากกว่าเพราะยามไม่มีเงินก็พึ่งเพื่อนได้มากกว่าพ่อตัวเอง กลับดึกเพราะไปกับเพื่อนแล้วก็มาทะเลาะกับพ่อ เราก็เลยพูดว่าในความรับผิดชอบของพ่อคือมีหน้าที่ดูแลลูกนะ เขาก็ทะเลาะกับเราบานปลายใหญ่โต ไม่ให้ยุ่ง เขาเลี้ยงลูกในแบบของเขา ซึ่งเรามองว่าการให้เด็กทำงานพิเศษเป็นเรื่องดี แต่พ่อแม่ก็ต้องซัพพอร์ทลูกด้วย ไม่ใช่ปล่อยลูกไปเผชิญชะตากรรมแบบนี้ การทะเลาะกันวันนั้นถึงขึ้นขึ้น-กู เราเสียใจมาก ไล่เขาออกจากบ้าน บอกว่าเลิกกันแค่นี้ เขาก็ขนของย้ายออกนะ จ้างรถบรรทุกมาขนไป ลูก 2 คนก็ไปพักหอ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ที่ขายได้เขาก็ขาย ตอนนี้บ้านโล่งเลย แล้วกลายเป็นว่า พี่ ๆ ของเขามองว่าเราไล่เด็กออกจากบ้าน กลายเป็นนางร้ายไปอีก ทั้ง ๆ ที่ฉันย่ำแย่เจียนจะขาดใจตายอยู่แล้ว
เขาขอเวลา 3 เดือน เราก็บอกว่าได้ ถ้าสิ้นเดือนธันวาแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น แยกย้ายจบ ๆ กันไปนะ เขาตกลงตามนี้พร้อมกับบอกว่ามีคนรู้จักทำงานรับเหมาใกล้ๆ นี้ จะไปทำงานกับเขา โดยไปพักอยู่กับลูกชายคนโต แล้วขี่มอไซค์ไปทำงาน เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะตอนนั้นคือคิดว่าคงเลิกกันจริง ๆ แล้ว แต่พอถึงวันที่จะไป เราขับรถไปส่งถึงหน้าหอพักของลูกชายเขาแล้ว เขากลับเปลี่ยนใจ ดึงดันจะเอาดีทางเทรดหุ้นนี้แหละ ขอกลับบ้านไปนั่งเทรด จะต้องทำให้ได้ สีหน้าจริงจังมาก แต่พอเอาเข้าจริง เดือนพฤศจิกา เขาก็ทำไม่ได้ และเป็นเดือนสุดท้ายที่เราหมุนเงินจ่ายหนี้ไหว
ปลายเดือนพฤศจิกาที่ผ่านไป ตกลงกันว่าจะขายของ หารายได้เพิ่ม สรุปขายอาหารตอนเย็นหลังเลิกงาน โดยไปเช่าแผงขายในตลาดสด พอขายได้แต่ทำยอดเพิ่มไม่ได้เพราะลูกค้าจำกัด เลยย้ายไปตลาดที่ใหญ่ขึ้นตอนต้นเดือนธันวาคมนี้ เงินเราก็มีน้อยนิด เจ้าของตลาดก็จะให้จ่ายค่าเช่าล่วงหน้า เราขอแบ่งจ่ายก่อน 1000 ที่เหลืออีก 1300 ค่อยจ่ายวันที่ 10 ทุกวันนี้ตื่นเช้าเขาจะขี่มอไซค์ไปจ่ายตลาดตอนเช้ามืด เราก็เตรียมของอยู่บ้าน ถึงเวลาก็กินข้าวอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานประจำ เขาขับรถไปส่งเรา โชคดีที่ทำงานไม่ไกลจากบ้าน ประมาณ 5 กม. เพราะเขาต้องใช้รถขนของไปตลาดช่วงบ่าย ๆ เวลาตอนกลางวันเขาก็จะเตรียมของและไปตั้งแผง เลิกงานก็มารับเรา ช่วยกันขายของเสร็จกลับถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่ม ก็เก็บล้างอุปกรณ์ ถ้ามีของต้องเตรียมที่ทำรอได้ก็ทำไว้ ประมาณ 4 ทุ่มก็จบ พักผ่อน
ทีนี้ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน - วันนี้ หนี้ทั้งหลายเรายังไม่ได้จ่ายเลย หลายเจ้าเริ่มโทร. เริ่มส่งข้อความมาทวง เราจะทำอย่างไรดี ไม่คิดเลยว่าอยู่มาจนอายุปูนนี้ จะเจอปัญหาแบบนี้ ทุกวันนี้เห็นข่าวคนฆ่าตัวตายกันบ่อย ๆ เราพยายามจะไม่สนใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า พวกเขาคงถึงทางตันแล้ว ตัวเราเองตอนนี้ก็กำลังจะถึงทางตันหรือเปล่า
ลูกชายเรา ตอนนี้อดีตสามีรับดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายมาได้ 2-3 เดือนแล้ว เพราะเราบอกลูกว่าแม่ไม่ไหว ให้คุยกับทางโน้น (ปกติเราจะอยู่กันเอง ไม่ไปรบกวนนอกจากเงินค่าเลี้ยงดูที่เขาโอนให้ทุกเดือน) ซึ่งเขายินดีช่วย เราก็โล่งตรงนี้ไป
ใจจริงเราถอดใจแล้ว คิดว่าต่างฝ่ายต่างไม่ใช่คู่ที่จะมาเกื้อหนุนกัน เพราะทุกวันนี้หากเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า เหมือนชีวิตเราและเขาต่างตกต่ำลง ชีวิตที่บางวันมีเงินติดตัวแค่ 200 กว่าบาท เกิดขึ้นจริง ๆ กับเรา ทั้งทีก่อนหน้านั้นสุขกายแต่ไม่สบายใจเพราะถูกสวมเขา ปัญหาใด ๆ ไม่มีนอกจากอยู่กับความหวาดระแวงและโดดเดี่ยว แต่ครั้นพอไม่มีปัญหาเรื่องนอกใจ กลับใช้ชีวิตได้แบบทุกข์ยาก ชีวิตเราน่าสมเพทดีนะว่าไหม ไม่ได้ดีสักทาง นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ้นเดือนนี้จะอยู่ในสภาพไหน
ใครมีประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ มาแชร์ มาเสนอแนะทางออกให้บ้างได้ไหมคะ แต่ขอร้อง...อย่าด่า อย่าสมน้ำหน้า เพราะรู้แล้วว่าเลือกทางเดินผิด ใครจะอ่านเอาเป็นอุทาหรณ์ก็ได้นะคะ เรื่องมันยาวนาน ชีวิตหมุนเวียนของคน ๆ หนึ่งเป็นแบบนี้ เราผิดที่มีเท่าไหร่ก็ให้ ไม่มีก็ยังดั้นด้นหาให้ จนลืมรักตัวเอง อายุ 49 แทนที่จะเริ่มสุขสบาย ลูกก็ใกล้จะเรียนจบ กลับกลายเป็นจะมาสิ้นไร้ไม้ตอก เผลอ ๆ เดินขึ้นศาลเป็นคดีความอีก มองไปข้างหน้าแล้วมืดมนมาก ๆ
ยาวนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ
ชีวิตคงถึงทางตันแล้ว เหลือทางไหนให้ไปได้บ้าง
จากนั้นผ่านไปปีกว่า เราก็เจอกับผู้ชายคนใหม่ที่ปัจจุบันยังอยู่ด้วยกัน เขาก็เลิกกับภรรยาเหมือนกัน มีลูกชาย 2 คน อายุน้อยกว่าลูกชายเรา 2 และ 3 ปีตามลำดับ ประเด็นปัญหาที่เกิดต่อจากนี้แหละที่เรากำลังเผชิญอยู่และตอนนี้เหมือนตัวเองตาบอด มองไม่เห็นหนทางข้างหน้าเลย
พวกเขา 3 คนพ่อลูกย้ายมาจากกรุงเทพ เขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ของลูก แต่ยกบ้านที่กรุงเทพให้ ตัวเองเอาลูกมาเลี้ยงตามประสาผู้ชายรักลูก หวงลูกและหลงลูก อาชีพเดิมคือเป็นผู้รับเหมา ก็คงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเพราะสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินสด แต่พอจากมาอยู่ไกล ก็ทิ้งงานเดิม จะมาเอาดีทางการเทรดหุ้น เพราะตอนทำงานรับเหมาก่อสร้างก็เทรดไปด้วย ทำงานรับเหมาไปด้วย ก็สร้างรายได้ให้พอใช้จ่ายอยู่ (เขาบอกอย่างนั้น จริงหรือไม่เราไม่รู้หรอก) เรามีบ้านแค่ไกลจากตัวเมืองเกือบ 50 กิโล เราบอกว่าให้ไปอยู่กันที่บ้านนั้นแหละ แต่เขาบอกว่าไม่เอา ไกลเกินไปเพราะเด็กต้องเข้าโรงเรียน จะหาซื้อบ้านมือสองในเมือง แต่ขอให้เรากู้ธนาคารนะ เพราะเขาไม่มีรายได้ประจำ แต่เขาสามารถหาเงินได้แน่ เขาจะเป็นคนจ่ายค่าผ่อนบ้านเอง เราแค่ช่วยเป็นคู่สัญญาให้ โอเค...เราก็ทำให้ ธนาคารอนุมัติผ่าน ก็ย้ายเข้าไปอยู่ ก่อนหน้าที่เขาย้ายมาก็ไปสู่ขอเรากับพ่อ เราไม่ได้จัดงานแต่งงานอะไร ไม่มีสินสอด เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเคยมีครอบครัวมาแล้ว ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รักกันดี
แต่อยู่ไป ๆ เขาก็ทำเงินจากการเทรดหุ้นไม่ได้เลย ยิ่งเทรดยิ่งเสีย เงินก้อนที่มีติดตัวมาก็หมด ขายรถยนต์ของเขาเพื่อเปลี่ยนเป็นรถที่ราคาถูกลงให้มีเงินเหลือมาเป็นทุนเทรดก็ทำ ระหว่างนั้นเราก็ผ่อนบ้านไปเรื่อย ๆ ภาระค่าใช้จ่ายในบ้านก็รับไป ซึ่งจริง ๆ เราก็มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่ก่อนแล้ว เช่น มีเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ของที่ทำงาน และ ผ่อนบ้านที่อยู่ติดบ้านพ่อแม่ซึ่งสามีเก่าเป็นคนกู้และผ่อนเกือบหมดแล้ว เราเห็นว่าเราจะเป็นฝ่ายอยู่อาศัยไปตลอด จึงรับภาระหนี้ที่เหลืออีก 300,000 เองเป็นต้น เขาเองพอเทรดไม่ได้ ก็เครียด เราเองก็เครียดกับค่าใช้จ่ายที่รับภาระ แรก ๆ เขาก็กลับไปช่วยเพื่อนที่เป็นผู้รับเหมาเหมือนกันทำงาน ครั้งละ 3 เดือน 6 เดือน ตอนไปก็บอกให้ไปช่วยคุมงาน ตกลงแบ่งกำไรให้ แต่พองานจบ ไม่ได้แบ่งให้ตามที่พูด ต้องเทียวขับรถไปตั้งหลายร้อยกิโลเพื่อขอเงิน แล้วก็ได้มาครั้งละ 10,000 บาท ไปอยู่ 2 ครั้ง เห็นสายตาที่เขามองแล้วรู้สึกเหมือนเราเป็นขอทาน (ไปด้วยกัน) เราโมโหก็เลยบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว และให้เลิกคบกับยายเจ๊นั้นไปเลย ก็กลับมาอยู่บ้าน เด็ก ๆ ลูกของเขาก็กำลังวัยรุ่น ดื้อตามประสาผู้ชายอีก หัวจะปวด อันลูกชายเราน่ะเป็นลูกแม่ ใกล้ชิดเรา พูดคุยกันทุกเรื่อง เรารู้ว่าลูกเราเป็นยังไง เป็นเด็กเรียน ทำงานสภานักเรียน ตอนนี้เรียน ป.ตรีก็ได้ทุนเรียนฟรี แต่เขาเลี้ยงลูกแบบผู้ชาย ก็หัวหกก้นขวิด มันไปคนละทาง เราแตะต้องไม่ค่อยได้ แตะทีไรได้ทะเลาะกันทุกที
เราพูดบ่อยเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน ในเมื่อเขาไม่กลับไปทำงานรับเหมาเพราะอ้างว่าไกลบ้าน ถ้าทำที่นี่ก็เริ่มต้นไม่ได้แล้วเพราะไม่รู้จักใคร จะเอาดีแต่ทางเทรดหุ้นอย่างเดียว สุดท้ายรถยนต์ก็ขายหมด เหลือคันที่เราใช้อยู่คันเดียว (จริง ๆ มี 2 คันก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะเขาก็อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน) เด็ก ๆ ก็ขี่มอไซค์ไปเรียน ทีนี้ถ้าจะหารายได้เพิ่ม ก็เลยตกลงกันว่ากลางคืนกับวันหยุดต้องทำขนมฝากขายร้านของฝาก กับ ในโรงเรียน ก็พอได้ยอดขายสัปดาห์ละ 3-4 พัน กำไรก็สัปดาห์ละ 1 พันกว่าบาท ซึ่งก็ยังไม่พอ สุดท้ายเขาก็กลับไปทำงานกรุงเทพอีกรอบ เป็นงานรับเหมาเหมือนเดิม แต่เป็นอะไรไม่รู้ ทำอยู่ได้ไม่ถึง 2 เดือน ก็กลับบ้าน งานก็ยังไม่เสร็จ แต่ไม่ยอมไปทำต่อ บอกไม่อยากไป อยากอยู่บ้าน คิดถึงลูก คิดถึงเมีย อยู่ทางโน้นแล้วเหงาไม่มีใคร เราก็ได้แต่เงียบ พยายามมากเลยในการประคับประคองฐานะครอบครัว เมื่อไม่พอใช้จ่าย ถามเขา ๆ ก็พูดอยู่คำเดียวว่า ไม่มี เราก็จำเป็นต้องวิ่งหากู้เงินมา ทั้งกู้สหกรณ์ รีไฟแนนซ์บ้าน บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด รถยนต์ ที่ดิน เข้าไฟแนนซ์หมด จากที่เคยให้เงินพ่อทุกเดือน กลายเป็นขอยืมเงินพ่อ ซึ่งในขณะที่เราวิ่งวุ่นหัวหมุนหาเงิน เขาก็บอกอยู่ซ้ำ ๆ แบบเดิมว่าเดี๋ยวเขาก็จะเทรดได้ ใจเย็น ๆ รออีกนิด เขาจับทางได้แล้ว เขาว่าเขาชนะมันได้แล้ว ฯลฯ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบ 10 ปีแล้ว ตอนนี้รอบตัวเรามีแต่หนี้สิน เขาไม่ยอมไปทำงานหาเงิน ตอนนี้อ้างว่า รถก็ไม่มี เพื่อนฝูงก็ล้ำหน้าไปไกลแล้ว ถ้าไปของานทำ จะบากหน้าไปในสภาพไหน ขอยืมพี่ๆ เขาก็เกษียณกันหมดแล้ว ไม่ได้มีเงินเดือนมากมายเหมือนแต่ก่อน ก็จริงนะ เขาไม่เคยยืมเงินพี่ ๆ ได้เพราะยืมแล้วไม่ใช้คืน พวกเขาเลยให้มาแค่ทีละ 1000 - 2000
เมื่อเดือนตุลา 66 เรากับเขาทะเลาะกันหนักมาก จริง ๆ ต้นเรื่องมีแค่นิดเดียวคือ นอกจากเขาจะให้ลูกกู้เงินกยศ.เรียนแล้ว ยังให้ลูกหางานพิเศษทำ โดยที่ตัวเองไม่ยอมทำงาน หวังจะรวยจากการเทรดหุ้นอย่างเดียว จนลูกของเขาออกปากพูดว่า ไหนบอกว่าเทรดหุ้นแล้วได้เงิน ทุกวันนี้ไม่เห็นได้อะไรเลย ลูกก็ติดเพื่อนมากกว่าเพราะยามไม่มีเงินก็พึ่งเพื่อนได้มากกว่าพ่อตัวเอง กลับดึกเพราะไปกับเพื่อนแล้วก็มาทะเลาะกับพ่อ เราก็เลยพูดว่าในความรับผิดชอบของพ่อคือมีหน้าที่ดูแลลูกนะ เขาก็ทะเลาะกับเราบานปลายใหญ่โต ไม่ให้ยุ่ง เขาเลี้ยงลูกในแบบของเขา ซึ่งเรามองว่าการให้เด็กทำงานพิเศษเป็นเรื่องดี แต่พ่อแม่ก็ต้องซัพพอร์ทลูกด้วย ไม่ใช่ปล่อยลูกไปเผชิญชะตากรรมแบบนี้ การทะเลาะกันวันนั้นถึงขึ้นขึ้น-กู เราเสียใจมาก ไล่เขาออกจากบ้าน บอกว่าเลิกกันแค่นี้ เขาก็ขนของย้ายออกนะ จ้างรถบรรทุกมาขนไป ลูก 2 คนก็ไปพักหอ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ที่ขายได้เขาก็ขาย ตอนนี้บ้านโล่งเลย แล้วกลายเป็นว่า พี่ ๆ ของเขามองว่าเราไล่เด็กออกจากบ้าน กลายเป็นนางร้ายไปอีก ทั้ง ๆ ที่ฉันย่ำแย่เจียนจะขาดใจตายอยู่แล้ว
เขาขอเวลา 3 เดือน เราก็บอกว่าได้ ถ้าสิ้นเดือนธันวาแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น แยกย้ายจบ ๆ กันไปนะ เขาตกลงตามนี้พร้อมกับบอกว่ามีคนรู้จักทำงานรับเหมาใกล้ๆ นี้ จะไปทำงานกับเขา โดยไปพักอยู่กับลูกชายคนโต แล้วขี่มอไซค์ไปทำงาน เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะตอนนั้นคือคิดว่าคงเลิกกันจริง ๆ แล้ว แต่พอถึงวันที่จะไป เราขับรถไปส่งถึงหน้าหอพักของลูกชายเขาแล้ว เขากลับเปลี่ยนใจ ดึงดันจะเอาดีทางเทรดหุ้นนี้แหละ ขอกลับบ้านไปนั่งเทรด จะต้องทำให้ได้ สีหน้าจริงจังมาก แต่พอเอาเข้าจริง เดือนพฤศจิกา เขาก็ทำไม่ได้ และเป็นเดือนสุดท้ายที่เราหมุนเงินจ่ายหนี้ไหว
ปลายเดือนพฤศจิกาที่ผ่านไป ตกลงกันว่าจะขายของ หารายได้เพิ่ม สรุปขายอาหารตอนเย็นหลังเลิกงาน โดยไปเช่าแผงขายในตลาดสด พอขายได้แต่ทำยอดเพิ่มไม่ได้เพราะลูกค้าจำกัด เลยย้ายไปตลาดที่ใหญ่ขึ้นตอนต้นเดือนธันวาคมนี้ เงินเราก็มีน้อยนิด เจ้าของตลาดก็จะให้จ่ายค่าเช่าล่วงหน้า เราขอแบ่งจ่ายก่อน 1000 ที่เหลืออีก 1300 ค่อยจ่ายวันที่ 10 ทุกวันนี้ตื่นเช้าเขาจะขี่มอไซค์ไปจ่ายตลาดตอนเช้ามืด เราก็เตรียมของอยู่บ้าน ถึงเวลาก็กินข้าวอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานประจำ เขาขับรถไปส่งเรา โชคดีที่ทำงานไม่ไกลจากบ้าน ประมาณ 5 กม. เพราะเขาต้องใช้รถขนของไปตลาดช่วงบ่าย ๆ เวลาตอนกลางวันเขาก็จะเตรียมของและไปตั้งแผง เลิกงานก็มารับเรา ช่วยกันขายของเสร็จกลับถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่ม ก็เก็บล้างอุปกรณ์ ถ้ามีของต้องเตรียมที่ทำรอได้ก็ทำไว้ ประมาณ 4 ทุ่มก็จบ พักผ่อน
ทีนี้ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน - วันนี้ หนี้ทั้งหลายเรายังไม่ได้จ่ายเลย หลายเจ้าเริ่มโทร. เริ่มส่งข้อความมาทวง เราจะทำอย่างไรดี ไม่คิดเลยว่าอยู่มาจนอายุปูนนี้ จะเจอปัญหาแบบนี้ ทุกวันนี้เห็นข่าวคนฆ่าตัวตายกันบ่อย ๆ เราพยายามจะไม่สนใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า พวกเขาคงถึงทางตันแล้ว ตัวเราเองตอนนี้ก็กำลังจะถึงทางตันหรือเปล่า
ลูกชายเรา ตอนนี้อดีตสามีรับดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายมาได้ 2-3 เดือนแล้ว เพราะเราบอกลูกว่าแม่ไม่ไหว ให้คุยกับทางโน้น (ปกติเราจะอยู่กันเอง ไม่ไปรบกวนนอกจากเงินค่าเลี้ยงดูที่เขาโอนให้ทุกเดือน) ซึ่งเขายินดีช่วย เราก็โล่งตรงนี้ไป
ใจจริงเราถอดใจแล้ว คิดว่าต่างฝ่ายต่างไม่ใช่คู่ที่จะมาเกื้อหนุนกัน เพราะทุกวันนี้หากเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า เหมือนชีวิตเราและเขาต่างตกต่ำลง ชีวิตที่บางวันมีเงินติดตัวแค่ 200 กว่าบาท เกิดขึ้นจริง ๆ กับเรา ทั้งทีก่อนหน้านั้นสุขกายแต่ไม่สบายใจเพราะถูกสวมเขา ปัญหาใด ๆ ไม่มีนอกจากอยู่กับความหวาดระแวงและโดดเดี่ยว แต่ครั้นพอไม่มีปัญหาเรื่องนอกใจ กลับใช้ชีวิตได้แบบทุกข์ยาก ชีวิตเราน่าสมเพทดีนะว่าไหม ไม่ได้ดีสักทาง นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ้นเดือนนี้จะอยู่ในสภาพไหน
ใครมีประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ มาแชร์ มาเสนอแนะทางออกให้บ้างได้ไหมคะ แต่ขอร้อง...อย่าด่า อย่าสมน้ำหน้า เพราะรู้แล้วว่าเลือกทางเดินผิด ใครจะอ่านเอาเป็นอุทาหรณ์ก็ได้นะคะ เรื่องมันยาวนาน ชีวิตหมุนเวียนของคน ๆ หนึ่งเป็นแบบนี้ เราผิดที่มีเท่าไหร่ก็ให้ ไม่มีก็ยังดั้นด้นหาให้ จนลืมรักตัวเอง อายุ 49 แทนที่จะเริ่มสุขสบาย ลูกก็ใกล้จะเรียนจบ กลับกลายเป็นจะมาสิ้นไร้ไม้ตอก เผลอ ๆ เดินขึ้นศาลเป็นคดีความอีก มองไปข้างหน้าแล้วมืดมนมาก ๆ
ยาวนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ