ประสบการณ์แปลก(หลอน) สำหรับการวิ่ง Half Marathon 21 กิโลเมตร ณที่ชลบุรี

ได้มีโอกาสผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาเมื่อกลางปีที่แล้ว (2566) สำหรับ การวิ่ง Half Marathon ก็คือการวิ่ง 21.5 กิโลเมตร และสิ่งที่ผมเจอมาจากการวิ่งอาจจะแปลกๆหน่อย 
            ก็คือ ผมได้สมัครลงงานวิ่งระยะทาง 21.5 กิโลเมตร งานจัดที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งคนก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ในระยะการแข่งนั้นมีทั้งหมด 3 ระยะคือ 5KM 10KM และ 21KM ผมสมัครลงระยะ 21.5 กิโลเมตร ไหนๆไปวิ่งไกลๆก็เอาระยะให้คุ้มหน่อย ในงานนั้นผมสังเกตสำหรับคนที่มาลงวิ่งส่วนใหญ่คนจะลงวิ่งในระยะ 10KM ซะส่วนเยอะ แต่ในระยะทาง 21 KM ผมคิดว่าคนไม่ถึง 500 คน ซึ่งค่อนข้างน้อย เดิมที่งานนี้ก็คนไม่เยอะเพราะว่าไม่ใช่งาน เมเจอร์ใหญ่อะไร แต่ก็ยังพอมีขาแรงมาลงแข่งบ้าง *ขาแรงคือคนที่วิ่งเร็วและทำเวลาได้ดี 
           สิ่งที่ผมจะมาเล่าให้ฟังวันนี้ จะไม่มีการรีวิวการวิ่งหรือการจัดงานใดๆ เพราะ ผมวิ่งหลงทางไปในทางที่ๆ ไม่ควรไป ผมจะบอกเลยนะครับว่าที่นี่เป็นที่ๆ ผมมาลงวิ่งครั้งแรก ส่วนใหญ่ผมจะลงงานวิ่งที่ กรุงเทพฯ บางแสนฯ ในแถบปริมณฑล แต่กลับมาวิ่งที่นี่หลงทางซะงั้น งานนี้ปล่อยตัวที่เวลา ตี 4.30 น. ตอนแรกก่อนจะลงทางผมก็วิ่งมาด้วยกันกับนักวิ่งคนอื่นๆ แบบสนุกสนานเลยทักทายคนนั้นคนนี้หลายคน แต่พอถึงประมาณกี่โลเมตรที่ 12 ระยะนี้ผู้คนเริ่มห่างกันออกไปและระยะทางของ 21 กิโลเมตร ในแผนที่ระยะทางการวิ่งเหมือนจะต้องอ้อมเข้าป่าไปนิดนึง (ป่าในหมู่บ้านชนบท) ผมก็วิ่งไปปกติ ตอนนั้นกิโลที่ 12 น่าจะเวลาประมาณ ตี 5.20-5.30 น. ประมาณนี้ฟ้าก็สลัวๆ ยังไม่มีแสงเยอะมาก ในเหตุการณ์นั้นผมวิ่งตามคนข้างหน้ามองเห็นหลังอยู่ไกลๆ ระยะสายตาประมาณ 200-300 เมตรได้ เป็นทางตรงสลับเนินขึ้นลง ผมเลยกะว่าเดี๋ยวจะเร่งตามเค้าให้ทันเพื่อจะได้มีเพื่อนวิ่งเพราะอีกนิดเดียวก็จะวกกลับเข้ามาในทางที่มีไฟถนนเยอะๆแล้ว แต่ผมก็ยังตามพี่ข้างหน้าไม่ทันประจบด้วยวิ่งขึ้นเนินมาเสร็จเจอเป็น 3 แยกเป็นชนิดแบบ 3 แยกหักศอกแคบเล็กๆ ตรงนี้มันมีป้ายลูกศรนะครับว่าให้ไปทางไหนแต่ด้วยที่ว่าป้ายมันหันไปอีกด้านที่ขนานกับถนน ผมก็เลยตัดสินใจวิ่งทางตรงเลยเพราะว่าเป็นทางที่ถนนเลนกว้างสุดในแยกและมองเห็นไฟถนนอยู่ไกลๆ  นั้นแหละครับผมก็วิ่งตรงไปในทางตรงลึกเข้าไปประมาณ 200 เมตรได้ และก็อีกนิดนึงก็จะผ่านไฟถนน พอผ่านไฟถนนเสร็จผมก็เร่งความเร็วขึ้น เพื่อหวังที่จะตามคนข้างหน้าให้ทันในความคิดน่าจะมีใครซักคนที่อยู่หน้าผม ซึ่งพอผ่านไฟมาได้ประมาณ 200 กว่าเมตรทีนี่มองไม่เห็นไฟแล้วนะครับ เหมือนมีเสาไฟนะแต่ไฟไม่ติด แต่ไม่เป็นไรด้วยความที่ฟ้าเริ่มมีแสงขึ้นมานิดนึงแล้วผมก็ยังพอมองเห็นทางอยู่ แป๊ปนึงผมก็ดูที่นาฬิการผมตอนนั้น วิ่งได้ 13 กิโลกว่าแล้วเวลาก็น่าจะเกิน ตี 5.30 อยู่นิดๆ ผมคิดว่าเพราะความเร็วในการวิ่ง 13 กิโลผมน่าจะวิ่งอยู่ชั่วโมงนิดๆ ด้วยความดีรู้สึกว่าวันนี้อากาศดีผมเลยเร่งความเร็วขึ้นอีก มาที่เพซ 4.30 ผมคิดว่า ความเร็วขนาดนี้น่าต้องตามใครทันแน่ๆ ด้วยลักษณะถนนตอนนี้เป็นทางตรงโค้งยาวๆ ฝั่งขวามือผมเป็นวัด ฝั่งซ้ายเป็นป่าสลับสวนของชาวบ้าน ทันใดนั้นผมก็เจอคนจริงๆ อยู่ไกลๆในระยะสายตา ไม่น่าถึง 200 เมตร ผมเลยใจชื้นขึ้นมาว่าเจอเพื่อนแล้วจะได้มีเพื่อนวิ่งลากกันไป แต่เหมือนคนข้างหน้าผมเค้าวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เร่งตามเช่นกัน ด้วยความที่มันอาจจะเร็วเกินไปผมเลยดูที่นาฬิกา ความเร็วปาเข้าไป 4.15 เลย ผมพูดกับตัวเองว่าถ้ากูเร่งขนาดนี้ไม่จบแน่ๆ ผมก็เลยผ่อนความเร็วลง แต่พอผ่อนแล้วเหมือนพี่ข้างหน้าจะผ่อนด้วย ผมเลยคิดว่าไม่ต้องสนใจเค้าหรอกวิ่งในแผนของเราก็พอ และวิ่งไปแป๊ปนึงเหมือนผมจะเข้าใกล้พี่คนข้างหน้าเค้ามากขึ้นจนได้รู้เค้าคือผู้หญิงมีอายุแต่............. ผมผิดสังเกตที่ 1 ใส่เสื้อสีขาว กางเกงสีขาวขายาว และที่สำคัญไม่ใส่รองเท้าวิ่ง คือ วิ่งเท้าเปล่าๆ เลยผมเลยทึ่งมากๆ ในระไม่ถึงเกิน 30 เมตร ผมมองตาไม่ฟาดแน่ๆ พอได้จังหวะผมเลยจะวิ่งแซงขึ้นไปคุย แต่พอผมเร่งความเร็วขึ้นเหมือนเค้าได้ยินเสียงเท้าผมเข้าก็เร่งสปีดขึ้นอีก ผมเลยตะโกนออกไปเลยว่าพี่รอผมด้วย ลากผมไปด้วยกัน.... จากนั้น (ในใจผมตอนนั้นผมไม่คิดอะไร นอกจากคิดว่าจะตามให้ทันเพื่อไปคุย เพราะคิดว่าพี่เค้าคือนักวิ่งที่แต่งตัวแฟนซีมาวิ่ง ถ้าหากใครไปงานวิ่งก็น่าจะเจอประจำ) หลังจากที่ผมพูดเสร็จเอ้อ แกก็ผ่อนลงๆ พอผมจะเข้าไปใกล้ๆ เหลืออีกนิดเดียว อีกนิดเดียวจะทันแล้ว พี่แกดัน สปีด และ สปริ้น เลี้ยวหักศอกกระโดดเข้าป่าทางขวามือผม และหายไปเลยผมได้ยินเสียงดังจากพุ่มไม้และเสียงหัวเราะเสียงเป็นเสียงป้าผู้หญิงดังมากๆ พอผมเจอจังหวะนั้นไปผมร้องดังๆ เลยเห้ยยยยยยยยยย  ยิ้มยยยยยยยย ฟักกกกก!!!! แล้ว จากนั้นความรู้กสึกมันเย็นและชาขึ้นทั้งตัว ขนหัว ขนทั้งตัวลุกไปหมด ตด ด้วย ไม่ถึงขั้นถึงขี้แตกนะครับ ผมเลยหยุดขาแทบแข็ง โทรศัพท์ผมก็ไม่ได้เอาติดตัวมา ที่ตัวผมมีแค่เจลพลังงานและนาฬิกาที่เอาไว้ดูความเร็วและหัวใจ ตอนนั้นถ้าภาษาวิ่งหัวใจผมขึ้นไปถึงโซน 5 ทั้งๆ ที่ผมหยุดวิ่งเลย หัวใจเต้นเร็วมาก ผมดูนาฬิกาตอนนี้วิ่งได้ 15 กิโลแล้ว อยู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมา ผมมองหาใครไม่เจอเลยซักคน ผมตะโกนดังๆ บอกผมโดนผีหลอก ผมโดนผีหลอก ผมโดนผีหลอก และก็อยู่ๆมันก็มีลมและได้ยินเสียงต้นไม้ขยับดังๆ ได้ยินเสียงใบไม้พัดตีกัน ผมพยามยามตั้งสติ และมองไปรอบๆเพื่อที่จะคิดทางไหนดี ผมเลยค่อยๆเดินกลับทางเดิน ขาก็แข็ง ก้าวก็ไม่ค่อยจะออก ตอนนั้นผมลืมเหนื่อยไปแล้ว ผมคิดในใจกูว่าแล้วทำไมไม่เจอใคร ไม่เจอจุดให้น้ำ ทั้งๆที่ควรจะถึงตั้งนานแล้ว จากนั้นผมก็ดูนาฬิกาอีกรอบ 15 กิโลเมตรแล้ว (คิดในแสดงว่าผมมาน่าจะมาผิดทางไปแล้วกว่า 3 กิโล จะบอกว่าซึ่งมันไกลมากๆ นะครับทุกคน) ผมเลยพยายามตั้งสติ ทั้งๆที่น้ำตาไหล ผมพยามวิ่งกลับทางเดิมตลอดทางผมวิ่งผมคิดเรื่องนี้ตลอด และเสียงหัวเราะนั้นมันหลอนอยู่ในหูผมตลอดเวลา จนผมวิ่งออกเจอ 3 แยกและเจอกันที่วิ่งด้วยกันผมเลยใจชื้นขึ้นมา และคนที่เจอผมเค้าถามว่าน้องแวะเข้าห้องน้ำมาหรอ ผมได้แต่บอกว่าพี่ๆ ผมโดนผีหลอก เมื่อกี้ผมหลงทาง มีแต่คนหัวเราะคิดว่าผมอำตอนวิ่ง แต่ผมก็ลากตัวเองวิ่งจนจบเข้าเส้น ผมก็รีบเล่าให้แฟนให้แม่ฟัง จากนั้นก็ไปทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร จนถึงวันนี้ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์นี้ และ ไม่กล้าลงงานวิ่งต่างจังหวัดระยะไกลๆ อีกเลย ต่อไปคงจะลงงานที่ใหญ่ๆ ไม่เข้าป่าครับ
              เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้เพื่อนๆ สมาชิกฟังก็มีแค่นี้ครับ ครั้งแรกที่เจอแบบนี้ ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย และขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะไม่เจอเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนผมนะครับ เพราะตอนนี้มันก็ยังเอาออกจากหัวไม่ได้ ก่อนนอนบางคืนผมก็ยังคิดวนมาถึงเรื่องนี้ตลอดเลย ไม่รู้ผมคิดมากไปรึป่าว เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา หมวก ที่ผมใช้วันนั้นผมทิ้งหมดเลยครับ เพราะว่าเวลาผมเห็นของที่ใช้วันนั้นทีไร ผมจะนึกถึงและน้ำตาไหลตลอดเลย ขอบคุณครับ ขอให้เพื่อนๆ โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่