ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่เรามีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
และเกือบ 100% ของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV เพราะเป็นเชื้อที่ติดง่าย
นอกจากเพศสัมพันธ์แล้ว ยังสามารถติดต่อทางการสัมผัสได้ด้วย (แต่จะเป็นลักษณะเหมือนพาหะที่นำพาเชื้อไปสู่ช่องคลอดได้)
แต่พอติดเชื้อแล้วกลับไม่มีอาการ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีบาดแผลอะไรเกิดขึ้น ทำให้กว่าจะรู้ตัวก็ใช้เวลาหลายปี
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
อายุก่อน 30 ก็เสี่ยง มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ที่พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ
สาเหตุสำคัญของโรคนี้เกิดจากเชื้อ HPV (Human papilloma virus )
โดยติดต่อกันด้วยการมีเพศสัมพันธ์ บางคนอาจจะเคยได้รับเชื้อนี้ แต่ร่างกายสามารถกำจัดไปได้
และมีบางส่วนที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกและทำให้เกิดโรคต่างๆ
เช่น หูดหงอนไก่ มะเร็งปากมดลูก และอื่นๆ
สัญญาณเตือน อาการมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถตรวจพบได้ในระยะก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง
โดยส่วนใหญ่ระยะเริ่มแรกนี้มักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจพบจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกประจำปี
ดังนั้น สตรีในวัยเจริญพันธุ์ทั่วไปควรทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการใด ๆ
อาการตกขาวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด มีตกขาวมากกว่าปกติ หรือตกขาวมีเลือดปน
เลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน
ปวดท้องน้อย ปวดบริเวณหัวหน่าว ประจำเดือนมาไม่ปกติ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ปัสสาวะ/อุจจาระปนเลือด ปัสสาวะไม่ค่อยออก ปวดบวม ปวดหลัง ขาบวม ไตวาย (กรณีที่มะเร็งมีระยะลุกลามรุนแรง)
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายคน ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
การสูบบุหรี่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่น โรคหนองใน
โรคติดเชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ และโรคซิฟิลิส ผู้ที่ไม่เคยตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก
1. การฉีดวัคซีน HPV
เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกก่อนติดเชื้อ ที่มีในเมืองไทยมาแล้ว กว่า 20 ปี เน้นป้องกันอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ
70% ที่เป็นต้นเหตุของการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก คือ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18
เพราะฉะนั้นถ้าฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่ยังไม่มีการสัมผัสเชื้อสองตัวนี้ได้ก็จะดีที่สุด และสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็ก อายุ 9-10 ขวบ
และมีการทำวิจัยพบว่า สำหรับเด็ก ไม่จำเป็นต้องฉีด 3 เข็มเหมือนผู้ใหญ่ ถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี
สามารถฉีดวัคซีน แค่ 2 เข็มก็มีภูมิคุ้มกันต่อ 2 สายพันธุ์หลัก ป้องกันได้ 100%
2. การป้องกันด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
คือการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test) เป็นการหาความผิดปกติก่อนที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อหาวิธีดูแลรักษาให้หาย
ปัจจุบันมีวิธีตรวจคัดกรองเพื่อหาความผิดปกติของปากมดลูกด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้
1) การป้ายเก็บตัวอย่างเซลล์ไปตรวจหาความผิดปกติ (แปปสเมียร์ : Pap Smear)
การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เรียกว่า HPV Test หรือ HPV DNA เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV
โดยการตรวจหา DNA ของเชื้อไวรัส ถ้าพบว่าเป็น Positive แสดงว่าพบกลุ่มเชื้อที่ก่อมะเร็ง (เสี่ยงสูง) และ Negative
หมายถึงไม่พบเชื้อที่ก่อมะเร็ง ซึ่งล่าสุดตัว HPV Test หรือ HPV DNA นี้ สามารถระบุกลุ่มของเชื้อและสายพันธุ์ได้ทันที
2) การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV จากปัสสาวะ
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทางเลือกใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้เซลล์ที่ได้จากน้ำปัสสาวะเพื่อตรวจหา HPV DNA
ซึ่งช่วยแก้ปัญหาสตรีที่กลัวและอายการขึ้นขาหยั่ง และช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลงได้
3. การตรวจภายใน
สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการเตรียมตัวใดๆ การตรวจภายใน ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่มีประจำเดือน
ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ หรืออยู่ในระหว่างใช้ยาเพื่อรักษาภาวะช่องคลอดแห้งอย่างน้อย 1-2 วัน ก่อนการตรวจ
และควรเข้ารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ในกรณีที่มีความผิดปกติ หรือมีความเสี่ยงควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเพิ่มเติม

ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกครั้งแรก แพทย์จะเริ่มทำการตรวจปากมดลูก
และหากแพทย์ตรวจพบรอยโรคที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อ ที่ตำแหน่งที่สงสัยบริเวณปากมดลูก
หากตรวจไม่พบรอยโรค แต่ตรวจพบเซลล์มะเร็งปากมดลูกผิดปกติจาก Pap smear หรือ HPV DNA test
แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธี การส่องกล้องปากมดลูกด้วยคอลโปสโคป
จะทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากเซลล์จากปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจเพิ่มเติมในห้องปฏิบัติการ
ในบางครั้งอาจตรวจด้วยการ ขูดภายในคอมดลูก ขูดเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกเพื่อการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ในกรณีที่ผลชิ้นเนื้อพบว่าเป็นรอยโรคก่อนมะเร็ง แพทย์จะทำการรักษาพร้อมวินิจฉัย ด้วยวิธีการผ่าตัดปากมดลูกออก
เพื่อวินิจฉัยและรักษารอยโรคก่อนมะเร็ง
สำหรับการตรวจเพื่อระบุระยะของมะเร็งปากมดลูก นอกเหนือจากการตรวจภายใน
และการตรวจทางทวารหนักในเบื้องต้น การสร้างภาพเหมือนจริง (imaging tests)
เช่น การตรวจด้วยเอกซ์เรย์ (X-ray) การตรวจ CT scan การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
หรือการใช้ PET Scan ที่จะช่วยระบุระดับการลุกลามของมะเร็งต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ
นอกจากนั้นในบางราย แพทย์อาจจะทำการตรวจดูภายในกระเพาะปัสสาวะและทวารหนักร่วมด้วย

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแรกแล้ว อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป
เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกในระยะแรกมีโอกาสในการรักษาหายได้
ซึ่งวิธีการรักษาระยะแรกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ระยะการเป็นของโรคและดุลยพินิจของแพทย์
โดยใช้วิธีการผ่าตัดหรือการเข้ารับการฉายรังสีแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
มะเร็งปากมดลูกรักษาได้ เพียงได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว อย่าลืมหมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคร้าย
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.thonburihospital.com/package/pk_woman_screening2023/
https://www.thonburihospital.com/package/pk_hpv_vaccine2023/
https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=bUMZoEY7kGw
https://www.youtube.com/watch?v=Imzv6hWPGbc
https://www.youtube.com/watch?v=wuZDHBZILac


อายุก่อน 30 ก็เสี่ยง มะเร็งปากมดลูก
และเกือบ 100% ของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV เพราะเป็นเชื้อที่ติดง่าย
นอกจากเพศสัมพันธ์แล้ว ยังสามารถติดต่อทางการสัมผัสได้ด้วย (แต่จะเป็นลักษณะเหมือนพาหะที่นำพาเชื้อไปสู่ช่องคลอดได้)
แต่พอติดเชื้อแล้วกลับไม่มีอาการ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีบาดแผลอะไรเกิดขึ้น ทำให้กว่าจะรู้ตัวก็ใช้เวลาหลายปี
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ที่พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ
สาเหตุสำคัญของโรคนี้เกิดจากเชื้อ HPV (Human papilloma virus )
โดยติดต่อกันด้วยการมีเพศสัมพันธ์ บางคนอาจจะเคยได้รับเชื้อนี้ แต่ร่างกายสามารถกำจัดไปได้
และมีบางส่วนที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกและทำให้เกิดโรคต่างๆ
เช่น หูดหงอนไก่ มะเร็งปากมดลูก และอื่นๆ
สัญญาณเตือน อาการมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถตรวจพบได้ในระยะก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง
โดยส่วนใหญ่ระยะเริ่มแรกนี้มักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจพบจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกประจำปี
ดังนั้น สตรีในวัยเจริญพันธุ์ทั่วไปควรทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการใด ๆ
อาการตกขาวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด มีตกขาวมากกว่าปกติ หรือตกขาวมีเลือดปน
เลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน
ปวดท้องน้อย ปวดบริเวณหัวหน่าว ประจำเดือนมาไม่ปกติ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ปัสสาวะ/อุจจาระปนเลือด ปัสสาวะไม่ค่อยออก ปวดบวม ปวดหลัง ขาบวม ไตวาย (กรณีที่มะเร็งมีระยะลุกลามรุนแรง)
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายคน ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
การสูบบุหรี่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่น โรคหนองใน
โรคติดเชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ และโรคซิฟิลิส ผู้ที่ไม่เคยตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
1. การฉีดวัคซีน HPV
เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกก่อนติดเชื้อ ที่มีในเมืองไทยมาแล้ว กว่า 20 ปี เน้นป้องกันอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ
70% ที่เป็นต้นเหตุของการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก คือ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18
เพราะฉะนั้นถ้าฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่ยังไม่มีการสัมผัสเชื้อสองตัวนี้ได้ก็จะดีที่สุด และสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็ก อายุ 9-10 ขวบ
และมีการทำวิจัยพบว่า สำหรับเด็ก ไม่จำเป็นต้องฉีด 3 เข็มเหมือนผู้ใหญ่ ถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี
สามารถฉีดวัคซีน แค่ 2 เข็มก็มีภูมิคุ้มกันต่อ 2 สายพันธุ์หลัก ป้องกันได้ 100%
2. การป้องกันด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
คือการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test) เป็นการหาความผิดปกติก่อนที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อหาวิธีดูแลรักษาให้หาย
ปัจจุบันมีวิธีตรวจคัดกรองเพื่อหาความผิดปกติของปากมดลูกด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้
1) การป้ายเก็บตัวอย่างเซลล์ไปตรวจหาความผิดปกติ (แปปสเมียร์ : Pap Smear)
การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เรียกว่า HPV Test หรือ HPV DNA เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV
โดยการตรวจหา DNA ของเชื้อไวรัส ถ้าพบว่าเป็น Positive แสดงว่าพบกลุ่มเชื้อที่ก่อมะเร็ง (เสี่ยงสูง) และ Negative
หมายถึงไม่พบเชื้อที่ก่อมะเร็ง ซึ่งล่าสุดตัว HPV Test หรือ HPV DNA นี้ สามารถระบุกลุ่มของเชื้อและสายพันธุ์ได้ทันที
2) การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV จากปัสสาวะ
เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทางเลือกใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้เซลล์ที่ได้จากน้ำปัสสาวะเพื่อตรวจหา HPV DNA
ซึ่งช่วยแก้ปัญหาสตรีที่กลัวและอายการขึ้นขาหยั่ง และช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลงได้
3. การตรวจภายใน
สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการเตรียมตัวใดๆ การตรวจภายใน ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่มีประจำเดือน
ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ หรืออยู่ในระหว่างใช้ยาเพื่อรักษาภาวะช่องคลอดแห้งอย่างน้อย 1-2 วัน ก่อนการตรวจ
และควรเข้ารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ในกรณีที่มีความผิดปกติ หรือมีความเสี่ยงควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเพิ่มเติม
และหากแพทย์ตรวจพบรอยโรคที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อ ที่ตำแหน่งที่สงสัยบริเวณปากมดลูก
หากตรวจไม่พบรอยโรค แต่ตรวจพบเซลล์มะเร็งปากมดลูกผิดปกติจาก Pap smear หรือ HPV DNA test
แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธี การส่องกล้องปากมดลูกด้วยคอลโปสโคป
จะทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากเซลล์จากปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจเพิ่มเติมในห้องปฏิบัติการ
ในบางครั้งอาจตรวจด้วยการ ขูดภายในคอมดลูก ขูดเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกเพื่อการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ในกรณีที่ผลชิ้นเนื้อพบว่าเป็นรอยโรคก่อนมะเร็ง แพทย์จะทำการรักษาพร้อมวินิจฉัย ด้วยวิธีการผ่าตัดปากมดลูกออก
เพื่อวินิจฉัยและรักษารอยโรคก่อนมะเร็ง
สำหรับการตรวจเพื่อระบุระยะของมะเร็งปากมดลูก นอกเหนือจากการตรวจภายใน
และการตรวจทางทวารหนักในเบื้องต้น การสร้างภาพเหมือนจริง (imaging tests)
เช่น การตรวจด้วยเอกซ์เรย์ (X-ray) การตรวจ CT scan การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
หรือการใช้ PET Scan ที่จะช่วยระบุระดับการลุกลามของมะเร็งต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ
นอกจากนั้นในบางราย แพทย์อาจจะทำการตรวจดูภายในกระเพาะปัสสาวะและทวารหนักร่วมด้วย
เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกในระยะแรกมีโอกาสในการรักษาหายได้
ซึ่งวิธีการรักษาระยะแรกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ระยะการเป็นของโรคและดุลยพินิจของแพทย์
โดยใช้วิธีการผ่าตัดหรือการเข้ารับการฉายรังสีแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
มะเร็งปากมดลูกรักษาได้ เพียงได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว อย่าลืมหมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคร้าย
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.thonburihospital.com/package/pk_woman_screening2023/
https://www.thonburihospital.com/package/pk_hpv_vaccine2023/
https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=bUMZoEY7kGw
https://www.youtube.com/watch?v=Imzv6hWPGbc
https://www.youtube.com/watch?v=wuZDHBZILac