สืบเนื่องจากกระทู้
แชร์ประสบการณ์สะดืออักเสบเลยคิดว่าแชร์เรื่องการผ่าตัดไปด้วยเลยแล้วกัน
เพราะก่อนผ่าตัดเราก็สงสัยว่ามันจะเป็นยังไง บรรยากาศแบบไหน ผ่าตัดแล้วดูแลแผลยังไง
ข้อมูลที่แชร์เป็นประสบการณ์จากการผ่าตัดครั้งแรกของเราเลย
ซึ่งการผ่าตัดของแต่ละคนคงมีขั้นตอนที่ไม่เหมือนกันบ้างตามอาการและ policy ของโรงพยาบาลที่แตกต่างกันไปน้า
- ผ่าตัดแบบไหน -
ตอนที่รู้ตัวว่าต้องผ่า คนรอบตัวถามแบบเดียวกันว่า "ผ่าตัดเล็กหรือผ่าตัดใหญ่"
ซึ่งถามหมอกับพยาบาลก็ได้คำตอบไม่เหมือนกันนะ 5555
หมอได้ยินคำถามก็นิ่งคิดไปแป๊ปนึง แล้วบอกว่า หมอบลอคหลังด้วย ก็เป็นผ่าตัดใหญ่ละมัง แต่แผลเล็กนะ เปิดนิดเดียว
อะ ตัดภาพไปจังหวะที่นอนรอผ่าแล้วพยาบาลเดินมา คุณแม่ถามว่าผ่าเล็กหรือใหญ่ พยาบาลก็ตอบว่าเล็ก
สำหรับเรานิยามเล็กใหญ่เลยไม่ได้สำคัญเท่ากับรักษาตัวนานหรือเปล่านะ
- ก่อนผ่าตัดต้องเตรียมตัวยังไง -
อาหาร :: งดอาหาร 6 ชม.ก่อนผ่าตัด รพ.จะให้น้ำเกลือแทน
ห้องน้ำ :: ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อน ส่วนนึงคือจะได้ไม่มี accident ขณะผ่า อีกส่วนคือห้องผ่าตัดหนาวมากกกกก พาปวดฉี่ได้ง่ายๆ แน่นอน
เครื่องประดับ :: ตุ้มหู แหวน สร้อย นาฬิกา แว่นตา เครื่องประดับใดๆ เค้าจะให้ถอดออกหมดเลยนะ
ประจำเดือน :: ถ้ามีประจำเดือนตอนผ่าตัดให้แจ้งพยาบาลไว้เลย เค้าจะมีกางเกงมาให้เปลี่ยน
ของเราตอนแรกให้อดข้าว 9 โมงเช้าและนัดผ่าตัด 4 โมงเย็น
แต่ว่าถึงเวลาคุณหมอน่าจะติดงาน เลยมารับเราไปเตรียมผ่าตอน 4:30 กว่าๆ ได้
ทางรพ.จะมีเตียงอีกชนิดเข็นมาให้เราย้ายตัวไปนอนแทน เป็นเตียงเล็กๆ แข็งๆ เหมือนที่เห็นทั่วไปเลย
ระหว่างเข็นพยาบาลแอบบอกว่าถ้าเวียนหัวให้นอนหลับตาไปเลยนะ เพราะมันอาจจะเหวี่ยงๆ หน่อยตอนเลี้ยวไปเลี้ยวมา
เราถูกเข็นไปนอนรอนอกห้องผ่าตัดน่าจะราวๆ 20-30 นาที แล้วถึงได้เข้าห้องผ่าหลังจากที่คุณหมอๆ เตรียมอุปกรณ์เสร็จ
- ในห้องผ่าตัด -
พอเข็นเราเข้าห้องผ่าตัดแล้วจะมีการย้ายเตียงอีกรอบ รอบนี้ให้ขึ้นไปนอนเตียงผ่าตัด
เตียงเป็นทรงไม้กางเขน นอนแล้วให้กางแขนซ้ายขวายืดออกไปเลย
จังหวะนี้คุณหมอจะยุกยิกกับสายน้ำเกลือนิดหน่อยเหมือนจะต้องฉีดยาเข้าสายน้ำเกลือเรา
หลังจากบลอคหลังเสร็จมีการแปะแผ่นวัดการเต้นหัวใจ และมีท่อออกซิเจนให้
แก ห้องผ่าตัดเล็กๆ ไม่มืด ไม่เวิ้งว้างเหมือนที่ดูในหนังเลย ใช่สิ ฉันมันแค่สะดืออักเสบนี่
- บลอคหลัง -
คำถามยอดฮิตว่าเจ็บไหม ส่วนตัวเราไม่เจ็บเลย
ตอนบลอคหลังหมอจะให้เปลี่ยนท่าไปนอนตะแคงขดตัว เก็บคองอเข่าให้เยอะๆ
จุดนั้นก็คือหนาวมาก งอแบบตัวสั่นงั่กๆ ผู้ช่วยหมอเลยเดินไปปรับแอร์ให้นิดนึง กับเอาเครื่องเป่าลมอุ่นมาเป่าให้
จังหวะที่หมอกระทำการบลอคหลัง เรารู้สึกว่าเข็มน่าจะเล็ก เพราะสัมผัสตอนโดนเข็มทิ่มมันเหมือนมดตัวเล็กกัดเลย
จากนั้นจะรู้สึกเย็นไล่จากก้นกบขึ้นมาได้ไม่ไกลก็เริ่มชาแล้ว ของเค้าดีจริมๆ
ก่อนครึ่งล่างจะชาไปหมด หมอจะจับพลิกกลับมานอนหงาย แล้วตีๆ ขาเราตลอดพร้อมกับถามว่าชาหรือยัง
ตอนนั้นคือรู้สึกแค่ว่ามันเริ่มชาแล้วแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าเราหมดความรู้สึกอย่างสมบูรณ์แล้วยัง จนกระทั่งหมอถามว่า เจ็บมั้ย...
โอเค... ลงมีดไปแล้วสินะ...
- การผ่าตัด -
เสียดายที่เราไม่ได้เห็นกิจกรรมผ่าตัดถึงแม้มันจะเกิดขึ้นในระยะประชิดก็ตาม
หมอเอาฉากกั้นมาวางตั้งไว้แถวๆ ไหปลาร้า แล้วมีผ้าสีเขียวคลุมอีกทีไม่ให้เห็นส่วนล่างของตัวเอง
ระหว่างผ่าตัดเราตัวสั่นงั่กตลอด ตอนแรกงงมากว่าทำไมถึงสั่นขนาดนี้
อย่างแรกเพราะไม่รู้สึกหนาว ไม่มีอาการขนลุก และสำรวจตัวเองแล้วก็ไม่ได้รู้สึกกลัวขนาดนั้น
แต่ตัวสั่นไม่หยุดจนนอยด์ว่า เอะ หรือเสียเลือดจนสั่นเปล่าวะ เหมือนในหนังงี้
แต่สรุปไม่ใช่นะ มันคือหนาวน่ะแหละ แต่เดาว่ามันคงชาจนการรับรู้อุณหภูมิไม่เหมือนปกติ
ที่รู้เพราะว่าตอนที่ผู้ช่วยหมอเอาท่อลมอุ่นมาพ่นให้อีกที ตัวก็หายสั่น นอนสบายแทบหลับได้เลย
จะมีจังหวะแห่งจินตนาการอยู่ช่วงใกล้เสร็จ คือเราไม่รู้สึกเจ็บ แต่รู้สึกว่าโดนดึงหนังที่ท้องแรงมากกับรู้สึกจุกแถวกลางตัว
ในหัวก็โลดแล่นไปว่าหรือแท้จริงไม่ได้ผ่าเล็กๆ แต่ถลกท้องออกมาดูกันนะ ...ก็ว่าไปนั่น
ระหว่างผ่ามีผู้ช่วยหมอมาเติมยาในสายน้ำเกลือบ้าง
มีหมอวิสัญญีแวะมาถามไถ่บ้างว่าเอายาสลบมั้ย มีชะโงกข้ามฉากกั้นไปดูเป็นพักๆ และอัปเดตสถานการณ์ให้ตอนใกล้เสร็จแล้ว
(หมอวิฯ เค้าคอยดูให้น่าจะเพราะเห็นว่าผ่าตัดครั้งแรก น่ารักมาก 555)
- หลังผ่าตัด -
เย็บแผลเสร็จอะไรเสร็จเค้าจะให้ย้ายกลับเตียงเดิม (หมอๆ ช่วยกันยกลากไปเพราะขยับไม่ได้อยู่)
เค้าจะเข็นเตียงมาพักหน้าห้องผ่าตัดก่อน เป็นโซนที่เตรียมไว้ให้พักโดยเฉพาะ
อันนี้เพื่อรอดูว่าจะมีอาการอะไรไหม นอนมองเพดานยาวๆ ไป 45 นาที ครบเวลาเค้าถึงเข็นกลับห้อง
ส่วนนี้คุยกับที่บ้านดีๆ นะ เพราะอย่างตอนก่อนผ่าเราก็จะประเมินกันว่าผ่าตัดราวๆ 1-2 ชม. เสร็จ
แต่เราไม่ได้เผื่อเวลา 45 นาทีที่ต้องนอนพักรอดูอาการด้วย ถ้ามีใครรออยู่แล้วไม่รู้อาจจะนอยด์ได้ว่าหายไปไหนนาน
(ของเราออกไปตอนประมาณ 16:30 ได้กลับห้องอีกที 21:00 กว่าๆ)
นอนพักไม่นานเราจะเริ่มขยับนิ้วเท้า ขยับขาได้แล้ว เป็นช่วงที่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่รู้สึกเมื่อยมากกก
ด้วยความที่เป็นคนมีก้นด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ ตอนนั้นที่ขยับท่อนล่างไม่ได้จะรู้สึกว่าตัวหนักมากและทับจนเมื่อยก้นมากๆ
เป็นเหตุให้เรายุกยิกพยายามลากตัวเองให้อยู่ในท่าที่ไม่เมื่อยก้นไม่เมื่อยหลังทั้งๆ ที่ขยับขาไม่ได้ 5555
ช่วงแรกยังไม่ต้องกังวลเรื่องเข้าห้องน้ำ เพราะว่าหมอจะสวนท่อปัสสาวะให้ตั้งแต่ผ่าตัดเลย
เคสเราได้เอาท่อและถุงน้ำเกลือออกตอนเช้า (แต่ยังเหลือสายน้ำเกลือไว้ฉีดยา)
แต่อย่างเคสพี่เราที่ผ่ามดลูก+ซีสต์จะสวนท่อต่ออีกเป็นวันเพราะว่าเดินไม่ไหว
(ที่ไม่เหมือนเราอีกอย่างคือ ก่อนผ่าพี่จะโดนสวนก้นด้วยสองทีแต่ของเราไม่มี)
หลังกลับถึงห้อง พยาบาลจะมาฉีดยาและวัดความดันเรื่อยๆ ทั้งคืน
ยาแก้ปวด (มอร์ฟีน) คือดีมาก ฉีดปั๊บหายปวดปุ๊บ และถ้าปวดไม่ไหวก็ขอเพิ่มได้
มีอีเวนท์ด้วยว่าเช้ามืดเรารู้สึกปวดและไม่สบายตัวมากจนต้องขอยาแก้ปวดเพิ่ม
ซึ่งพอฉีดแล้วเราหายปวดตัวทันทีเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ side effect ค่าา
Side effect มาแบบทันทีที่ยาเข้าเส้น รอบนั้นจะรู้สึกได้ว่าฉีดแล้วมันวิ่งขึ้นสมอง จากนั้นจะวิ้งๆ อย่างกับมีดาวระยิบอยู่บนหัวเหมือนในการ์ตูนเลย
วันนั้นทั้งวันเรามึนมากแบบลุกขึ้นมาแทบไม่ไหว ปวดหัวสุดๆ ทานข้าวไม่ลง มีคนมาเยี่ยมคุยได้ซักพักอิฉันต้องหลับตาคุย
หลังคนเยี่ยมกลับไปมีอาเจียนด้วยเนื่องจากสู้แขกไปหน่อย ไม่เจียมสังขาร
อาการทั้งหมดพยาบาลบอกว่าแล้วแต่คน บางคนแป๊ปเดียวหายแต่บางคนก็มี effect ได้ถึง 10 ชม. ส่วนนี้ก็ลุ้นกันไป
ยาแก้ปวดตัวอื่นๆ เราไม่มี side effect มาก อย่างมากคือรู้สึกขมในปาก (ทั้งๆ ที่เป็นการฉีดเข้าสายน้ำเกลือ)
ดื่มน้ำเยอะๆ เอาแล้วจะรู้สึกดีขึ้น
- การรักษาตัว -
หมอจะบอกอย่างหนักแน่นว่าให้เดินเยอะๆ นะ เพราะจะได้ไม่เป็นพังผืด ถ้าเป็นเดี๋ยวต้องกลับมารักษาอีก
แต่ก็อย่าซ่าเดินเร็วไปหรือออกแรงเยอะไป แค่ขอให้ได้ขยับตัวบ่อยๆ ก็พอ (เน้นความถี่ไม่เน้นความหนัก)
อาจจะเพราะแผลเราเล็ก ถ้าไม่นับวันแรกที่เมามอร์ฟีนจัดๆ จนลุกไม่ไหว วันที่สองเราเดินปกติได้แล้ว
ที่สำคัญคือต้องกล้าลุก กล้าเดินหน่อย เราจะกลัวเจ็บตอนแรก แต่พอได้เดินจริงๆ มันโอเคนะ
หมอจะแวะมาดูทุกวัน ทำแผลทุกวัน จากนั้นวันสุดท้ายจะแปะแผลไว้ 14 วันไม่ให้โดนน้ำ จากนั้นค่อยไปตัดไหม
ระหว่างนี้ซื้อ scar gel เตรียมไว้ได้เลย จากที่ศึกษามาจะฮิตใช้กัน 2 ตัวคู่กันคือ
Silicone gel sheet กับ Silicone scar gel จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างของชาวโซเชียลรวมถึงพยาบาลและเภสัช
Silicone gel จะช่วยได้เยอะมาก แต่ต้องใช้ติดต่อกัน 1-2 เดือน คำว่าติดต่อกันคือแปะทั้งวันทั้งคืน
เอามาล้างทำความสะอาดแค่ตอนอาบน้ำแล้วผึ่งทิ้งไว้รอใช้ต่อ
ส่วน scar gel ที่ใช้เป็น silicone เพราะพอมันแห้งจะกลายเป็นเหมือนฟิล์มบางๆ กันน้ำได้
เวลาที่สามารถใช้แก๊ง silicone ได้คือตอนที่แผลแห้งแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าให้ใช้หลังตัดไหม
แต่ถ้าตัดไหมแล้วมันเป็นแผลอยู่ หรือสะเก็ดหลุดแล้วแผลยังดูเปียกๆ ก็อย่าเพิ่งแปะหรือทา
รอให้แห้งจริงๆ ค่อยใช้เพราะไม่งั้นจะทำให้แผลหายช้ากว่าเดิม
คำว่าใช้คู่กันจริงๆ เราก็ใช้นัวมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเภสัชแต่ละที่กล่าวไม่ตรงกัน
บางที่บอกให้ทา scar gel ทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนและค่อยแปะ scar sheet
บางเจ้าบอกว่าให้ใช้ scar gel ให้หมดหลอดก่อนแล้วค่อยแปะ scar sheet
เราเลยแล้วแต่วันแล้วแต่อารมณ์ มีขี้เกียจทา scar gel บ้าง แต่แปะ sheet ตลอดนะ 5555
ชี้เป้าแบบรวบรัด ยี่ห้อที่เราใช้คือ
Cica-Care Gel Sheet กับ
Rebac Scar Gel
ตัว Rebac นี่เป็นแบรนด์เกิดใหม่ เราซื้อเพราะแค่เป็นมนุษย์ชอบลองสายทางเลือก
เพราะงั้นถ้าไม่มั่นใจจะใช้
Dermatix ก็ได้เพราะเป็นยี่ห้อที่อยู่มานานแล้ว เป็นที่รู้จักมากกว่า และราคาพอๆ กัน
อ่ะ แต่ถ้าใครอยู่ต่างประเทศ มีอีกยี่ห้อที่ดังมากและเป็นเจล medical grade เหมือนกันคือ Kelo-cote
ตัวนี้เราหาในไทยไม่เจอ หรือเจอก็คือแพ๊งง เลยบอกไว้ให้เป็นทางเลือกนะ
อ้อ ตัว gel sheet ตอนซื้อกะขนาดให้พอดีกับแผลตัวเองกันอีกทีนะ ราคาตามไซส์เลย
และควรซื้อให้มีสำรอง 2 แผ่นด้วยเพราะต้องแปะทั้งกลางวันและกลางคืน
ส่วนตัวเราใช้ได้ 1 เดือนกาวเริ่มไม่ติดแล้ว จะซื้อเผื่อๆ ไว้ 2 เซทเอาชัวร์ก็ได้
- ตัดไหม -
เรารอ 14 วันถึงได้ตัดไหม
แม่ขู่ไว้ว่าปกติ 7 วันเค้าก็ตัดไหมกันแล้ว แต่นี่ 14 วันเนื้อมันจะเริ่มแห้ง ตอนรูดไหมออกมันจะเจ็บเลยล่ะ (จ้าาาา)
สุดท้ายโชคดีที่เจ็บแบบพอทน ความรู้สึกตอนตัดไหมจะเหมือนกับถูกดึงขนเส้นหนาๆ ออกจากผิวหนัง
ได้แผลเพิ่มมาบ้างจากการตัดไหม ซึ่งหมอบอกว่าอย่าโดนน้ำ 3 วัน แต่พยาบาลที่ตัดไหมบอกว่าเว้นไปเลย 7 วันสวยๆ
หลังตัดไหมเสร็จอยู่ที่เราแล้วว่าอยากจะดูแลแผลยังไง เชื่อหมอพยาบาลมากแค่ไหน
ถ้าไม่อยากปิดตายสะดือตลอดเวลาก็อย่าลืมซื้อผ้าก๊อตมาแปะไว้ด้วย เพราะยังไงมันมีสะเก็ดอยู่ โดนเสื้อผ้าก็เกี่ยวสะเปะสะปะ
เราเลือกแปะสติกเกอร์กันน้ำเฉพาะเวลาอาบน้ำเพราะแผลเราแห้งช้า นอกนั้นก็แปะผ้าก๊อตไว้หลวมๆ
สติกเกอร์กันน้ำเราใช้ปนๆ กัน 2 ยี่ห้อนี้ ซึ่งก็ใช้ได้เหมือนกัน ชี้เป้าให้ไปตำกันได้เลย
Tigerplast SOS
แต่ถ้าเอาไวก็วิ่งเข้าเซเว่นได้เลย คิดว่าน่าจะมีทุกสาขาเลยแหละ
- ได้ลางานกี่วัน -
คุมหมอเขียนให้ลาได้ 7 วันถ้วน แต่ของพี่เราที่ผ่าใหญ่กว่าก็จะได้ลา 14 วัน
- กินอะไรได้บ้าง -
เคสเราคุมหมอไม่ห้ามเลย กินอะไรก็ได้ตามสบาย
- ออกกำลังกายได้เมื่อไหร่ -
2 อาทิตย์แรกหลังผ่ายังไม่ให้ออกกำลังกาย (แต่แผลเราเล็กแบบ 1.5-2 ซม.ได้)
หลังจากนั้นเช็คและประเมินร่างตัวเองดูได้เลยว่าไหวแค่ไหน
------------------------------
เท่าที่นึกออกก็มีประมาณนี้เลยจ่ะ หวังว่าจะช่วยเห็นภาพการผ่าตัดและการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดได้ไม่มากก็น้อยนะครัชช
สวัสดี.
แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดสะดือนะจ๊ะ
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะเพราะก่อนผ่าตัดเราก็สงสัยว่ามันจะเป็นยังไง บรรยากาศแบบไหน ผ่าตัดแล้วดูแลแผลยังไง
ข้อมูลที่แชร์เป็นประสบการณ์จากการผ่าตัดครั้งแรกของเราเลย
ซึ่งการผ่าตัดของแต่ละคนคงมีขั้นตอนที่ไม่เหมือนกันบ้างตามอาการและ policy ของโรงพยาบาลที่แตกต่างกันไปน้า
- ผ่าตัดแบบไหน -
ตอนที่รู้ตัวว่าต้องผ่า คนรอบตัวถามแบบเดียวกันว่า "ผ่าตัดเล็กหรือผ่าตัดใหญ่"
ซึ่งถามหมอกับพยาบาลก็ได้คำตอบไม่เหมือนกันนะ 5555
หมอได้ยินคำถามก็นิ่งคิดไปแป๊ปนึง แล้วบอกว่า หมอบลอคหลังด้วย ก็เป็นผ่าตัดใหญ่ละมัง แต่แผลเล็กนะ เปิดนิดเดียว
อะ ตัดภาพไปจังหวะที่นอนรอผ่าแล้วพยาบาลเดินมา คุณแม่ถามว่าผ่าเล็กหรือใหญ่ พยาบาลก็ตอบว่าเล็ก
สำหรับเรานิยามเล็กใหญ่เลยไม่ได้สำคัญเท่ากับรักษาตัวนานหรือเปล่านะ
- ก่อนผ่าตัดต้องเตรียมตัวยังไง -
อาหาร :: งดอาหาร 6 ชม.ก่อนผ่าตัด รพ.จะให้น้ำเกลือแทน
ห้องน้ำ :: ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อน ส่วนนึงคือจะได้ไม่มี accident ขณะผ่า อีกส่วนคือห้องผ่าตัดหนาวมากกกกก พาปวดฉี่ได้ง่ายๆ แน่นอน
เครื่องประดับ :: ตุ้มหู แหวน สร้อย นาฬิกา แว่นตา เครื่องประดับใดๆ เค้าจะให้ถอดออกหมดเลยนะ
ประจำเดือน :: ถ้ามีประจำเดือนตอนผ่าตัดให้แจ้งพยาบาลไว้เลย เค้าจะมีกางเกงมาให้เปลี่ยน
ของเราตอนแรกให้อดข้าว 9 โมงเช้าและนัดผ่าตัด 4 โมงเย็น
แต่ว่าถึงเวลาคุณหมอน่าจะติดงาน เลยมารับเราไปเตรียมผ่าตอน 4:30 กว่าๆ ได้
ทางรพ.จะมีเตียงอีกชนิดเข็นมาให้เราย้ายตัวไปนอนแทน เป็นเตียงเล็กๆ แข็งๆ เหมือนที่เห็นทั่วไปเลย
ระหว่างเข็นพยาบาลแอบบอกว่าถ้าเวียนหัวให้นอนหลับตาไปเลยนะ เพราะมันอาจจะเหวี่ยงๆ หน่อยตอนเลี้ยวไปเลี้ยวมา
เราถูกเข็นไปนอนรอนอกห้องผ่าตัดน่าจะราวๆ 20-30 นาที แล้วถึงได้เข้าห้องผ่าหลังจากที่คุณหมอๆ เตรียมอุปกรณ์เสร็จ
- ในห้องผ่าตัด -
พอเข็นเราเข้าห้องผ่าตัดแล้วจะมีการย้ายเตียงอีกรอบ รอบนี้ให้ขึ้นไปนอนเตียงผ่าตัด
เตียงเป็นทรงไม้กางเขน นอนแล้วให้กางแขนซ้ายขวายืดออกไปเลย
จังหวะนี้คุณหมอจะยุกยิกกับสายน้ำเกลือนิดหน่อยเหมือนจะต้องฉีดยาเข้าสายน้ำเกลือเรา
หลังจากบลอคหลังเสร็จมีการแปะแผ่นวัดการเต้นหัวใจ และมีท่อออกซิเจนให้
แก ห้องผ่าตัดเล็กๆ ไม่มืด ไม่เวิ้งว้างเหมือนที่ดูในหนังเลย ใช่สิ ฉันมันแค่สะดืออักเสบนี่
- บลอคหลัง -
คำถามยอดฮิตว่าเจ็บไหม ส่วนตัวเราไม่เจ็บเลย
ตอนบลอคหลังหมอจะให้เปลี่ยนท่าไปนอนตะแคงขดตัว เก็บคองอเข่าให้เยอะๆ
จุดนั้นก็คือหนาวมาก งอแบบตัวสั่นงั่กๆ ผู้ช่วยหมอเลยเดินไปปรับแอร์ให้นิดนึง กับเอาเครื่องเป่าลมอุ่นมาเป่าให้
จังหวะที่หมอกระทำการบลอคหลัง เรารู้สึกว่าเข็มน่าจะเล็ก เพราะสัมผัสตอนโดนเข็มทิ่มมันเหมือนมดตัวเล็กกัดเลย
จากนั้นจะรู้สึกเย็นไล่จากก้นกบขึ้นมาได้ไม่ไกลก็เริ่มชาแล้ว ของเค้าดีจริมๆ
ก่อนครึ่งล่างจะชาไปหมด หมอจะจับพลิกกลับมานอนหงาย แล้วตีๆ ขาเราตลอดพร้อมกับถามว่าชาหรือยัง
ตอนนั้นคือรู้สึกแค่ว่ามันเริ่มชาแล้วแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าเราหมดความรู้สึกอย่างสมบูรณ์แล้วยัง จนกระทั่งหมอถามว่า เจ็บมั้ย...
โอเค... ลงมีดไปแล้วสินะ...
- การผ่าตัด -
เสียดายที่เราไม่ได้เห็นกิจกรรมผ่าตัดถึงแม้มันจะเกิดขึ้นในระยะประชิดก็ตาม
หมอเอาฉากกั้นมาวางตั้งไว้แถวๆ ไหปลาร้า แล้วมีผ้าสีเขียวคลุมอีกทีไม่ให้เห็นส่วนล่างของตัวเอง
ระหว่างผ่าตัดเราตัวสั่นงั่กตลอด ตอนแรกงงมากว่าทำไมถึงสั่นขนาดนี้
อย่างแรกเพราะไม่รู้สึกหนาว ไม่มีอาการขนลุก และสำรวจตัวเองแล้วก็ไม่ได้รู้สึกกลัวขนาดนั้น
แต่ตัวสั่นไม่หยุดจนนอยด์ว่า เอะ หรือเสียเลือดจนสั่นเปล่าวะ เหมือนในหนังงี้
แต่สรุปไม่ใช่นะ มันคือหนาวน่ะแหละ แต่เดาว่ามันคงชาจนการรับรู้อุณหภูมิไม่เหมือนปกติ
ที่รู้เพราะว่าตอนที่ผู้ช่วยหมอเอาท่อลมอุ่นมาพ่นให้อีกที ตัวก็หายสั่น นอนสบายแทบหลับได้เลย
จะมีจังหวะแห่งจินตนาการอยู่ช่วงใกล้เสร็จ คือเราไม่รู้สึกเจ็บ แต่รู้สึกว่าโดนดึงหนังที่ท้องแรงมากกับรู้สึกจุกแถวกลางตัว
ในหัวก็โลดแล่นไปว่าหรือแท้จริงไม่ได้ผ่าเล็กๆ แต่ถลกท้องออกมาดูกันนะ ...ก็ว่าไปนั่น
ระหว่างผ่ามีผู้ช่วยหมอมาเติมยาในสายน้ำเกลือบ้าง
มีหมอวิสัญญีแวะมาถามไถ่บ้างว่าเอายาสลบมั้ย มีชะโงกข้ามฉากกั้นไปดูเป็นพักๆ และอัปเดตสถานการณ์ให้ตอนใกล้เสร็จแล้ว
(หมอวิฯ เค้าคอยดูให้น่าจะเพราะเห็นว่าผ่าตัดครั้งแรก น่ารักมาก 555)
- หลังผ่าตัด -
เย็บแผลเสร็จอะไรเสร็จเค้าจะให้ย้ายกลับเตียงเดิม (หมอๆ ช่วยกันยกลากไปเพราะขยับไม่ได้อยู่)
เค้าจะเข็นเตียงมาพักหน้าห้องผ่าตัดก่อน เป็นโซนที่เตรียมไว้ให้พักโดยเฉพาะ
อันนี้เพื่อรอดูว่าจะมีอาการอะไรไหม นอนมองเพดานยาวๆ ไป 45 นาที ครบเวลาเค้าถึงเข็นกลับห้อง
ส่วนนี้คุยกับที่บ้านดีๆ นะ เพราะอย่างตอนก่อนผ่าเราก็จะประเมินกันว่าผ่าตัดราวๆ 1-2 ชม. เสร็จ
แต่เราไม่ได้เผื่อเวลา 45 นาทีที่ต้องนอนพักรอดูอาการด้วย ถ้ามีใครรออยู่แล้วไม่รู้อาจจะนอยด์ได้ว่าหายไปไหนนาน
(ของเราออกไปตอนประมาณ 16:30 ได้กลับห้องอีกที 21:00 กว่าๆ)
นอนพักไม่นานเราจะเริ่มขยับนิ้วเท้า ขยับขาได้แล้ว เป็นช่วงที่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่รู้สึกเมื่อยมากกก
ด้วยความที่เป็นคนมีก้นด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ ตอนนั้นที่ขยับท่อนล่างไม่ได้จะรู้สึกว่าตัวหนักมากและทับจนเมื่อยก้นมากๆ
เป็นเหตุให้เรายุกยิกพยายามลากตัวเองให้อยู่ในท่าที่ไม่เมื่อยก้นไม่เมื่อยหลังทั้งๆ ที่ขยับขาไม่ได้ 5555
ช่วงแรกยังไม่ต้องกังวลเรื่องเข้าห้องน้ำ เพราะว่าหมอจะสวนท่อปัสสาวะให้ตั้งแต่ผ่าตัดเลย
เคสเราได้เอาท่อและถุงน้ำเกลือออกตอนเช้า (แต่ยังเหลือสายน้ำเกลือไว้ฉีดยา)
แต่อย่างเคสพี่เราที่ผ่ามดลูก+ซีสต์จะสวนท่อต่ออีกเป็นวันเพราะว่าเดินไม่ไหว
(ที่ไม่เหมือนเราอีกอย่างคือ ก่อนผ่าพี่จะโดนสวนก้นด้วยสองทีแต่ของเราไม่มี)
หลังกลับถึงห้อง พยาบาลจะมาฉีดยาและวัดความดันเรื่อยๆ ทั้งคืน
ยาแก้ปวด (มอร์ฟีน) คือดีมาก ฉีดปั๊บหายปวดปุ๊บ และถ้าปวดไม่ไหวก็ขอเพิ่มได้
มีอีเวนท์ด้วยว่าเช้ามืดเรารู้สึกปวดและไม่สบายตัวมากจนต้องขอยาแก้ปวดเพิ่ม
ซึ่งพอฉีดแล้วเราหายปวดตัวทันทีเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ side effect ค่าา
Side effect มาแบบทันทีที่ยาเข้าเส้น รอบนั้นจะรู้สึกได้ว่าฉีดแล้วมันวิ่งขึ้นสมอง จากนั้นจะวิ้งๆ อย่างกับมีดาวระยิบอยู่บนหัวเหมือนในการ์ตูนเลย
วันนั้นทั้งวันเรามึนมากแบบลุกขึ้นมาแทบไม่ไหว ปวดหัวสุดๆ ทานข้าวไม่ลง มีคนมาเยี่ยมคุยได้ซักพักอิฉันต้องหลับตาคุย
หลังคนเยี่ยมกลับไปมีอาเจียนด้วยเนื่องจากสู้แขกไปหน่อย ไม่เจียมสังขาร
อาการทั้งหมดพยาบาลบอกว่าแล้วแต่คน บางคนแป๊ปเดียวหายแต่บางคนก็มี effect ได้ถึง 10 ชม. ส่วนนี้ก็ลุ้นกันไป
ยาแก้ปวดตัวอื่นๆ เราไม่มี side effect มาก อย่างมากคือรู้สึกขมในปาก (ทั้งๆ ที่เป็นการฉีดเข้าสายน้ำเกลือ)
ดื่มน้ำเยอะๆ เอาแล้วจะรู้สึกดีขึ้น
- การรักษาตัว -
หมอจะบอกอย่างหนักแน่นว่าให้เดินเยอะๆ นะ เพราะจะได้ไม่เป็นพังผืด ถ้าเป็นเดี๋ยวต้องกลับมารักษาอีก
แต่ก็อย่าซ่าเดินเร็วไปหรือออกแรงเยอะไป แค่ขอให้ได้ขยับตัวบ่อยๆ ก็พอ (เน้นความถี่ไม่เน้นความหนัก)
อาจจะเพราะแผลเราเล็ก ถ้าไม่นับวันแรกที่เมามอร์ฟีนจัดๆ จนลุกไม่ไหว วันที่สองเราเดินปกติได้แล้ว
ที่สำคัญคือต้องกล้าลุก กล้าเดินหน่อย เราจะกลัวเจ็บตอนแรก แต่พอได้เดินจริงๆ มันโอเคนะ
หมอจะแวะมาดูทุกวัน ทำแผลทุกวัน จากนั้นวันสุดท้ายจะแปะแผลไว้ 14 วันไม่ให้โดนน้ำ จากนั้นค่อยไปตัดไหม
ระหว่างนี้ซื้อ scar gel เตรียมไว้ได้เลย จากที่ศึกษามาจะฮิตใช้กัน 2 ตัวคู่กันคือ
Silicone gel sheet กับ Silicone scar gel จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างของชาวโซเชียลรวมถึงพยาบาลและเภสัช
Silicone gel จะช่วยได้เยอะมาก แต่ต้องใช้ติดต่อกัน 1-2 เดือน คำว่าติดต่อกันคือแปะทั้งวันทั้งคืน
เอามาล้างทำความสะอาดแค่ตอนอาบน้ำแล้วผึ่งทิ้งไว้รอใช้ต่อ
ส่วน scar gel ที่ใช้เป็น silicone เพราะพอมันแห้งจะกลายเป็นเหมือนฟิล์มบางๆ กันน้ำได้
เวลาที่สามารถใช้แก๊ง silicone ได้คือตอนที่แผลแห้งแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าให้ใช้หลังตัดไหม
แต่ถ้าตัดไหมแล้วมันเป็นแผลอยู่ หรือสะเก็ดหลุดแล้วแผลยังดูเปียกๆ ก็อย่าเพิ่งแปะหรือทา
รอให้แห้งจริงๆ ค่อยใช้เพราะไม่งั้นจะทำให้แผลหายช้ากว่าเดิม
คำว่าใช้คู่กันจริงๆ เราก็ใช้นัวมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเภสัชแต่ละที่กล่าวไม่ตรงกัน
บางที่บอกให้ทา scar gel ทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนและค่อยแปะ scar sheet
บางเจ้าบอกว่าให้ใช้ scar gel ให้หมดหลอดก่อนแล้วค่อยแปะ scar sheet
เราเลยแล้วแต่วันแล้วแต่อารมณ์ มีขี้เกียจทา scar gel บ้าง แต่แปะ sheet ตลอดนะ 5555
ชี้เป้าแบบรวบรัด ยี่ห้อที่เราใช้คือ Cica-Care Gel Sheet กับ Rebac Scar Gel
ตัว Rebac นี่เป็นแบรนด์เกิดใหม่ เราซื้อเพราะแค่เป็นมนุษย์ชอบลองสายทางเลือก
เพราะงั้นถ้าไม่มั่นใจจะใช้ Dermatix ก็ได้เพราะเป็นยี่ห้อที่อยู่มานานแล้ว เป็นที่รู้จักมากกว่า และราคาพอๆ กัน
อ่ะ แต่ถ้าใครอยู่ต่างประเทศ มีอีกยี่ห้อที่ดังมากและเป็นเจล medical grade เหมือนกันคือ Kelo-cote
ตัวนี้เราหาในไทยไม่เจอ หรือเจอก็คือแพ๊งง เลยบอกไว้ให้เป็นทางเลือกนะ
อ้อ ตัว gel sheet ตอนซื้อกะขนาดให้พอดีกับแผลตัวเองกันอีกทีนะ ราคาตามไซส์เลย
และควรซื้อให้มีสำรอง 2 แผ่นด้วยเพราะต้องแปะทั้งกลางวันและกลางคืน
ส่วนตัวเราใช้ได้ 1 เดือนกาวเริ่มไม่ติดแล้ว จะซื้อเผื่อๆ ไว้ 2 เซทเอาชัวร์ก็ได้
- ตัดไหม -
เรารอ 14 วันถึงได้ตัดไหม
แม่ขู่ไว้ว่าปกติ 7 วันเค้าก็ตัดไหมกันแล้ว แต่นี่ 14 วันเนื้อมันจะเริ่มแห้ง ตอนรูดไหมออกมันจะเจ็บเลยล่ะ (จ้าาาา)
สุดท้ายโชคดีที่เจ็บแบบพอทน ความรู้สึกตอนตัดไหมจะเหมือนกับถูกดึงขนเส้นหนาๆ ออกจากผิวหนัง
ได้แผลเพิ่มมาบ้างจากการตัดไหม ซึ่งหมอบอกว่าอย่าโดนน้ำ 3 วัน แต่พยาบาลที่ตัดไหมบอกว่าเว้นไปเลย 7 วันสวยๆ
หลังตัดไหมเสร็จอยู่ที่เราแล้วว่าอยากจะดูแลแผลยังไง เชื่อหมอพยาบาลมากแค่ไหน
ถ้าไม่อยากปิดตายสะดือตลอดเวลาก็อย่าลืมซื้อผ้าก๊อตมาแปะไว้ด้วย เพราะยังไงมันมีสะเก็ดอยู่ โดนเสื้อผ้าก็เกี่ยวสะเปะสะปะ
เราเลือกแปะสติกเกอร์กันน้ำเฉพาะเวลาอาบน้ำเพราะแผลเราแห้งช้า นอกนั้นก็แปะผ้าก๊อตไว้หลวมๆ
สติกเกอร์กันน้ำเราใช้ปนๆ กัน 2 ยี่ห้อนี้ ซึ่งก็ใช้ได้เหมือนกัน ชี้เป้าให้ไปตำกันได้เลย Tigerplast SOS
แต่ถ้าเอาไวก็วิ่งเข้าเซเว่นได้เลย คิดว่าน่าจะมีทุกสาขาเลยแหละ
- ได้ลางานกี่วัน -
คุมหมอเขียนให้ลาได้ 7 วันถ้วน แต่ของพี่เราที่ผ่าใหญ่กว่าก็จะได้ลา 14 วัน
- กินอะไรได้บ้าง -
เคสเราคุมหมอไม่ห้ามเลย กินอะไรก็ได้ตามสบาย
- ออกกำลังกายได้เมื่อไหร่ -
2 อาทิตย์แรกหลังผ่ายังไม่ให้ออกกำลังกาย (แต่แผลเราเล็กแบบ 1.5-2 ซม.ได้)
หลังจากนั้นเช็คและประเมินร่างตัวเองดูได้เลยว่าไหวแค่ไหน
------------------------------
เท่าที่นึกออกก็มีประมาณนี้เลยจ่ะ หวังว่าจะช่วยเห็นภาพการผ่าตัดและการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดได้ไม่มากก็น้อยนะครัชช
สวัสดี.