สำรวจ ตาดสะหนาด ด่านใหญ่ บ้านหนองหลวง ปากซอง ลาวใต้

ตาดสะหนาดอยู่ที่ไหน
- ถ้าใครไปเที่ยวบ้านหนองหลวง แล้วเดินขึ้นไปที่ด่านใหญ่ ถ่ายดอกไม้ ถ่ายวิวหมอกและต้นสน แล้วเดินลงไปเที่ยวตาดเสือ ตาดขมึด ซึ่งด่านใหญ่ที่ผมเรียกเป็นชื่อจุดที่พวกเราไปพักและชาวบ้านเรียกมาแต่ไหนแต่ไร แต่คนบ้านเรามักจะเรียกว่า "โบลาเวน"

#คำว่าด่าน ที่ทางลาวเรียก ก็หมายถึง ภูเขาตัด ที่มีที่ราบหรือภูเพียง ผลาญหิน และลานสน ..เมืองปากช่องมีหลายแห่ง แต่ไฮไลต์คือด่านใหญ่ หนองหลวง..ส่วนด่านอื่นที่ผมไปมาแล้วคือ ด่านหมวกเหล็กหรือด่านฟุย ด่านนิกร บ้านหลัก48 ด่านหินหนามหน่อ บ้านหลัก33 ด่านภูป่ง ขึ้นได้หลายจุด แต่ใกล้สุดคือบ้านหลัก 33 ถ้าไปจากหนองหลวงก็ได้ ไกลแต่ง่าย ด่านสินชัย ขึ้นบ้านหลัก 38 ง่ายเพราะขึ้นตามทางรถถึงยอดด่าน
และทุกด่านที่ว่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของดงบอละเวน หรือ ภูเพียงบอละเวณ หรือ plateau of Bolovene ทั้งสิ้น
-----------------------------------------------

ที่ราบสูงโบลาเวน (ลาว: ພູພຽງບໍລະເວນ อ่านว่า พูเพียงบ่อหละเว้น) คือที่ราบสูงทางตอนใต้ของประเทศลาว ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในแขวงจำปาศักดิ์ ครอบคลุมบางส่วนของแขวงสาละวัน เซกอง และอัตตะปือ และตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาอันนัมที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นลาวออกจากเวียดนามทางทิศตะวันออก กับแม่น้ำโขงทางทิศตะวันตก ความสูงของที่ราบสูงอยู่ในช่วงประมาณ 1,000–1,350 เมตร (3,280–4,430 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล ที่ราบสูงนี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสายและมีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง ชื่อของที่ราบสูงโบลาเวน อ้างอิงจากชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ Laven ซึ่งเคยมีอำนาจเหนือภูมิภาคนี้ในอดีต อย่างไรก็ตามการขยายตัวของประชากรโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ลาวซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ถึง 60 ของประเทศ และการอพยพภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดการหลอมรวมระหว่างชาติพันธุ์ซึ่งเปลี่ยนองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของภูมิภาค
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ที่ราบสูงโบลาเวนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของลาว ช่วงเวลาสำคัญที่สุดสามช่วงซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อที่ราบสูงโบลาเวน ทำให้เกิดเอกลักษณะเฉพาะและความสำคัญ ได้แก่ การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส กบฏผู้มีบุญ และสงครามเวียดนาม
อาณานิคมของฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสได้ผนวกดินแดนแห่งแรกทางตะวันออกของแม่น้ำโขง และต่อมาได้ผนวกดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450[1] ช่วงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศสในลาวนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อที่ราบสูงโบลาเวนเนื่องจากเกิดการถ่ายทอดเทคนิคทางการเกษตรจากชาวฝรั่งเศสสู่ชาวพื้นเมืองลาว จากพจนานุกรมประวัติศาสตร์ (เขียนโดย Martin Stuart-Fox) ระบุว่า "ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มปลูกกาแฟและทดลองปลูกยางพาราบนที่ราบสูงโบลาเวน และต่อมายังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของลาว โดยเฉพาะการปลูกผักและผลไม้นานาชนิดรวมทั้งพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้สูง"[2] ที้งนี้การเพาะปลูกพืชดังกล่าวไม่เคยมีในพื้นที่นี้มาก่อนจนกระทั่งชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาแนะนำในภูมิภาคนี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้ที่ราบสูงโบลาเวนกลายเป็นพื้นที่ภาคเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศลาว
กบฏผู้มีบุญ
ช่วงที่สองที่ช่วยกำหนดประวัติศาสตร์ของที่ราบสูงคือการ กบฏผู้มีบุญ การก่อจลาจลปะทุขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2444 ถึง 2450 ซึ่งเป็นการก่อกบฏครั้งใหญ่ของชนเผ่าลาวเทิง (Alak, Nyaheun และ Laven) เพื่อต่อต้านการครอบงำของฝรั่งเศส[2] แม้ว่าไม่มีการจดบันทึกหรือบทประพันธ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่กล่าวเฉพาะการปฏิวัตินี้ในที่ราบสูงโบลาเวน แต่การก่อตัวของกบฏผู้มีบุญแจ้งชัดว่าชุมชนพื้นเมืองต้องการต่อต้านอิทธิพลและอำนาจของฝรั่งเศสออกจากพื้นที่
สงครามเวียดนาม
ที่ราบสูงโบลาเวนได้รับความเสียหายอย่างมากในช่วงสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักที่สุดใน สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง การทิ้งระเบิดของสหรัฐอย่างหนักหน่วงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อควบคุมที่ราบสูงโบลาเวนซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญยิ่งทั้งต่อกองทัพอเมริกันและเวียดนามเหนือ ปรากฏหลักฐานจากจำนวน UXO (อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด) ซึ่งยังคงหลงเหลือเป็นจำนวนมากอยู่รอบ ๆ พื้นที่[3] ด้วยเหตุนี้ที่ราบสูงโบลาเวนยังคงเป็นพื้นที่อันตรายโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจทำเครื่องหมาย ตามรายงานหลายฉบับความเสียหายที่เกิดจากระเบิดที่หลงเหลือเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้ในบางพื้นที่
ในด้านตะวันออกของที่ราบสูงโบลาเวนเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ผ่านของเส้นทางโฮจิมินห์ ในช่วงสงครามที่ราบสูงนี้สามารถเข้าถึงได้โดยรถยนต์ผ่านปากซองและธาเต็ง และถนนเหล่านั้นเป็นถนนสายเดียวที่นำออกจากที่ราบสูงที่ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวและให้ความสนใจต่อภูมิประวัติศาสตร์ในพื้นที่นี้มากขึ้น [4]
วัฒนธรรม
กลุ่มชาติพันธุ์หลักในที่ราบสูงโบลาเวนคือ Laven แม้ว่าจะมีกลุ่มชาติพันธุ์ มอญเขมร ที่อาศัยอยู่รวมในพื้นที่ทั้ง Alak, Katu, Taoy และส่วย[3] จากข้อมูลของ CPA Media กล่าวว่า "กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ทั้งหมดเคยเชื่อในศาสนาผี" และบางกลุ่มเคยมีการบูชายัญสัตว์ด้วย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันชุมชนชนกลุ่มน้อยเหล่านี้บางส่วนได้เริ่มเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาเนื่องจากมีการติดต่อกับชาวลาวลุ่ม[5]
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจหลักในภูมิภาคที่ราบสูงโบลาเวนมุ่งเน้นไปที่การผลิตทางการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากต่อรายได้ของที่ราบสูง
นับจากการริเริ่มทำการเกษตรและเทคนิคการเกษตรอื่น ๆ ของชาวฝรั่งเศสบนที่ราบสูงโบลาเวน ซึ่งรวมไปถึงการปลูกกาแฟ ยางพารา และกล้วย จากต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่ราบสูงโบลาเวนยังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญในการปลูกผลไม้และผักหลายชนิด พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้สูงเช่น กระวาน[5] ซึ่งในจำนวนพืชผลทางการเกษตรที่ชาวฝรั่งเศสริเริ่มนั้น กาแฟนับเป็นพืชเศรษฐกิจมีความสำคัญมากที่สุดในภูมิภาคนี้
ในระหว่างยุคอาณานิคม ชาวฝรั่งเศสยังได้แนะนำการผลิตกาแฟสายพันธุ์คุณภาพสูงทั้งอาราบิกาและโรบัสตา ปริมาณการผลิตเคยลดลงในช่วงสงคราม และกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศของที่ราบสูงที่มีอุณหภูมิเย็นและฝนที่ตกชุกทำให้ที่ราบสูงโบลาเวนเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการผลิตกาแฟอย่างยิ่ง ปัจจัยข้างต้นทำให้ครอบครัวเกษตรกรชนกลุ่มน้อยส่วนมากในพื้นที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการปลูกและผลิตกาแฟเป็นแหล่งรายได้หลัก ปัจจุบันผลผลิตกาแฟในประเทศลาวเกือบทั้งหมดจากการปลูกบนที่ราบสูงโบลาเวน ในแขวงจำปาศักดิ์ทางตอนใต้ของประเทศ และผลผลิคกาแฟของลาวต่อปีประมาณ 15,000–20,000 ตัน โดยร้อยละ 80 เป็นกาแฟโรบัสตา
การท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวในที่ราบสูงโบลาเวนเป็นที่ดึงดูดใจจากลักษณะเฉพาะ เช่น น้ำตกต่าง ๆ ตลาดจนหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ และพื้นที่ทางภูมิประวัติศาสตร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ที่ราบสูงโบลาเวนมีน้ำตกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ น้ำตกตาดเลาะที่อยู่ห่างจากปากเซ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 92 กิโลเมตร หรือจากเมืองสาละวันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 28 กิโลเมตร[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งต้นไม้ที่ล้อมรอบน้ำตกที่เขียวชอุ่มและปริมาณน้ำที่ไหลจากน้ำตกตลอดปีทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของการท่องเที่ยวในที่ราบสูงโบลาเวน น้ำตกที่งดงามอีกแห่งหนึ่งคือ น้ำตกตาดฟาน ซึ่งตัวน้ำตกสูง 120 เมตร เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในลาว
ที่ราบสูงโบลาเวนเต็มไปด้วยกิจกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ที่น่าสนใจ[ต้องการอ้างอิง] ได้แก่ การล่องเรือ การเที่ยวชมไร่กาแฟในพื้นที่ การเดินป่า หรือการเยี่ยมชมหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ หมู่บ้าน Alak, Katu และส่วย ที่เปิดอนุญาตใหัเข้าชม
ความสำคัญทางธรณีวิทยา
นักธรณีวิทยาเชื่อว่า ดาวตกขนาดประมาณ 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์) ตกกระทบพื้นผิวโลกเมื่อประมาณ 790,000 ปีก่อน สันนิษฐานว่า หลุมอุกกาบาตนี้อาจถูกฝังอยู่ในเขตภูเขาไฟที่ราบสูงโบลาเวนเนื่องจากมีการพบอุลกมณี กระจายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกา นับว่าเป็นหลุมอุกกาบาตที่อายุน้อยที่สุดและพื้นที่การแตกกระจายของอุลกมณีที่กินบริเวณกว้างใหญ่ที่สุด การประมาณการล่าสุดชี้ให้เห็นว่าอาจครอบคลุมถึงร้อยละ 10–30 ของพื้นผิวโลก (เรียกชื่อของพื้นที่การแตกกระจายอุลกมณีที่เกิดจากอุกกาบาตนี้ว่า Australasian Strewnfield)[6]
ข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99
----------------------------------------
ซึ่งตัวน้ำตกตาดสะหนาด จะต้องเดินลงไปจากด่านใหญ่ โดยตาดสะหนาดจะเห็นได้ชัด สูงใหญ่ ควรมองจากฝั่งตรงข้าม ได้แก่มองจากตาดสักการะ
เมื่อหลายปีก่อนผมไปตาดสักการะ แล้วมองเห็นตาดสะหนาดจากฝั่งตรงข้าม ก็ได้หาข้อมูลแล้วก็สอบถามชาวบ้านบ้านหนองหลวง เก็บไว้เป็นข้อมูล เพื่อถ้าสะดวกก็จะเดินทางไป
จนเมื่อปลาย สค 2566 พี่โน ได้จัดหารเฉลี่ยไปสำรวจตาดสะหนาด ผมเลยสมัครไปด้วย เพราะถ้าไปคนเดียวค่าใช้จ่ายจะสูง
ตาดสะหนาด(น้ำตกตัวขวามือ) ถ่ายจากตาดสักการะ
--------------------------------
ที่มาของตาดสะหนาด
บริเวรนี้มีต้นสะหนาดเยอะ
ต้นสะหนาด หรือจะเรียกว่า ต้นหมากป่า
หมากที่เดี้ยวกันนะ
บ้านเราเก็บจากป่ามาขายเป็นไม้ประดับเรียกว่าหมากเขียวครับ
-----------
ช่วงที่เหมาะมาเที่ยว
เนื่องจากห้วยตาดสะหนาดเป็นลำห้วยเล็ก น้อยตื้นๆ ช่วงที่เหมาะคือช่วงหน้าฝน ไม่เหมือน ตาดเสือ ตาดขมึดที่ลำห้วยและน้ำตกใหญ่ สำหรับผมเหมาะที่จะเที่ยวและถ่ายรูปช่วงปลายฝน ตค พย
ลำห้วยสะหนาด
------------------------------
การติดต่อนำเที่ยว
อ้ายตูน
https://web.facebook.com/profile.php?id=100093211811076
อ้ายไก่
https://web.facebook.com/Kai.VJcoversong
อ้ายปูด
https://web.facebook.com/profile.php?id=100053937292885
----------------
ค่าใช้จ่าย
- คนนำทางและลูกหาบ วันละ 500 บาท/คน น้ำหนักที่แบกไม่เกินคนละ 15 กิโลกรัม
- ค่ากรุ๊ปทัวร์ 1000 บาท/กรุ๊ป
- ค่าอุทยาน 100 บาท/คน
- ถ้านอนโฮมสเตย์ คนละ100 บาท/คืน
- ค่าอาหารที่โฮมสเตย์ คนละ 100 บาท/มื้อ *** ถ้าจะประหยัด สั่งเฝอกินก็ได้
[CR] สำรวจ ตาดสะหนาด ด่านใหญ่ แวะนอนตาดนกมูมอีกคืน บ้านหนองหลวง ปากซอง ลาวใต้
- ถ้าใครไปเที่ยวบ้านหนองหลวง แล้วเดินขึ้นไปที่ด่านใหญ่ ถ่ายดอกไม้ ถ่ายวิวหมอกและต้นสน แล้วเดินลงไปเที่ยวตาดเสือ ตาดขมึด ซึ่งด่านใหญ่ที่ผมเรียกเป็นชื่อจุดที่พวกเราไปพักและชาวบ้านเรียกมาแต่ไหนแต่ไร แต่คนบ้านเรามักจะเรียกว่า "โบลาเวน"
#คำว่าด่าน ที่ทางลาวเรียก ก็หมายถึง ภูเขาตัด ที่มีที่ราบหรือภูเพียง ผลาญหิน และลานสน ..เมืองปากช่องมีหลายแห่ง แต่ไฮไลต์คือด่านใหญ่ หนองหลวง..ส่วนด่านอื่นที่ผมไปมาแล้วคือ ด่านหมวกเหล็กหรือด่านฟุย ด่านนิกร บ้านหลัก48 ด่านหินหนามหน่อ บ้านหลัก33 ด่านภูป่ง ขึ้นได้หลายจุด แต่ใกล้สุดคือบ้านหลัก 33 ถ้าไปจากหนองหลวงก็ได้ ไกลแต่ง่าย ด่านสินชัย ขึ้นบ้านหลัก 38 ง่ายเพราะขึ้นตามทางรถถึงยอดด่าน
และทุกด่านที่ว่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของดงบอละเวน หรือ ภูเพียงบอละเวณ หรือ plateau of Bolovene ทั้งสิ้น
-----------------------------------------------
ที่ราบสูงโบลาเวน (ลาว: ພູພຽງບໍລະເວນ อ่านว่า พูเพียงบ่อหละเว้น) คือที่ราบสูงทางตอนใต้ของประเทศลาว ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในแขวงจำปาศักดิ์ ครอบคลุมบางส่วนของแขวงสาละวัน เซกอง และอัตตะปือ และตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาอันนัมที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นลาวออกจากเวียดนามทางทิศตะวันออก กับแม่น้ำโขงทางทิศตะวันตก ความสูงของที่ราบสูงอยู่ในช่วงประมาณ 1,000–1,350 เมตร (3,280–4,430 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล ที่ราบสูงนี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสายและมีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง ชื่อของที่ราบสูงโบลาเวน อ้างอิงจากชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ Laven ซึ่งเคยมีอำนาจเหนือภูมิภาคนี้ในอดีต อย่างไรก็ตามการขยายตัวของประชากรโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ลาวซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ถึง 60 ของประเทศ และการอพยพภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดการหลอมรวมระหว่างชาติพันธุ์ซึ่งเปลี่ยนองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของภูมิภาค
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ที่ราบสูงโบลาเวนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของลาว ช่วงเวลาสำคัญที่สุดสามช่วงซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อที่ราบสูงโบลาเวน ทำให้เกิดเอกลักษณะเฉพาะและความสำคัญ ได้แก่ การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส กบฏผู้มีบุญ และสงครามเวียดนาม
อาณานิคมของฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสได้ผนวกดินแดนแห่งแรกทางตะวันออกของแม่น้ำโขง และต่อมาได้ผนวกดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450[1] ช่วงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศสในลาวนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อที่ราบสูงโบลาเวนเนื่องจากเกิดการถ่ายทอดเทคนิคทางการเกษตรจากชาวฝรั่งเศสสู่ชาวพื้นเมืองลาว จากพจนานุกรมประวัติศาสตร์ (เขียนโดย Martin Stuart-Fox) ระบุว่า "ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มปลูกกาแฟและทดลองปลูกยางพาราบนที่ราบสูงโบลาเวน และต่อมายังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของลาว โดยเฉพาะการปลูกผักและผลไม้นานาชนิดรวมทั้งพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้สูง"[2] ที้งนี้การเพาะปลูกพืชดังกล่าวไม่เคยมีในพื้นที่นี้มาก่อนจนกระทั่งชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาแนะนำในภูมิภาคนี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้ที่ราบสูงโบลาเวนกลายเป็นพื้นที่ภาคเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศลาว
กบฏผู้มีบุญ
ช่วงที่สองที่ช่วยกำหนดประวัติศาสตร์ของที่ราบสูงคือการ กบฏผู้มีบุญ การก่อจลาจลปะทุขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2444 ถึง 2450 ซึ่งเป็นการก่อกบฏครั้งใหญ่ของชนเผ่าลาวเทิง (Alak, Nyaheun และ Laven) เพื่อต่อต้านการครอบงำของฝรั่งเศส[2] แม้ว่าไม่มีการจดบันทึกหรือบทประพันธ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่กล่าวเฉพาะการปฏิวัตินี้ในที่ราบสูงโบลาเวน แต่การก่อตัวของกบฏผู้มีบุญแจ้งชัดว่าชุมชนพื้นเมืองต้องการต่อต้านอิทธิพลและอำนาจของฝรั่งเศสออกจากพื้นที่
สงครามเวียดนาม
ที่ราบสูงโบลาเวนได้รับความเสียหายอย่างมากในช่วงสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักที่สุดใน สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง การทิ้งระเบิดของสหรัฐอย่างหนักหน่วงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อควบคุมที่ราบสูงโบลาเวนซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญยิ่งทั้งต่อกองทัพอเมริกันและเวียดนามเหนือ ปรากฏหลักฐานจากจำนวน UXO (อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด) ซึ่งยังคงหลงเหลือเป็นจำนวนมากอยู่รอบ ๆ พื้นที่[3] ด้วยเหตุนี้ที่ราบสูงโบลาเวนยังคงเป็นพื้นที่อันตรายโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจทำเครื่องหมาย ตามรายงานหลายฉบับความเสียหายที่เกิดจากระเบิดที่หลงเหลือเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้ในบางพื้นที่
ในด้านตะวันออกของที่ราบสูงโบลาเวนเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ผ่านของเส้นทางโฮจิมินห์ ในช่วงสงครามที่ราบสูงนี้สามารถเข้าถึงได้โดยรถยนต์ผ่านปากซองและธาเต็ง และถนนเหล่านั้นเป็นถนนสายเดียวที่นำออกจากที่ราบสูงที่ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวและให้ความสนใจต่อภูมิประวัติศาสตร์ในพื้นที่นี้มากขึ้น [4]
วัฒนธรรม
กลุ่มชาติพันธุ์หลักในที่ราบสูงโบลาเวนคือ Laven แม้ว่าจะมีกลุ่มชาติพันธุ์ มอญเขมร ที่อาศัยอยู่รวมในพื้นที่ทั้ง Alak, Katu, Taoy และส่วย[3] จากข้อมูลของ CPA Media กล่าวว่า "กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ทั้งหมดเคยเชื่อในศาสนาผี" และบางกลุ่มเคยมีการบูชายัญสัตว์ด้วย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันชุมชนชนกลุ่มน้อยเหล่านี้บางส่วนได้เริ่มเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาเนื่องจากมีการติดต่อกับชาวลาวลุ่ม[5]
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจหลักในภูมิภาคที่ราบสูงโบลาเวนมุ่งเน้นไปที่การผลิตทางการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากต่อรายได้ของที่ราบสูง
นับจากการริเริ่มทำการเกษตรและเทคนิคการเกษตรอื่น ๆ ของชาวฝรั่งเศสบนที่ราบสูงโบลาเวน ซึ่งรวมไปถึงการปลูกกาแฟ ยางพารา และกล้วย จากต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่ราบสูงโบลาเวนยังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญในการปลูกผลไม้และผักหลายชนิด พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้สูงเช่น กระวาน[5] ซึ่งในจำนวนพืชผลทางการเกษตรที่ชาวฝรั่งเศสริเริ่มนั้น กาแฟนับเป็นพืชเศรษฐกิจมีความสำคัญมากที่สุดในภูมิภาคนี้
ในระหว่างยุคอาณานิคม ชาวฝรั่งเศสยังได้แนะนำการผลิตกาแฟสายพันธุ์คุณภาพสูงทั้งอาราบิกาและโรบัสตา ปริมาณการผลิตเคยลดลงในช่วงสงคราม และกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศของที่ราบสูงที่มีอุณหภูมิเย็นและฝนที่ตกชุกทำให้ที่ราบสูงโบลาเวนเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการผลิตกาแฟอย่างยิ่ง ปัจจัยข้างต้นทำให้ครอบครัวเกษตรกรชนกลุ่มน้อยส่วนมากในพื้นที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการปลูกและผลิตกาแฟเป็นแหล่งรายได้หลัก ปัจจุบันผลผลิตกาแฟในประเทศลาวเกือบทั้งหมดจากการปลูกบนที่ราบสูงโบลาเวน ในแขวงจำปาศักดิ์ทางตอนใต้ของประเทศ และผลผลิคกาแฟของลาวต่อปีประมาณ 15,000–20,000 ตัน โดยร้อยละ 80 เป็นกาแฟโรบัสตา
การท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวในที่ราบสูงโบลาเวนเป็นที่ดึงดูดใจจากลักษณะเฉพาะ เช่น น้ำตกต่าง ๆ ตลาดจนหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ และพื้นที่ทางภูมิประวัติศาสตร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ที่ราบสูงโบลาเวนมีน้ำตกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ น้ำตกตาดเลาะที่อยู่ห่างจากปากเซ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 92 กิโลเมตร หรือจากเมืองสาละวันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 28 กิโลเมตร[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งต้นไม้ที่ล้อมรอบน้ำตกที่เขียวชอุ่มและปริมาณน้ำที่ไหลจากน้ำตกตลอดปีทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของการท่องเที่ยวในที่ราบสูงโบลาเวน น้ำตกที่งดงามอีกแห่งหนึ่งคือ น้ำตกตาดฟาน ซึ่งตัวน้ำตกสูง 120 เมตร เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในลาว
ที่ราบสูงโบลาเวนเต็มไปด้วยกิจกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ที่น่าสนใจ[ต้องการอ้างอิง] ได้แก่ การล่องเรือ การเที่ยวชมไร่กาแฟในพื้นที่ การเดินป่า หรือการเยี่ยมชมหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ หมู่บ้าน Alak, Katu และส่วย ที่เปิดอนุญาตใหัเข้าชม
ความสำคัญทางธรณีวิทยา
นักธรณีวิทยาเชื่อว่า ดาวตกขนาดประมาณ 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์) ตกกระทบพื้นผิวโลกเมื่อประมาณ 790,000 ปีก่อน สันนิษฐานว่า หลุมอุกกาบาตนี้อาจถูกฝังอยู่ในเขตภูเขาไฟที่ราบสูงโบลาเวนเนื่องจากมีการพบอุลกมณี กระจายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกา นับว่าเป็นหลุมอุกกาบาตที่อายุน้อยที่สุดและพื้นที่การแตกกระจายของอุลกมณีที่กินบริเวณกว้างใหญ่ที่สุด การประมาณการล่าสุดชี้ให้เห็นว่าอาจครอบคลุมถึงร้อยละ 10–30 ของพื้นผิวโลก (เรียกชื่อของพื้นที่การแตกกระจายอุลกมณีที่เกิดจากอุกกาบาตนี้ว่า Australasian Strewnfield)[6]
ข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99
----------------------------------------
ซึ่งตัวน้ำตกตาดสะหนาด จะต้องเดินลงไปจากด่านใหญ่ โดยตาดสะหนาดจะเห็นได้ชัด สูงใหญ่ ควรมองจากฝั่งตรงข้าม ได้แก่มองจากตาดสักการะ
เมื่อหลายปีก่อนผมไปตาดสักการะ แล้วมองเห็นตาดสะหนาดจากฝั่งตรงข้าม ก็ได้หาข้อมูลแล้วก็สอบถามชาวบ้านบ้านหนองหลวง เก็บไว้เป็นข้อมูล เพื่อถ้าสะดวกก็จะเดินทางไป
จนเมื่อปลาย สค 2566 พี่โน ได้จัดหารเฉลี่ยไปสำรวจตาดสะหนาด ผมเลยสมัครไปด้วย เพราะถ้าไปคนเดียวค่าใช้จ่ายจะสูง
ตาดสะหนาด(น้ำตกตัวขวามือ) ถ่ายจากตาดสักการะ
--------------------------------
ที่มาของตาดสะหนาด
บริเวรนี้มีต้นสะหนาดเยอะ
ต้นสะหนาด หรือจะเรียกว่า ต้นหมากป่า
หมากที่เดี้ยวกันนะ
บ้านเราเก็บจากป่ามาขายเป็นไม้ประดับเรียกว่าหมากเขียวครับ
-----------
ช่วงที่เหมาะมาเที่ยว
เนื่องจากห้วยตาดสะหนาดเป็นลำห้วยเล็ก น้อยตื้นๆ ช่วงที่เหมาะคือช่วงหน้าฝน ไม่เหมือน ตาดเสือ ตาดขมึดที่ลำห้วยและน้ำตกใหญ่ สำหรับผมเหมาะที่จะเที่ยวและถ่ายรูปช่วงปลายฝน ตค พย
ลำห้วยสะหนาด
------------------------------
การติดต่อนำเที่ยว
อ้ายตูน
https://web.facebook.com/profile.php?id=100093211811076
อ้ายไก่
https://web.facebook.com/Kai.VJcoversong
อ้ายปูด
https://web.facebook.com/profile.php?id=100053937292885
----------------
ค่าใช้จ่าย
- คนนำทางและลูกหาบ วันละ 500 บาท/คน น้ำหนักที่แบกไม่เกินคนละ 15 กิโลกรัม
- ค่ากรุ๊ปทัวร์ 1000 บาท/กรุ๊ป
- ค่าอุทยาน 100 บาท/คน
- ถ้านอนโฮมสเตย์ คนละ100 บาท/คืน
- ค่าอาหารที่โฮมสเตย์ คนละ 100 บาท/มื้อ *** ถ้าจะประหยัด สั่งเฝอกินก็ได้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้