ผมมีลูกเมื่อปี 2547 ขณะนั้นผมอายุ 19 แฟนอายุ 17 เรียนจบมาทำงานได้ปีเดียว แฟนก็ท้องช่วงเวลานั้นมืดแปดด้านมากคิดอะไรไม่ออกตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า พากันออกมาอยู่ห้องแถวจึงได้รู้ซึ้งถึงความลำบาก พ่อแฟนรู้โมโหมากพยายามพาลูกสาวกลับบ้านให้ได้ แต่แฟนก็หนีกลับมา เริ่มวันแรกของการใช้ชีวิตคู่ ค่าแรงผมวันล่ะ 165 บาท แฟน 138 บาท เงินผมออกมาสองพันกว่าบาท ไปเช่าห้องแถว 1000 เหลือจากนั้นไปซื้อที่นอนปิ้กนิคแค่นั้น เหลือเงินไม่ถึงพัน ความลำบากแรกคือ ร้อนไม่มีพัดลม ผมต้องนั่งพัดให้แฟนจนหลับเป็นแบบนี้หลายวัน จนต้องไปยืมพัดลมเพื่อนมาใช้ ตอนนั้นถึงจะลำบากแต่ก็มีความสุขมันอาจจะเป็นความคิดของเด็ก ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไป อด ๆ อิ่ม ๆ ตั้งแต่เกิดมาชีวิตไม่เคยลำบาก ไม่เคยงมหอย ไม่เคยช้อนกุ้งช้อนปลามากิน ไม่เคยเก็บผัก ( ไม่รู้แม้กระทั้งว่าอันนี้คือยอดฟักทองน่ะ แต่ดันไปเก็บยอดฟักเพราะคิดว่าเป็นยอดฟักทอง ) ไปงมหอยกาบมาทำกินก็อาหารเป็นพิษ ท้องเสียทั้งผัวทั้งเมีย ต้องลางานจนออกจากงาน ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ได้ 3 เดือนก็ไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นแฟนท้องได้ 6 เดือนและ ก็ตัดสินใจบอกพ่อ โอเคพ่อก็สอน ก็ช่วยเหลือสิ่งที่ขาดถึงไม่มากก็ต่อชีวิต พอแฟนท้องเข้าเดือนที่ 8 ก็ย้ายเข้าไปอยู่บ้านพ่อเพื่อรอคลอด ชีวิตก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ ลูกสาวคลอดได้ไม่กี่เดือนก็มีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทะเลาะกับพ่อจากพ่อไม่เคยพูดกูกับลูกวันนั้นเป็นวันแรกที่ได้ยิน โดนพ่อไล่ออกจากบ้าน ถ้าอยากเอาลูกออกไปก็ไปฟ้องเอา พ่อไม่ให้เอาหลานออกไป พอ 3 ทุ่มไปรับแฟนเลิกงานบอกแฟนว่าเรากลับบ้านไม่ได้แล้วน่ะทะเลาะกับพ่อกอดคอกันร้องไห้คืนนี้จะไปนอนไหน ก็ไปหาบ้านเพื่อนนอนก่อนแล้วรุ่งขึ้นไปจัดการเช่าห้องแถวเดิมอยู่ จากวัยรุ่นไม่มีความรับผิดชอบ ติดเพื่อน กินเหล้า สูบบุหรี่ ติดเกมส์ เลิกงานเข้าร้านเกมส์ปล่อยให้แฟนนอนอยู่ห้องติดหนี้ร้านเกมส์จนไม่เข้าไปเล่น จะกินอะไรไม่เคยคิดถึงใครขอให้ตัวเองอิ่ม กินหมดแฟนไม่ได้กิน จะบอกว่าตัวเองมีแต่ข้อเสีย มีข้อดีแค่ข้อเดียวคือเป็นคนมีความรับผิดชอบ หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว เลิกเหล้า เลิกเที่ยว ไปทำงานก็ไปเก็บกระป๋องกาแฟ ขวดเอ็มกลับมาไว้ขาย ไม่เคยได้ใช้เวลาอยู่กับลูกช่วงวัยเด็ก
พอลูกอายุได้ 3 ขวบ ก็เข้าโรงเรียน ไม่เคยได้เป็นคนหาว่าจะให้เข้าโรงเรียนไหน ปู่เป็นคนจัดการให้หลานทั้งหมด แต่พ่อแม่จัดการเรื่องเงิน เข้าอนุบาลโรงเรียนเอกชนอันดับ 1 ของอำเภอ แรกเข้า 2 หมื่นกว่า พ่อแม่วิ่งหาเงินเพื่อจะให้ลูกได้เข้าเรียนไปยืมเงินเถ้าแก่มาจ่ายแล้วก็ผ่อนใช้เขาไป ไม่เคยได้ไปรับไปส่งลูกไปโรงรียน ไม่เคยอาบน้ำแต่ตัวให้ลูก ด้วยอยู่กันคนละที่ ได้แต่ทำงานส่งเงินแค่นั้นที่พอจะทำได้ ไม่เคยรับรู้ว่าลูกขาดอะไรจนได้เห็นเรียงความวันแม่ของลูก กับประโยคที่ลูกเขียนว่า " หนูต้องรอให้ถึงวันเสาร์ อาทิตย์ ถึงจะได้เจอแม่ แต่หนูก็เข้าใจว่าแม่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงส่งให้หนู " แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวแม่ถึงกับร้องไห้เลยครับ ( ตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่า ไม่มีเวลาให้ลูกตอนที่ลูกต้องการพ่อแม่ พอถึงตอนที่พ่อแม่มีเวลาให้ลูก ลูกก็เข้าสู่วัยที่ไม่ต้องการพ่อแม่แล้ว ) ตั้งแต่นั้นมาลูกต้องการอะไรก็หามาให้หมด แต่ลูกไม่เคยต้องการอะไรไม่ว่าจะเป็นของเล่น ตุ้กตา หรือเสื้อผ้า ลูกต้องการแค่พ่อแม่แค่นั้นจริง ๆ ถึงจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ลูกไม่เคยขาดความอบอุ่น เพราะปู่เติมเต็มส่วนนี้ให้หมด ลูกผมจึงไม่มีอาการของเด็กขาดความอบอุ่น ตั้งใจเรียน รักการเรียน ไม่เคยบังคับให่เรียนพิเศษมีแต่จะขอเรียนเอง ผมก็ทำได้แค่สนับสนุน จบ ป.6 ก็สอบเข้า ม.1 ห้องกิ้ฟโรงเรียนรัฐบาลประจำอำเภอได้ในอันดับ 1 พ่อแม่ก็มีความสุข ช่วงเวลานี้ผมก็ทำได้แค่หาความรู้ให้ลูก แล้วก็วางแผนว่าจะเรียน ม.4 ต่อที่ไหน วางแผนไว้ 2 ที่ รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ กับ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี แต่ก็บอกลูกไว้ตลอดว่า ลูกอาจจะเป็นอันดับต้น ๆ ของโรงเรียน แต่ข้างนอกอาจจะไม่ใช่นะ ไม่ต้องไปหวังว่าจะสอบติดคิดแค่ไปลองสนาม ผมสอบก็เป็นไปตามคาด ได้แค่ตัวสำรองจุฬาภรณ์แต่เรียกไม่ถึง ไม่เป็นไร ม.ปลายเอาใหม่
เข้าสู่ ม.ปลาย ก็เรียนห้องกิ้ฟโรงเรียนเดิม ช่วงนี้เข้าสู้หัวเลี้ยวหัวตอ จะคุยกับลูกมากขึ้น คุยทุกเรื่อง บอกลูกเสมอมีอะไรให้บอกพ่อแม่ บอกได้ทุกเรื่องไม่ต้องกลัวพ่อแม่จะว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องแฟน พอลูกมีแฟนทีไรก็บอกพ่อแม่ตลอดว่ามีแฟนแล้วน่ะ พ่อกับแม่ก็ไม่เคยบอกว่ายังไม่ต้องมี ห้ามมี หรืออะไร ก็บอกแค่ว่าไว้วันไหนพามาให้พ่อแม่รู้จักมั่งนะ ผมก็บอกลูกเสมอว่ามีแฟนในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องไม่ดีน่ะ แต่ต้องรู้จักป้องกัน การมีแฟนในวัยเรียนมันจะทำให้เราอยากไปโรงเรียนทุกวันเพื่อไปเจอแฟน เมื่อก่อนพ่อก็เป็น ก็บอกลูกแบบนี้ตลอด เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ชอบทำอะไรตรงกันข้ามกับข้อห้าม ยิ่งห้ามก็ยิ่งทำ ก็เลยไม่ห้ามทำได้แต่ต้องรู้จักความปลอดภัย เพราะเราผ่านช่วงเวลาที่มีลูกเมื่อไม่พร้อมมาแล้ว ก็จะคุยกับลูกเหมือนเพื่อนมากกว่า แบบนี้ดีน่ะ แบบนี้ไม่ดีน่ะ พอเข้าสู่ ม.6 ช่วงเวลานี้เพื่อนจะมีบทบาทสำคัญกับลูกแล้ว เวลาของพ่อแม่ก็จะน้อยลง แต่ก็ยังคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ จะไปเที่ยวไหน กินกะไรกับเพื่อนก็จะบอกตลอด จะเรียนพิเศษอะไร จะเข้ามหาลัยไหนก็จะคุยกัน วางแผนร่วมกันว่าจะเรียนวิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.มหิดล ขอนแก่น เชียงใหม่ ตามลำดับ พ่อแม่ก็ได้แต่หาหนังสือ คอร์สเรียนมาให้ มีความสุขมากที่ได้วางแผนอนาคตให้ลูก สุดท้ายก็ได้ดังหวัง ติดสาธารณสุข มหิดล วางแผนไว้จะให้ลูกรับราชการบอกกับลูกเสมอว่าต้องรับราชการน่ะ ไม่งั้นจะลำบาก เพราะว่าพ่อกับแม่จะเป็นภาระลูกยามแก่ ถ้าลูกรับราชการพ่อแม่ก็จะได้สิทธิรักษาพยาบาลลูก ลูกได้ไม่ลำบาก
ทุกวันนี้ ผมอายุ 38 ลูกก็เรียน ปี1 แล้วในขณะที่เพื่อน ๆ คนรอบตัวผมที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ยังส่งลูกเรียนอนุบาล เรียนชั้นประถม บางคนยังไม่มีลูกได้แต่อิจฉาผมว่าสบายแล้วอีกไม่กี่ปีลูกก็เรียนจบ ในขณะที่มันกว่าจะส่งลูกเรียนจบก็เกือบเกษียณ ก็ได้แต่บอกทุกคนกลับไปเสมอว่า กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ลำบากแค่ไหน ต้องอดทนแค่ไหน " แต่กูก็มีความสุขนะ "
ความสุขของผมเมื่อมีลูกตอนไม่พร้อม
พอลูกอายุได้ 3 ขวบ ก็เข้าโรงเรียน ไม่เคยได้เป็นคนหาว่าจะให้เข้าโรงเรียนไหน ปู่เป็นคนจัดการให้หลานทั้งหมด แต่พ่อแม่จัดการเรื่องเงิน เข้าอนุบาลโรงเรียนเอกชนอันดับ 1 ของอำเภอ แรกเข้า 2 หมื่นกว่า พ่อแม่วิ่งหาเงินเพื่อจะให้ลูกได้เข้าเรียนไปยืมเงินเถ้าแก่มาจ่ายแล้วก็ผ่อนใช้เขาไป ไม่เคยได้ไปรับไปส่งลูกไปโรงรียน ไม่เคยอาบน้ำแต่ตัวให้ลูก ด้วยอยู่กันคนละที่ ได้แต่ทำงานส่งเงินแค่นั้นที่พอจะทำได้ ไม่เคยรับรู้ว่าลูกขาดอะไรจนได้เห็นเรียงความวันแม่ของลูก กับประโยคที่ลูกเขียนว่า " หนูต้องรอให้ถึงวันเสาร์ อาทิตย์ ถึงจะได้เจอแม่ แต่หนูก็เข้าใจว่าแม่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงส่งให้หนู " แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวแม่ถึงกับร้องไห้เลยครับ ( ตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่า ไม่มีเวลาให้ลูกตอนที่ลูกต้องการพ่อแม่ พอถึงตอนที่พ่อแม่มีเวลาให้ลูก ลูกก็เข้าสู่วัยที่ไม่ต้องการพ่อแม่แล้ว ) ตั้งแต่นั้นมาลูกต้องการอะไรก็หามาให้หมด แต่ลูกไม่เคยต้องการอะไรไม่ว่าจะเป็นของเล่น ตุ้กตา หรือเสื้อผ้า ลูกต้องการแค่พ่อแม่แค่นั้นจริง ๆ ถึงจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ลูกไม่เคยขาดความอบอุ่น เพราะปู่เติมเต็มส่วนนี้ให้หมด ลูกผมจึงไม่มีอาการของเด็กขาดความอบอุ่น ตั้งใจเรียน รักการเรียน ไม่เคยบังคับให่เรียนพิเศษมีแต่จะขอเรียนเอง ผมก็ทำได้แค่สนับสนุน จบ ป.6 ก็สอบเข้า ม.1 ห้องกิ้ฟโรงเรียนรัฐบาลประจำอำเภอได้ในอันดับ 1 พ่อแม่ก็มีความสุข ช่วงเวลานี้ผมก็ทำได้แค่หาความรู้ให้ลูก แล้วก็วางแผนว่าจะเรียน ม.4 ต่อที่ไหน วางแผนไว้ 2 ที่ รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ กับ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี แต่ก็บอกลูกไว้ตลอดว่า ลูกอาจจะเป็นอันดับต้น ๆ ของโรงเรียน แต่ข้างนอกอาจจะไม่ใช่นะ ไม่ต้องไปหวังว่าจะสอบติดคิดแค่ไปลองสนาม ผมสอบก็เป็นไปตามคาด ได้แค่ตัวสำรองจุฬาภรณ์แต่เรียกไม่ถึง ไม่เป็นไร ม.ปลายเอาใหม่
เข้าสู่ ม.ปลาย ก็เรียนห้องกิ้ฟโรงเรียนเดิม ช่วงนี้เข้าสู้หัวเลี้ยวหัวตอ จะคุยกับลูกมากขึ้น คุยทุกเรื่อง บอกลูกเสมอมีอะไรให้บอกพ่อแม่ บอกได้ทุกเรื่องไม่ต้องกลัวพ่อแม่จะว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องแฟน พอลูกมีแฟนทีไรก็บอกพ่อแม่ตลอดว่ามีแฟนแล้วน่ะ พ่อกับแม่ก็ไม่เคยบอกว่ายังไม่ต้องมี ห้ามมี หรืออะไร ก็บอกแค่ว่าไว้วันไหนพามาให้พ่อแม่รู้จักมั่งนะ ผมก็บอกลูกเสมอว่ามีแฟนในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องไม่ดีน่ะ แต่ต้องรู้จักป้องกัน การมีแฟนในวัยเรียนมันจะทำให้เราอยากไปโรงเรียนทุกวันเพื่อไปเจอแฟน เมื่อก่อนพ่อก็เป็น ก็บอกลูกแบบนี้ตลอด เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ชอบทำอะไรตรงกันข้ามกับข้อห้าม ยิ่งห้ามก็ยิ่งทำ ก็เลยไม่ห้ามทำได้แต่ต้องรู้จักความปลอดภัย เพราะเราผ่านช่วงเวลาที่มีลูกเมื่อไม่พร้อมมาแล้ว ก็จะคุยกับลูกเหมือนเพื่อนมากกว่า แบบนี้ดีน่ะ แบบนี้ไม่ดีน่ะ พอเข้าสู่ ม.6 ช่วงเวลานี้เพื่อนจะมีบทบาทสำคัญกับลูกแล้ว เวลาของพ่อแม่ก็จะน้อยลง แต่ก็ยังคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ จะไปเที่ยวไหน กินกะไรกับเพื่อนก็จะบอกตลอด จะเรียนพิเศษอะไร จะเข้ามหาลัยไหนก็จะคุยกัน วางแผนร่วมกันว่าจะเรียนวิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.มหิดล ขอนแก่น เชียงใหม่ ตามลำดับ พ่อแม่ก็ได้แต่หาหนังสือ คอร์สเรียนมาให้ มีความสุขมากที่ได้วางแผนอนาคตให้ลูก สุดท้ายก็ได้ดังหวัง ติดสาธารณสุข มหิดล วางแผนไว้จะให้ลูกรับราชการบอกกับลูกเสมอว่าต้องรับราชการน่ะ ไม่งั้นจะลำบาก เพราะว่าพ่อกับแม่จะเป็นภาระลูกยามแก่ ถ้าลูกรับราชการพ่อแม่ก็จะได้สิทธิรักษาพยาบาลลูก ลูกได้ไม่ลำบาก
ทุกวันนี้ ผมอายุ 38 ลูกก็เรียน ปี1 แล้วในขณะที่เพื่อน ๆ คนรอบตัวผมที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ยังส่งลูกเรียนอนุบาล เรียนชั้นประถม บางคนยังไม่มีลูกได้แต่อิจฉาผมว่าสบายแล้วอีกไม่กี่ปีลูกก็เรียนจบ ในขณะที่มันกว่าจะส่งลูกเรียนจบก็เกือบเกษียณ ก็ได้แต่บอกทุกคนกลับไปเสมอว่า กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ลำบากแค่ไหน ต้องอดทนแค่ไหน " แต่กูก็มีความสุขนะ "