จากกระแสหนังสัปเหร่อที่ดังอย่างมากในเวลานี้ ทำให้ผมนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่องนึงที่ว่าด้วยชีวิตของผู้คนหลังความตายของคนคนนึง
ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มของอีกหลายชีวิตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง..... อย่างเช่นเธอคนนี้ .. เอริโกะ
เอริโกะ หญิงสาวที่ทิ้งชีวิตในบ้านเกิดมาอยู่ในโตเกียวด้วยความหวังที่จะเป็นดาราอย่างที่เธอใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย
เป็นเวลากว่า 10 ปีที่เธอสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ในฐานะนักแสดงสมัครเล่น
เธอพยายามอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นแคสงานที่ไหน เธอก็ไม่ย่อท้อ หากแต่วงการบันเทิงนั้นเป็นอะไรที่ยากยิ่งนัก
โดยที่ผ่านมาเธอมีผลงานเดียวเท่านั้น คือการเป็นตัวประกอบในโฆษณาเบียร์ยี่ห้อนึง...
เอริโกะ อยู่กับแฟนหนุ่มที่ต้องการเข้าสู่วงการบันเทิงเช่นกันในการเป็นดาวตลกที่ยังไม่ผ่านการเดบิวต์
ชีวิตทั้งคู่ง่อนแง่นไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่างในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ซึ่งนอกจากหางานแสดงแล้ว
เธอทำงานประจำเป็นลูกจ้างในคาเฟ่เล็กๆ จนกระทั่งวันนึงเอริโกะได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าพี่สาวคนเดียวของเธอเสียชีวิตลง...
เธอตัดสินใจกลับบ้านหลังจากที่ไม่เคยกลับไปเลยตั้งแต่จากมา 10 ปี เอริโกะพบว่าพี่สาวมีลูกชายอยู่คนนึงชื่อว่าคาสึมะ อายุ 8 ขวบ
การกลับมาครั้งนี้ของเธอไม่เป็นที่ต้อนรับจากญาติพี่น้องสักเท่าไรนัก
ด้วยความเหินห่างและกำแพงที่ตัวของเอริโกะสร้างไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ใครต่อใครคิดว่าเธอมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง จนไม่มีเวลากลับมาบ้าน..ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
หลังจัดการงานศพพี่สาว ช่วงเวลาที่อยู่บ้านทำให้เอริโกะ สนิทสนมกับคาสึมะหลานชายมากยิ่งขึ้น
เธอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะดูแลหลานแทนพี่สาวที่จากไป แต่เนื่องจากไม่มีงานก็ไม่มีเงิน เธอเลยต้องพยายามหางานทำ
จนกระทั่งเธอมาทราบว่าพี่สาวที่จากไปทำงานรับจ้างร้องไห้ในงานศพ
เอริโกะเชื่อว่างานนี้ไม่ยากสำหรับเธอด้วยความที่เป็นนักแสดงมาก่อน แต่ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือ เอริโกะร้องไห้ไม่เป็น.....
Eriko, Pretended (ในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า 見栄を張る) เป็นภาพยนตร์ดราม่าครอบครัว ผลงานของผู้กำกับสาวดาวรุ่งเอคิโยะ ฟูจิมูระ
ซึ่งรับหน้าที่เขียนบทเองอีกด้วย นำแสดงโดย คุโบะ ฮารุกะ (จาก 20th Century Girl) ในบทของเอริโกะ
สาวสวยจากบ้านนอกที่มาตามหาความฝันในเมืองใหญ่อยากเป็นดารา แม้ว่าฝันนั้นไปไม่ถึงฝั่งสักที แต่เธอก็ไม่ละความพยายาม
ในหนังไม่ได้บอกว่าเพราะอะไรเธอถึงอยากถีบตัวมากขนาดนั้น แม้จะผ่านเวลายาวถึง 10 ปี ก็ไม่ยอมกลับบ้านสักที
แต่เราจะได้ยินประโยคที่เธอพูดกับพี่สาวในตอนต้นเรื่องผ่านทางโทรศัพท์ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า
เธอไม่เคยมีเยื่อใยใดๆเลยกับคนข้างหลังที่รอเธออยู่ (ขนาดงานศพของแม่ตัวเองยังไม่ยอมกลับมา)
เรียกว่านางเอกเป็นคนที่ดื้อเงียบมากเลยทีเดียว
ก่อนที่สุดท้ายต้องกลับบ้านเพราะพี่สาวจากไปอย่างกะทันหัน...
ประเด็นของหนังมาอยู่ในช่วงที่นางเอกกลับมา และพบกับหลานชายคนเดียว ความรู้สึกรับผิดชอบที่เธอไม่เคยมีจึงก่อตัวขึ้น
อาจจะเพราะอยากไถ่บาปที่เธอมีต่อครอบครัวก็เป็นได้ ..ซึ่งเด็กน้อยที่เล่นเป็นคาสึมะนั้นน่ารัก เห็นแล้วอยากปกป้อง (ตอนนี้อายุ 17 ล่ะ)
เด็กอะไรนิสัยดีมาก แม่สอนมาดีแน่นอน เห็นแล้วคิดถึงวันเฉลิมในละครทองเนื้อเก้ามาก 555
ตัวหนังดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เหมือนเราได้ดูชีวิตของตัวละครนั้นไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อนตามสไตล์ของหนังดราม่าญี่ปุ่น
งานภาพสวย เพลงประกอบเบาๆ ทำให้ตัวหนังทำให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมใจไปกับเรื่องราวของนางเอก
ซึ่งสุดท้ายเอริโกะจะทำหน้าที่ของตัวเองออกมาได้ดีหรือไม่ ต้องไปติดตามกัน.. แต่ Ending Scene นี่ เรียกได้ว่า ยิ้มทั้งน้ำตาเลยก็ว่าได้
งานรับจ้างร้องไห้ กับการเป็นนักแสดงที่นางเอกเป็นอยู่ ถือเป็นการเปรียบเทียบกันได้ดีทีเดียวครับ
มีหลายประโยคในหนังที่น่าสนใจ คนที่ดูแลบริษัทรับจ้างดังกล่าวบอกกับนางเอกว่า เธอเป็นดาราย่อมรู้ว่าจะร้องไห้ได้อย่างไร
หากแต่การรับจ้างร้องไห้ มันไม่ได้ทำแค่บีบน้ำตาออกมา ร้องไห้ฟูมฟายอย่างเดียวเท่านั้น
แต่สิ่งที่เราทำจะเป็นการบ่งบอกตัวตนของผู้ตายให้กับคนที่ไม่รู้จัก..ให้รู้ว่าเมื่อวานคนคนนั้นยังอยู่ และตอนนี้เขาได้จากเราไปแล้ว
ไม่มีใครที่อยากจากไปอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้างอย่างแน่นอน
คนรับจ้างร้องไห้จึงเปรียบได้กับผู้ที่คอยสร้างทางเชื่อมระหว่างโลกนี้และโลกหน้าให้กับดวงวิญญาณอีกด้วย
แม้ว่าหนังจะว่าด้วยเรื่องของความตาย ที่ดูเหมือนจะหนัก แต่ทว่าเป็นการเรียนรู้ถึงการจากลา
ไม่มีใครอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป สักวันเราต้องจากกันทั้งสิ้น ขอแค่ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันนั้น
จงทำดีต่อกันจะได้ไม่มีอะไรให้ติดค้างหรือสำนึกเสียใจ และเมื่อเราจากกัน..หากสักครั้งไม่ว่าจะช่วงเวลาใดก็ตามที่เรานึกถึง
เราจะมีรอยยิ้มกับภาพความทรงจำที่เรามีต่อกันในช่วงเวลาที่แม้มันจะผ่านไปแล้วไม่หวนคืน
แต่มันจะสุขอยู่ในหัวใจและความทรงจำของเราตลอดไป...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== 見栄を張る (2016) ถ้าฉันตายไป.. เธอจะร้องไห้ให้ฉันได้มั้ย... ==
จากกระแสหนังสัปเหร่อที่ดังอย่างมากในเวลานี้ ทำให้ผมนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่องนึงที่ว่าด้วยชีวิตของผู้คนหลังความตายของคนคนนึง
ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มของอีกหลายชีวิตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง..... อย่างเช่นเธอคนนี้ .. เอริโกะ
เอริโกะ หญิงสาวที่ทิ้งชีวิตในบ้านเกิดมาอยู่ในโตเกียวด้วยความหวังที่จะเป็นดาราอย่างที่เธอใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย
เป็นเวลากว่า 10 ปีที่เธอสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ในฐานะนักแสดงสมัครเล่น
เธอพยายามอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นแคสงานที่ไหน เธอก็ไม่ย่อท้อ หากแต่วงการบันเทิงนั้นเป็นอะไรที่ยากยิ่งนัก
โดยที่ผ่านมาเธอมีผลงานเดียวเท่านั้น คือการเป็นตัวประกอบในโฆษณาเบียร์ยี่ห้อนึง...
เอริโกะ อยู่กับแฟนหนุ่มที่ต้องการเข้าสู่วงการบันเทิงเช่นกันในการเป็นดาวตลกที่ยังไม่ผ่านการเดบิวต์
ชีวิตทั้งคู่ง่อนแง่นไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่างในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ซึ่งนอกจากหางานแสดงแล้ว
เธอทำงานประจำเป็นลูกจ้างในคาเฟ่เล็กๆ จนกระทั่งวันนึงเอริโกะได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าพี่สาวคนเดียวของเธอเสียชีวิตลง...
เธอตัดสินใจกลับบ้านหลังจากที่ไม่เคยกลับไปเลยตั้งแต่จากมา 10 ปี เอริโกะพบว่าพี่สาวมีลูกชายอยู่คนนึงชื่อว่าคาสึมะ อายุ 8 ขวบ
การกลับมาครั้งนี้ของเธอไม่เป็นที่ต้อนรับจากญาติพี่น้องสักเท่าไรนัก
ด้วยความเหินห่างและกำแพงที่ตัวของเอริโกะสร้างไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ใครต่อใครคิดว่าเธอมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง จนไม่มีเวลากลับมาบ้าน..ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
หลังจัดการงานศพพี่สาว ช่วงเวลาที่อยู่บ้านทำให้เอริโกะ สนิทสนมกับคาสึมะหลานชายมากยิ่งขึ้น
เธอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะดูแลหลานแทนพี่สาวที่จากไป แต่เนื่องจากไม่มีงานก็ไม่มีเงิน เธอเลยต้องพยายามหางานทำ
จนกระทั่งเธอมาทราบว่าพี่สาวที่จากไปทำงานรับจ้างร้องไห้ในงานศพ
เอริโกะเชื่อว่างานนี้ไม่ยากสำหรับเธอด้วยความที่เป็นนักแสดงมาก่อน แต่ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือ เอริโกะร้องไห้ไม่เป็น.....
Eriko, Pretended (ในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า 見栄を張る) เป็นภาพยนตร์ดราม่าครอบครัว ผลงานของผู้กำกับสาวดาวรุ่งเอคิโยะ ฟูจิมูระ
ซึ่งรับหน้าที่เขียนบทเองอีกด้วย นำแสดงโดย คุโบะ ฮารุกะ (จาก 20th Century Girl) ในบทของเอริโกะ
สาวสวยจากบ้านนอกที่มาตามหาความฝันในเมืองใหญ่อยากเป็นดารา แม้ว่าฝันนั้นไปไม่ถึงฝั่งสักที แต่เธอก็ไม่ละความพยายาม
ในหนังไม่ได้บอกว่าเพราะอะไรเธอถึงอยากถีบตัวมากขนาดนั้น แม้จะผ่านเวลายาวถึง 10 ปี ก็ไม่ยอมกลับบ้านสักที
แต่เราจะได้ยินประโยคที่เธอพูดกับพี่สาวในตอนต้นเรื่องผ่านทางโทรศัพท์ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า
เธอไม่เคยมีเยื่อใยใดๆเลยกับคนข้างหลังที่รอเธออยู่ (ขนาดงานศพของแม่ตัวเองยังไม่ยอมกลับมา)
เรียกว่านางเอกเป็นคนที่ดื้อเงียบมากเลยทีเดียว
ก่อนที่สุดท้ายต้องกลับบ้านเพราะพี่สาวจากไปอย่างกะทันหัน...
ประเด็นของหนังมาอยู่ในช่วงที่นางเอกกลับมา และพบกับหลานชายคนเดียว ความรู้สึกรับผิดชอบที่เธอไม่เคยมีจึงก่อตัวขึ้น
อาจจะเพราะอยากไถ่บาปที่เธอมีต่อครอบครัวก็เป็นได้ ..ซึ่งเด็กน้อยที่เล่นเป็นคาสึมะนั้นน่ารัก เห็นแล้วอยากปกป้อง (ตอนนี้อายุ 17 ล่ะ)
เด็กอะไรนิสัยดีมาก แม่สอนมาดีแน่นอน เห็นแล้วคิดถึงวันเฉลิมในละครทองเนื้อเก้ามาก 555
ตัวหนังดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เหมือนเราได้ดูชีวิตของตัวละครนั้นไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อนตามสไตล์ของหนังดราม่าญี่ปุ่น
งานภาพสวย เพลงประกอบเบาๆ ทำให้ตัวหนังทำให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมใจไปกับเรื่องราวของนางเอก
ซึ่งสุดท้ายเอริโกะจะทำหน้าที่ของตัวเองออกมาได้ดีหรือไม่ ต้องไปติดตามกัน.. แต่ Ending Scene นี่ เรียกได้ว่า ยิ้มทั้งน้ำตาเลยก็ว่าได้
งานรับจ้างร้องไห้ กับการเป็นนักแสดงที่นางเอกเป็นอยู่ ถือเป็นการเปรียบเทียบกันได้ดีทีเดียวครับ
มีหลายประโยคในหนังที่น่าสนใจ คนที่ดูแลบริษัทรับจ้างดังกล่าวบอกกับนางเอกว่า เธอเป็นดาราย่อมรู้ว่าจะร้องไห้ได้อย่างไร
หากแต่การรับจ้างร้องไห้ มันไม่ได้ทำแค่บีบน้ำตาออกมา ร้องไห้ฟูมฟายอย่างเดียวเท่านั้น
แต่สิ่งที่เราทำจะเป็นการบ่งบอกตัวตนของผู้ตายให้กับคนที่ไม่รู้จัก..ให้รู้ว่าเมื่อวานคนคนนั้นยังอยู่ และตอนนี้เขาได้จากเราไปแล้ว
ไม่มีใครที่อยากจากไปอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้างอย่างแน่นอน
คนรับจ้างร้องไห้จึงเปรียบได้กับผู้ที่คอยสร้างทางเชื่อมระหว่างโลกนี้และโลกหน้าให้กับดวงวิญญาณอีกด้วย
แม้ว่าหนังจะว่าด้วยเรื่องของความตาย ที่ดูเหมือนจะหนัก แต่ทว่าเป็นการเรียนรู้ถึงการจากลา
ไม่มีใครอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป สักวันเราต้องจากกันทั้งสิ้น ขอแค่ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันนั้น
จงทำดีต่อกันจะได้ไม่มีอะไรให้ติดค้างหรือสำนึกเสียใจ และเมื่อเราจากกัน..หากสักครั้งไม่ว่าจะช่วงเวลาใดก็ตามที่เรานึกถึง
เราจะมีรอยยิ้มกับภาพความทรงจำที่เรามีต่อกันในช่วงเวลาที่แม้มันจะผ่านไปแล้วไม่หวนคืน
แต่มันจะสุขอยู่ในหัวใจและความทรงจำของเราตลอดไป...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===