1/5 ประชาชนสหรัฐติดหนี้ Student Loan อยู่ราว ๆ 45 ล้านคน อารมณ์คล้าย ๆ กยศ. บ้านเรา อยู่เป็นจำนวน $1.75 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 63 ล้านล้านบาทไทย
ซึ่งผู้กู้ส่วนใหญ่ มีอายุ 18-39 ปี โดยพบว่าผู้กู้ติดหนี้โดยเฉลี่ย 29,000 ดอลลาร์/คน

2/5 โดยกว่า 80% เป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่า $50,000/ปี
ซึ่งการกู้ยืมดังกล่าวถูกพักชำระและขยายเวลามาเรื่อย ๆ จนเกือบ 3 ปีแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่ช่วงปิดเมือง
จนปัจจุบันนี้ถึงเวลาต้องจ่ายจริงแล้วในเดือนหน้า

3/5 ซึ่งจากแบบสำรวจของ MS ช่วงสิ้นเดือนที่แล้วพบว่า
มีเพียง 24% (สีฟ้า) เท่านั้นที่พร้อมจ่ายแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
38% (สีเหลือง) มีจ่ายแต่ว่าต้องไปลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นมาจ่าย
17% (สีเขียว) ไม่พร้อมจ่ายเงินเต็มจำนวน
21% (สีแดง) ไม่สามารถชำระหนี้ได้
ที่น่าสนใจคือ 21% หลังสุดนี้ ก่อนหน้านี้ในการขยายเวลาชำระ ไม่มีใครพูดว่าไม่พร้อมชำระเงิน แต่ใด ๆ ก็คือ กว่า 76% ของคนที่กู้ Student Loan กำลังมีปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องลดค่าใช้จ่ายเพื่อนำมาจ่ายหนี้ และจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคในประเทศต่ำลงด้วย

4/5 ซึ่งหวยจะไปออกในกลุ่มสินค้าและบริการที่ลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น - วัยทำงาน กลุ่มของใช้ฟุ่มเฟือย และการใช้จ่ายต่าง ๆ ที่วัยรุ่น-วัยทำงานใช้ (ลองคิดดูว่าถ้าเราอยู่ในวัยนี้ หรือตอนนี้ใช้เงินซื้ออะไรบ้าง ?)
และหุ้นที่เคลื่อนไหวตามธุรกิจบนโลกจริงก็อาจถูกกดดันด้วย เมื่อวานตลาดเด้งขึ้นได้หลังไบเดนออกมาพูดว่าจะมีคนประมาณ 7 แสนคน ได้รับการยกเว้นค่าใช้จ่าย Student Loan แต่เอาจริง ๆ ไม่ค่อยช่วยนะ เพราะมันคิดเป็นแค่ประมาณ 2% ของผู้กู้ทั้งหมดเท่านั้น

5/5 อีกด้านคือ US กำลังเจอปัญหา Wage Cost Spiral เมื่อเงินที่เฟ้อขึ้นมา ทำให้คนรู้สึกจนลง จนต้องกดดันธุรกิจเอกชนให้ขึ้นค่าแรงให้
ซึ่งในปีนี้มีหลายอุตสาหกรรมเช่นอุตสาหกรรม สื่อ ภาพยนตร์ ยานยนต์และ Healthcare รวมตัวกันประท้วงใหญ่ ทำให้ปีนี้เป็นปีที่มีคนมาประท้วงขอขึ้นค่าแรงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2000 แล้ว
หากไม่ขึ้นค่าแรง ความไม่พอใจก็จะขยายวงกว้างขึ้น แต่หากขึ้นค่าแรงก็จะอาจตามมาด้วยกลุ่มอื่น ๆ ที่ต้องการค่าแรงเพิ่มเช่นกัน และคำว่า Spiral ในที่นี้ คือการวนลูปไม่สิ้นสุด เมื่อค่าแรงเพิ่ม บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ก็จะคิดค่าสินค้าและบริการเพิ่ม ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มและวนกลับมาที่แรงงานต้องการค่าแรงเพิ่มวนไปเรื่อย ๆ
ทั้งหมดเป็นประเด็นที่น่าติดตามอย่างยิ่งในช่วงนี้ หากบานปลายอาจทำให้เกิด Recession ได้ และจะเป็น Recession ที่จัดการได้ยากกว่าปกติ เพราะจะมีเงินเฟ้อควบมาด้วย ซึ่งเราเจอเรื่องนี้ในสมัยสงครามโลก และครั้งล่าสุดในช่วงปี 1970-1980 ซึ่งเศรษฐกิจโลกซึมไปหลายปี แนะนำให้เรียนรู้การ Hedging การใช้ Option ต่าง ๆ เพื่อทำกำไรในตลาดขาลงไว้บ้างครับ หากมีอะไรเกิดขึ้น เรายังลงทุนต่อได้ กินอิ่ม นอนหลับ
เดี๋ยวเราจะมีบทความตามมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามกันนะครับ
BottomLiner - บทสรุปการลงทุน
สหรัฐกำลังเกิดปัญหาที่ทำให้การบริโภคในประเทศต่ำลง ซึ่งประเด็นนี้น่าเป็นห่วงและน่าติดตามอย่างยิ่ง
ซึ่งผู้กู้ส่วนใหญ่ มีอายุ 18-39 ปี โดยพบว่าผู้กู้ติดหนี้โดยเฉลี่ย 29,000 ดอลลาร์/คน
2/5 โดยกว่า 80% เป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่า $50,000/ปี
ซึ่งการกู้ยืมดังกล่าวถูกพักชำระและขยายเวลามาเรื่อย ๆ จนเกือบ 3 ปีแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่ช่วงปิดเมือง
จนปัจจุบันนี้ถึงเวลาต้องจ่ายจริงแล้วในเดือนหน้า
3/5 ซึ่งจากแบบสำรวจของ MS ช่วงสิ้นเดือนที่แล้วพบว่า
มีเพียง 24% (สีฟ้า) เท่านั้นที่พร้อมจ่ายแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
38% (สีเหลือง) มีจ่ายแต่ว่าต้องไปลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นมาจ่าย
17% (สีเขียว) ไม่พร้อมจ่ายเงินเต็มจำนวน
21% (สีแดง) ไม่สามารถชำระหนี้ได้
ที่น่าสนใจคือ 21% หลังสุดนี้ ก่อนหน้านี้ในการขยายเวลาชำระ ไม่มีใครพูดว่าไม่พร้อมชำระเงิน แต่ใด ๆ ก็คือ กว่า 76% ของคนที่กู้ Student Loan กำลังมีปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องลดค่าใช้จ่ายเพื่อนำมาจ่ายหนี้ และจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคในประเทศต่ำลงด้วย
4/5 ซึ่งหวยจะไปออกในกลุ่มสินค้าและบริการที่ลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น - วัยทำงาน กลุ่มของใช้ฟุ่มเฟือย และการใช้จ่ายต่าง ๆ ที่วัยรุ่น-วัยทำงานใช้ (ลองคิดดูว่าถ้าเราอยู่ในวัยนี้ หรือตอนนี้ใช้เงินซื้ออะไรบ้าง ?)
และหุ้นที่เคลื่อนไหวตามธุรกิจบนโลกจริงก็อาจถูกกดดันด้วย เมื่อวานตลาดเด้งขึ้นได้หลังไบเดนออกมาพูดว่าจะมีคนประมาณ 7 แสนคน ได้รับการยกเว้นค่าใช้จ่าย Student Loan แต่เอาจริง ๆ ไม่ค่อยช่วยนะ เพราะมันคิดเป็นแค่ประมาณ 2% ของผู้กู้ทั้งหมดเท่านั้น
5/5 อีกด้านคือ US กำลังเจอปัญหา Wage Cost Spiral เมื่อเงินที่เฟ้อขึ้นมา ทำให้คนรู้สึกจนลง จนต้องกดดันธุรกิจเอกชนให้ขึ้นค่าแรงให้
ซึ่งในปีนี้มีหลายอุตสาหกรรมเช่นอุตสาหกรรม สื่อ ภาพยนตร์ ยานยนต์และ Healthcare รวมตัวกันประท้วงใหญ่ ทำให้ปีนี้เป็นปีที่มีคนมาประท้วงขอขึ้นค่าแรงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2000 แล้ว
หากไม่ขึ้นค่าแรง ความไม่พอใจก็จะขยายวงกว้างขึ้น แต่หากขึ้นค่าแรงก็จะอาจตามมาด้วยกลุ่มอื่น ๆ ที่ต้องการค่าแรงเพิ่มเช่นกัน และคำว่า Spiral ในที่นี้ คือการวนลูปไม่สิ้นสุด เมื่อค่าแรงเพิ่ม บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ก็จะคิดค่าสินค้าและบริการเพิ่ม ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มและวนกลับมาที่แรงงานต้องการค่าแรงเพิ่มวนไปเรื่อย ๆ
ทั้งหมดเป็นประเด็นที่น่าติดตามอย่างยิ่งในช่วงนี้ หากบานปลายอาจทำให้เกิด Recession ได้ และจะเป็น Recession ที่จัดการได้ยากกว่าปกติ เพราะจะมีเงินเฟ้อควบมาด้วย ซึ่งเราเจอเรื่องนี้ในสมัยสงครามโลก และครั้งล่าสุดในช่วงปี 1970-1980 ซึ่งเศรษฐกิจโลกซึมไปหลายปี แนะนำให้เรียนรู้การ Hedging การใช้ Option ต่าง ๆ เพื่อทำกำไรในตลาดขาลงไว้บ้างครับ หากมีอะไรเกิดขึ้น เรายังลงทุนต่อได้ กินอิ่ม นอนหลับ
เดี๋ยวเราจะมีบทความตามมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามกันนะครับ
BottomLiner - บทสรุปการลงทุน