เล่าประสบการณ์ผ่าตัดอัณฑะในช่องท้องออก

คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ลูกอัณฑะของผมมันไม่ลงถุงข้างหนึ่งมาตั้งแต่เด็กๆ จนตอนนี้อายุ 24 แล้ว สมัยเด็กๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร เล่นไปตามประสาเด็กน้อย มีปวดบริเวณลูกอัณฑะที่มันไม่ลงมาบ้างเป็นบางครั้งนานๆ ที พอนั่งพักสักหน่อยก็หายปวดแล้ว พ่อกับแม่ก็เหมือนจะรู้ด้วยว่าอัณฑะของผมไม่ลงข้างหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดอะไรมากเหมือนกัน เลยปล่อยเวลาผ่านมาเรื่อยๆ จนถึงอายุ 24

ประมาณต้นปีที่แล้ว ผมเริ่มสงสัยว่าทั้งโลกมีแค่เราหรือเปล่าที่ลูกอัณฑะไม่ลงถุง เพราะไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้ หรือสาธารณสุขที่มาให้ความรู้โรคต่างๆ ก็ไม่ได้เอาเรื่องลูกอัณฑะไม่ลงมาพูดเลยสักครั้ง แถมยัง ผมดูหนังผู้ใหญ่มาก็ไม่น้อย(พอดีโสดมานาน) ก็ไม่เคยเห็นพระเอกคนไหนมีลูกอัณฑะลูกเดียวในถุงโตงเตง มีครบกันหมดทุกคน มันเลยทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า อัณฑะของเรามันไม่ลงข้างเดียว คนเดียวในโลกนี้หรือเปล่า ผมเลยไปค้นหาใน Google หาข้อมูลให้ตัวเองปลดล็อคว่าบนโลกนี้มีเราคนเดียวที่เป็น หรือมีคนอื่นๆ ที่เป็นเหมือนเราด้วยหรือไม่

ในช่วงที่ค้นหาแรกๆ ผมเจอแต่อัณฑะไม่ลงถุงของน้องหมากับน้องแมว? คือ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าผมต้องค้นหาด้วยคำว่าอะไร ผมเลยพิมพ์ไปเท่าที่รู้ ตอนนั้นเหมือนผมหาอัณฑะไม่ลงถุงในคนไม่เจอเลย เห็นแต่น้องหมาน้องแมว ผมเลยกดเข้าไปหาข้อมูลของน้องหมาน้องแมวดู เพราะคิดว่ามันก็คล้ายๆ กัน เลยทำให้รู้ว่า ศัพท์ ที่ใช้เรียกอัณฑะไม่ลงถุงเขาเรียกอีกชื่อว่า "ไข่ทองแดง" โอเค ตอนนี้ผมก็รู้ศัพท์ที่ใช้เรียกแล้ว ผมก็เลยไปค้นหาต่อ จนไปเจอคลิปที่มีรายการหนึ่ง ได้สัมภาษณ์กับหมอเกี่ยวกับภาวะไข่ทองแดงในมนุษย์อยู่ ผมเลยกดเข้าไปดู 

ในคลิปนั้นผมจับใจความได้ว่า ภาวะไข่ทองแดงจะมีโอกาศพบได้ทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นตั้งแต่กำเนิด แล้วก็รักษาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ถ้าหากปล่อยไว้จนมีอายุ 15 ปี ขึ้นไป ก็อาจต้องได้ผ่าลงถุงเหมือนเดิม หรือไม่ก็ต้องได้ผ่าออกไป เพราะลูกอัณฑะยิ่งปล่อยไว้ในช่องท้องนานๆ จะยิ่งทำให้มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้ในอนาคต 

พอผมรู้ว่า ปล่อยไว้นานๆ อาจกลายเป็นมะเร็งได้ ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมากเลย อายุก็ปาไป 24 ปี แล้ว ไม่ใช่ว่ามันกลายเป็นมะเร็งแล้วหรือเปล่า ช่วงนั้นผมแทบนอนไม่หลับหลายคืนเลย ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่เพราะแค่อาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าพ่อกับแม่ก็รู้ว่าอัณฑะผมไม่ลงข้างหนึ่งอยู่ แล้วก็ไม่กล้าไปหาหมอเพราะอายเหมือนกัน แล้วก็กลัวจะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาด้วย ค่ารักษาเท่าที่หาข้อมูลดูก็จะมีตั้งแต่ 4,000 บาท จนถึง 10,000 บาท บางคนก็บอกว่าใช้บัตรทองก็ได้ แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี ผมทำใจนานเป็นอาทิตย์เลย กว่าจะกล้าเริ่มต้นการรักษา 

เริ่มแรก ผมเข้าไปปรึกษาค่ารักษาไข่ทองแดงที่คลินิคใกล้บ้านก่อน หมอที่คลินิคเขาให้ข้อมูลว่าสามารถใช้สิทธิ์บัตรทองได้ แต่ต้องไปขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์บัตรทองอยู่ แล้วก็นำเอกสารส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดต่อ 

วันต่อมาผมจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลประจำตำบลที่มีสิทธิ์บัตรทองเพื่อไปขอเอกสารส่งตัวกับหมอที่โรงพยาบาลนั้น โดยบอกคุณหมอไปว่า ต้องการที่จะขอเอกสารส่งตัวเพื่อไปรักษาไข่ทองแดงที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด คุณหมอก็จะทำการตรวจสอบอะไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เขียนเอกสารให้เรา 2 แผน

อาทิตย์ต่อมา ผมก็เดินทางไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่อ ทำการยื่นเอกสารนู้นนั่นนี่ รับบัตรคิวอะไรเรียบร้อยแล้วก็นั่งรอเข้าพบคุณหมอ พอได้เข้าไปพบ หมอเขาก็ให้ผมนอนลงบนเตียงหมอจะตรวจดูหน่อย หมอก็คลำบริเวณท้องน้อย แล้วก็พูดออกมาว่า "ทำไมหาไม่เจอ" พอคลำไปสักพัก หมอก็บอกให้ผมไปเข้า CT Scan แล้วก็รอผล CT Scan อีกทีวันหลัง 

พอผมทำการ CT Scan เสร็จเรียบร้อยแล้ว วันต่อมา ผมก็มาฟังผล CT Scan หมอบอกว่า ลูกอัณฑะของผมมันอยู่ในช่องท้องนั้นแหละ แต่ว่ามันอยู่ลึกเข้าไปอีก ตามที่ดูในภาพที่ Scan มา คือ ลูกอัณฑะมันไปเบียดกับเส้นเลือดใหญ่ขาข้างซ้ายอยู่(ลืมบอกไปว่าอัณฑะผมไม่ลงข้างซ้าย) หมอเลยบอกว่าจะผ่าตัดยากเพราะมันอยู่ลึก หากจะผ่าที่โรงบาลนี้ แผลผ่าตัดก็จะกว้างมาก การนอนพักฟื้นก็จะยิ่งใช้เวลานาน หมอเลยแนะนำว่าเดียวจะส่งตัว(ส่งตัวอีกแล้ว) ไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า เพราะเคสของผมผ่าตัดแบบธรรมดายาก เลยต้องใช้การผ่าตัดแบบส่องกล้องเข้าไป โดยจะเจาะรู 3 รู เล็กๆ การพักฟื้นก็จะใช้เวลาที่สั้นด้วย แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย ผมจึงตอบตกลงที่จะไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น

ในวันที่ผมเดินทางไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า หมอที่โรงพยาบาลนั้น เขาตรวจดูเอกสารส่งตัว แล้วก็ตรวจร่างกายผมนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เขียนใบสั่งอะไรสักอย่าง แล้วก็บอกผมว่า อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 5,000 บาท เพราะมันต้องใช้อุปกรณ์อะไรไม่รู้เลยทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พอตรวจสอบอะไรเสร็จ หมอก็ทำการนัดวันผ่าตัดให้เลย

พอถึงวันแอดมิทที่โรงพยาบาล ความรู้สึกตอนนั้นมันไม่ได้กลัวอะไรเลย รู้สึกตื่นเต้นมากกว่า อยากรู้ว่าหลังผ่าตัดเสร็จแล้วร่างกายเราจะเป็นยังไงต่อ จะดีขึ้น หรือแย่ลง หรือว่าปกติเหมือนเดิม ในตอนที่นอนแอดมิทก็จะมีผู้ป่วยเตียงข้างๆ ที่เป็นเคสผ่าตัดเหมือนกัน บางคนก็ผ่าตัดนิ่วในไต ผ่าแล้วก็มีผลค้างเขียงคือ ปัสสาวะเป็นเลือดปน จากที่ต้องนอนที่โรงพยาบาลแค่ 4 วัน ก็กลายเป็น 7 วันเพื่อรอดูอาการ คนอื่นๆ ที่ผ่าตัดนิ่วเหมือนกัน ก็ได้กลับบ้านกันหมดแล้ว บางคนผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ออกเพราะเป็นมะเร็งระยะที่1 (ตามที่ได้ถามผู้ป่วยคนนั้น) ในช่วงนั้นผมคิดได้ว่าคนเรามันไม่แน่นอนจริงๆ เพราะที่มารักษามีทั้งผ่าตัดแล้วก็มีชีวิตที่ดีขึ้น บางคนผ่าตัดเพื่อให้พ้นความตายแต่ก็แรกมาด้วยการใช้ชีวิตที่ลำบากกว่าปกติ มันจะขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของเราหรืออยู่กับดวงของเรากันนะ

วันผ่าตัด วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกว่าผ่านไปเร็วมากกกกกกก ผมจำได้ว่า ตอนเช้า พยาบาลบอกว่าคิวผ่าตัดผมคือคิวที่ 2 น่าจะประมาณช่วงสายๆ ของวัน โอเค ผมจึงนอนหลับรอ สักพัก ก็มีเจ้าหน้าที่เปลมาแล้วก็เรียกชื่อผม ผมก็รุกไปนอนที่เปลของเจ้าหน้าที่ แล้วก็เข็นไปที่ตึกผ่าตัด ในห้องผ่าตัดบอกเลยว่าหนาวมากกกกก พอเข้าไป พยาบาลก็จะเอาอุปกรณ์ต่างๆ ติดที่ตัวเรา แล้วก็จะมีสัญญาณชีพจรดัง(เหมือนในหนัง) แต่เสียงชีพจรของผมมันดังเร็วไปหน่อย พยาบาลเลยบอกว่า ไม่ต้องกลัวนะคะ หลับแค่แปปเดียว เดี๋ยวก็หายแล้ว ป่าวครับ ผมไม่ได้กลัวอะไรเลย ผมหนาว 5555 สักพักพยาบาลก็ถามข้อมูลส่วนตัวแล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกตัวอีกทีคือหนาว แบบ หนาวมากก หนาวจนตัวสั่นเหมือนคนเป็นไข้ชัก แต่ไม่ใช่ไข้ ตอนนั้นรู้สึกว่ามีผ้าห่มหนาๆ ห่มที่ตัว แล้วก็มีลมร้อนเป่ามาที่ตัวผม ผมพยายามลืมตาดูแต่ผมลืมตาไม่ขึ้น แต่รู้สึกตัวอยู่ คำพูดแรกที่ผมพูดคือ "เสร็จแล้วหรอครับ" แล้วพยาบาลบอกว่า "เสร็จแล้วค่ะ" หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลย รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในห้องพักฟื้นแล้ว มองดูนาฬิกาก็เป็นเวลา 4 โมงครึ่งแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าใช้เวลาผ่าตัดนานเท่าไร แต่ตอนนั้นคือมันถึง 4 โมงเร็วมากๆ เหมือนวาปมาเลย หลังจากนั้นพยาบาลก็เดินมาถามว่าเจ็บแผลไหม เจ็บจุดอื่นอีกไหม ผมเลยบอกไปว่า แผลไม่ค่อยเจ็บเท่าไร แต่มันรู้สึกจุกบริเวณท้อง คือมันจุกเหมือนกับคนท้องอืดแต่เรอไม่ออกหรือตดไม่ออกเลย เวลาพลิกตัวจะรู้สึกได้เลยว่ามีอะไรไหลอยู่ในท้อง พยาบาลเลยบอกว่า ตอนผ่าตัดคุณหมอจะเป่าลมเข้าไปในท้องเพื่อให้ช่องท้องขยายจะได้สอดกล้องเข้าไปได้ แต่ตอนผ่าเสร็จคุณหมอก็เอาลมออกแล้วละ แต่น่าจะเอาออกไม่หมด แต่ไม่ต้องห่วง เดียวลมในช่องท้องก็จะค่อยๆ หายไปเอง ผมนอนพักฟื้นแค่แปปเดียวแบบ แปปเดียวจริงๆ ผมแอดมิทวันแรก วันต่อมา ผ่าตัด แล้ววันต่อมาก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เร็วมาก เร็วเหมือนพยาบาลไม่อยากให้อยู่ 555 ซึ่งอาการค้างเขียงของผมก็มีแค่ จุกเพราะลมในช่องท้องอย่างเดียวเท่านั้น อาการเจ็บแผลหรืออาการไข้ ไม่ค่อยมี คุณหมอเลยให้ผมกลับบ้านได้ 

ตั้งแต่วันผ่าตัดจนถึงวันนี้ ผมยังรู้สึกมีลมอยู่ในช่องท้องอยู่ แต่น้อยกว่าวันแรกๆ เยอะ แล้วอาการเจ็บแผลก็แทบไม่มีแล้วจะมีก็ตอนที่เผลอเกร็งหน้าท้องตอนหัวเราะ หรือตอนลุกขึ้นเท่านั้น ประสบการณ์ผ่าตัดไข่ทองแดงนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้เลย สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้พิมพ์ลงไปคือ เวลาผมติดต่อเอกสารโรงพยาบาลแต่ละแห่ง จะมีพยาบาลถามทุกคน คือทุกคนจริงๆ นะ ถามว่าไข่ทองแดง มันเป็นยังไง บางทีเวลาเราบอกไปเราก็อายอ่ะเนาะ 555 แล้วถ้าถามว่าจะเป็นหมันไหม อันนี้ ไม่เป็นแน่นอน หากยังมีอัณฑะอีกข้างหนึ่งอยู่ การมีอัณฑะ 1 ข้างก็เพียงพอต่อการมีบุตรแล้ว (หมอบอกมาคนไหนไม่รู้พบหมอหลายคนเกิน)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่