ในวันพรุ่งนี้ แต่เดิมนานมา (มาก) คือวันขึ้นปีใหม่ของไทย

วันพรุ่งนี้จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย หรือก็คือเดือน 1 ซึ่งแต่เดิมคือ วันขึ้นปีใหม่ของไทย

เข้าใจว่า คือการเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝน ที่มีอากาศมืดมัว มาเป็นฤดูหนาว

คนสมัยก่อนมองว่า ฤดูหนาว สว่างเหมือนเวลาเช้า ส่วนฤดูร้อนเป็นช่วงที่สว่างเหมือนเวลากลางวัน และฤดูฝนเป็นเวลามืดหม่นคล้ายกลางคืน

คนโบราณจึงนับฤดูหนาวเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นกลางปี และฤดูฝนเป็นปลายปี

มาจนถึงประมาณ พ.ศ. 1901 หรือจุลศักราช 720 กฎมณเฑียรบาลได้กำหนดให้วันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 เป็นปีใหม่ ตามการพระราชพิธีเผด็จศก ลดแจตร ออกสนาม ที่หมายถึงขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปตามคติพราหมณ์ที่นับวันตามจันทรคติ โดยใช้ปีนักษัตร และการเปลี่ยนจุลศักราช

การนับจุลศักราช มีการเริ่มนับเมื่อ พ.ศ. 1181 ในวันที่พระเถระพม่ารูปหนึ่งนามว่า "บุพโสระหัน" ลึกออกจากการเป็นพระ มาชิงราชบัลลังก์ในสมัยพุกามอาณาจักร ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 จึงให้ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ของไทยกำหนดว่า ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 เป็นวันเปลี่ยนนักษัตร วันรุ่งขึ้นถัดไปคือ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันปีใหม่ โดยไทยใช้การนับจุลศักราชมาตั้งแต่หลังเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112

ทีนี้ การกำหนดวันขึ้นจุลศักราชใหม่ของไทย ดูจะยุ่งยาก เป็นการคำนวณของโหราจารย์กำหนดวันแบบจันทรคติ ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่า มันจะไม่เป๊ะแบบสุริยคติที่เราใช้กันในปัจจุบัน

ตัวอย่างเช่นในพระนิพนธ์ไทยรบพม่า ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเรียบเรียงขึ้นหลังเหตุเสียกรุงประมาณ 160 ปี ได้เล่าไว้ว่า

“ครั้นถึงวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน พ.ศ. 2310 เป็นวันเนาสงกรานต์ เพลาบ่าย 3 โมง พม่าก็จุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาไชย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนคร”

เช่นนั้น วันเถลิงศก ตามพระนิพนธ์ก็ต้องเป็นวันพุธ เดือน 5 ขึ้น 10 ค่ำ ซึ่งก็ไม่ตรงกับวันเริ่มจุลศักราชใหม่ ที่ถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5
 
และการกำหนดให้วันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน พ.ศ. 2310 เป็นวันเนาสงกรานต์นั้น ก็ไม่ได้มีเขียนไว้ในคำให้การชาวกรุงเก่า ซึ่งถือเป็นหลักฐานชั้นต้น ที่ได้บันทึกเอาไว้ว่า

“พม่าเห็นได้ที ก็ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยา ทำลายเข้ามาทางประตูที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้ ก็เข้าเมืองได้ทางประตูทิศตะวันออกในเวลากลางคืน เมื่อ ณ วันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 จุลศักราช 1128 (7 เมษายน พ.ศ. 2310) ไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายลงเปนจำนวนมาก”

นอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดประเพณีการเลี้ยงปีใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2417 ดังปรากฏในพระราชพิธีสิบสองเดือน ส่วนตามแบบชาวบ้านถือเอาวันสงกรานต์เป็นหลัก

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แสดงให้เห็นว่า วันขึ้นปีใหม่แต่เดิม ไม่ได้กําหนดแน่นอน จนกว่าโหรจะได้คํานวณวันแล้วประกาศให้ทราบ รัชกาลที่ 5 จึงมีพระบรมราชโองการประกาศให้เลิกใช้จุลศักราชในทางราชการ แล้วเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) แทนในปี พ.ศ. 2432 โดยให้นับเป็น ร.ศ.108 และเรียกชื่อวันและเดือนเหมือนที่เราเรียกกันในปัจจุบัน ตามทางสุริยคติ แล้วกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่

ส่วนวันเดือนปีตามจันทรคติ คือวันขึ้น วันแรม เดือนอ้าย เดือนยี่ หรือปีนักษัตรต่างๆ และจุลศักราช ก็ให้ใช้ต่อไปได้ เพราะเป็นหลักทางโหราศาสตร์ ที่ราษฎรเคยใช้มาก่อน

พระบรมราชโองการดังกล่าวมีข้อความที่สําคัญดังนี้

ข้อ 1 ให้ตั้งวิธีนับ ปี เดือน ตามสุริยคติกาลดังว่าต่อไปนี้ เป็นปีปรกติ 365 วัน ปีอธิกสุรทิน 366 วัน

ข้อ 2 ปีหนึ่ง 12 เดือน มีชื่อตามราศีที่เดือนนั้นเกี่ยวข้องอยู่ มีลําดับดังนี้ เดือนที่ 1 ชื่อเมษายนมี 30 วัน วันในเดือนหนึ่งนั้นให้เรียกว่าวันที่ 1 วันที่ 2

และแม้ว่าจะมีการกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังคงถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่เช่นเคย

กระทั่งปี ร.ศ. 131 หรือ พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าให้เลิกใช้รัตนโกสินทรศก แล้วให้ใช้พุทธศักราชแทน ส่วนวันเดือนปีคงใช้ไปตามเดิม และเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยให้เริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2484 

จนถึงปัจจุบันนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนไปใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่เหมือนชาติอื่นตามแบบสากลแล้ว แต่มีประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ใช้พุทธศักราชในราชการ โดยเปลี่ยนพุทธศักราชในวันแรกของเดือนมกราคม

ส่วนชาติอื่นๆ ที่นับถือพุทธศาสนา ไม่ได้ใช้ตามแบบของเรา เช่น ศรีลังกา ใช้คริสตศักราชเป็นปีราชการ ใช้พุทธศักราชในทางพุทธศาสนา โดยจะเปลี่ยนพุทธศักราชในวันวิสาขบูชา ซึ่งเหมือนกับเมียนมาที่ใช้พุทธศักราชในทางศาสนา โดยจะเปลี่ยนพุทธศักราชในวันวิสาขบูชาเช่นกัน แต่ใช้จุลศักราชเป็นปีราชการ

ส่วนกัมพูชาแและใช้คริสตศักราชเป็นปีราชการ และใช้พุทธศักราชในทางศาสนา โดยจะเปลี่ยนพุทธศักราชในวันสงกรานต์

ทั้งนี้ พุทธศักราชของศรีลังกา อินเดีย หรือพม่า ไม่ตรงกับของไทย เพราะของเขานับก่อนเรา 1 ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่