วิญญาณ.....ที่ห้องดนตรีไทย...
ตามหลักของศาสนาพุทธวิญญาณหมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายขณะยังมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ แต่ถ้าเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปเกิดละเขาเรียกว่าอะไร? วิญญาณที่สามารถปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นได้ จะเรียกว่า “ ผี” ผู้เขียนเอ่ยมาเพราะรับรู้ถึงสัมผัสนั้น ตอนเมื่อครั้งอยู่โรงเรียนมีชื่อในจังหวัดเชียงใหม่เป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดก็ว่าได้ ตอนเรียน ม.ปลายจัดว่าเรียนไม่เก่งยังไม่ รู้ทิศทางตัวเองหรือวิญญาณที่ล่องลอยไปเรื่อยซะอย่างงั้น เรียนสายภาษาฝรั่งเศสเพราะคิดว่าน่าจะดีที่สุดสำหรับชีวิตคนที่ไม่เก่งเลขคณิต โรงเรียนประจำจังหวัดที่เรียนนี้ไม่ธรรมดาตรงที่ว่าเคยเป็นป่าช้าเก่า บางครั้งเคยมีเหตุการณ์แปลกๆนักเรียนเป็นลมไปครึ่งห้อง ซึ่งผู้เขียนเคยไปมุงดูด้วย พวกครูไม่เคยบอกถึงสาเหตุอะไรถามไม่เคยอธิบาย ถ้าเป็นสมัยนี้พวกที่ไม่เชื่อก็จะเรียกว่า อุปทานหมู่ ตอนนั้นถือว่าเรียนหนักสำหรับเด็กที่อยากเรียนเพื่อจบ ทำไมต้องเรียนมากมายในใจคิดอย่างนั้นเพราะยังอายุน้อย เล่นๆเรียนๆไป ปกติจะมีวิชาเลือกเวลาคาบว่างให้ลงว่าจะเรียนอะไรเสริมเช่น วาดภาพ ดนตรีไทย ดนตรีสากล ฯลฯ ตอนนั้นมีละครเรื่อง ระนาดเอก กำลังดังมากซึ่งพระเอกเล่นเครื่องดนตรีประเภทนี้ ผู้เขียนก็อยากเล่นเป็นมั่ง จึงลงเรียนดนตรีไทยเสริม อีกทั้งเห็นว่าเท่ห์เพราะคงไม่มีใครเรียนกันมากนัก เพราะเป็นคนนิสัยขบถตั้งแต่เด็กอะไรที่เขาชอบจะไม่ชอบ สมัยนี้เขาเรียกไม่แคร์สื่อ 55555
ทีนี้คาบเรียนแรกๆครูจะอธิบายเรื่องเครื่องดนตรีไทยก่อนแต่ละชนิดใช้ยังในชั่วโมงแรก ผู้เขียนมาเรียนกับเพื่อนและพี่ต่างห้องมีไม่กี่คน ก็ได้รู้จักพี่ผู้หญิงคนหนึ่งขอเรียกว่าพี่ แอน ท่าทางเรียบร้อยมาก ด้วยมีแค่ผู้หญิงสองคนจึงสนิทกันอย่างรวดเร็วพี่แอนตั้งใจเรียนมากจดเนื้อหาลงสมุดทุกอย่าง ผู้เขียนก็นั่งฟังจดทันบ้างไม่ทันบ้าง และวันนี้ก็เสร็จในคาบแรกที่เราเรียนคงเป็นสัปดาห์หน้าที่ต้องมาเรียนอีกครั้ง แต่ทีนี้พี่แอนนี้แหละจะต้องไปแสดงงานโรงเรียนในเดือนหน้าต้องซ้อมซอ (เครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสี ใช้บรรเลงเดี่ยว และเล่นในวงมโหรี วงเครื่องสาย เป็นต้น เมื่อใช้คันชักสีกับสายซอที่ขึงตึงจะเกิดเสียง มีหลายชนิด.) ถึงตอนเย็นเขาขอผู้เขียนมาเป็นเพื่อนตอนวันซ้อมใหญ่ ซึ่งอยู่ถึงประมาณ 2 ทุ่ม เพราะเห็นว่าผู้เขียนเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่เรียนดนตรีด้วยกัน ผู้เขียนก็บอกว่าเดี๋ยวไปถามทางบ้านก็เพราะต้องกลับเย็น ซึ่งทางบ้านเราอนุญาตเป็นกรณีพิเศษและเห็นว่าไม่ดึกมากนัก วันนั้นเป็นวันอังคารตอนโพล้เพล้ ประมาณทุ่ม 1 ทุ่มครึ่ง เรานั่งรอในอาคารดนตรีไทยซึ่งเป็นอาคารไม้หลังเก่ามากแล้ว ความจริงในใจไม่คิดอะไร คิดในใจว่าพี่แอนผิดนัด สักครู่ได้ยินเสียงซ้ออู้อยู่ชั้นบน จึงตะโกนว่า “มาก็ไม่บอกปล่อยรอด้านล่าง” ไม่มีเสียงตอบมีแต่เสียงดนตรี กำลังจะขึ้นไป ผู้เขียนมาหยุดชะงักได้ยินเสียงคนเดินข้างตึกจึงนึกว่าใครเดินเพราะนักเรียนน่าจะกลับหมดแล้ว จึงชะโงกหน้าออกไปดูทางหน้าต่าง เห็นคนอยู่ไกลๆแต่เดินเข้าหาเรา มองไกลๆคิดว่ายามแต่ไม่เหมือนเดินเหมือนลอยมาเข้าใกล้ เห็นแต่ช่วงขาเป็นแบบชุดทหารญี่ปุ่นแล้วตัวละ หายไปไหม ผีหลอกกูแล้ว จึงรีบวิ่งหน้าตั้งออกจากตึกเพื่อไปที่เขตประตูที่มียามอยู่ ผู้เขียนวิ่งหน้าตั้งไม่คิดชีวิตโดยไม่ใส่ร้องเท้า ผมยุ่งรุงรัง ยามตกใจนึกว่าเราโดนข่มขื่น เขาบอกใจเย็นๆ ค่อยๆเล่า ............ยามว่าเจอดีแล้ว เดี๋ยววันหลังจะเล่าประวัติที่นี่ให้ฟัง กลับบ้านก่อนเถอะ ซึ่งผู้เขียนไม่กล้ากลับไปเอาร้องเท้า ยามบอกถ้าสว่างจะเก็บไว้ให้ .เรากลับบ้านในใจคิดพี่แอนเป็นไงบ้างไม่โดนผีหลอกหรือ....................กลับบ้านพร้อมสภาพมึนๆๆ จนพี่ถามก็พี่เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน พี่เล่าว่า......ที่โรงเรียนนี่เคยเป็นป่าช้าฝังศพทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลก บางครั้งจะมีบ้างที่เห็นพวกเค้าไม่เฉพาะเรามีหลายคนเคยเห็น
แม่เจ้าผู้เขียนคือหนึ่งในนั้น ผู้เขียนขาดเรียนหนึ่งวันเพราะขวัญหนีดีฝ่อ ในใจคิดว่าจะไปย้ายจากการเรียนดนตรีไทยไปเรียนวาดภาพดีกว่าเพราะเพิ่งเรียนไปคาบเดียว.............วันที่ไปย้ายวิชาโดยไปบอกครูที่สอนเจอพี่แอนในใจโกรธไม่มาดูเราเลยทั้งที่กรี๊ดซะลั่นอาคาร.............พี่แอนขอโทษวันนั้นไม่ได้มาเพราะรถเสีย...........ตายห่าละโดนผีสองตัวหลอกซ้อนเหรอ........ผีทหารญี่ปุ่น...........แล้วใครเล่นซออยู่ด้านบน?
สื่ออักษร.....ผู้เขียน
วิญญาณ.....ที่ห้องดนตรีไทย...