ประเด็น "สิกขาบทที่ต้องยกขึ้นสวดปาติโมกข์ กับการบิดเบือนของวัดนาป่าพง?"
ความแตกต่างระหว่างสิกขาบทที่ยกต้องสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน กับพระบัญญัติที่ต้องรักษาแต่ไม่ต้องยกขึ้นสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน
สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ต้องยกสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน (สวดปาติโมกข์) จะมีพระบาลีว่า
"เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ"
แปลเป็นภาษาไทยว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้"
ส่วนพระบัญญัติที่ต้องรักษาและปฏิบัติตามแต่ไม่ต้องยกขึ้นสู่อุเทศ (สวดปาติโมกข์)
ทุกกึ่งเดือน จะไม่มีพระบาลีดังกล่าว
ตัวอย่างเช่น
เสขิยวัตร การนุ่งห่มเป็นปริมณฑล ต้องยกขึ้นสู่ปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน ด้วยมีพระบาลีชัดเจนว่า
"เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ ปริมณฺฑลํ นิวาเสสฺสามีติ สิกฺขา กรณียา ฯ"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล."
ซึ่งแตกต่างจากพระบัญญัติทั่วไปที่ไม่ต้องยกขึ้นสู่ปาติโมกข์ เช่น เรื่องการห้ามอุปสมบทกุลบุตรที่ไม่มีจีวร
"น ภิกฺขเว อจีวรโก อุปสมฺปาเทตพฺโพ โย อุปสมฺปาเทยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ ฯ"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีจีวร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ต้องอาบัติทุกกฏ."
ดังนั้น สิกขาบทใดต้องยกสู่อุเทส โดยนำมาสวดในวันปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน ให้พิจารณาตามนี้
ข้ออ้างของวัดนาป่าพงที่กล่าวว่า
เสขิยวัตรไม่มีปรับอาบัติบ้าง
(ปฏิเสธสิกขาบทวิภังค์ว่า ไม่ใช่พุทธวจนะ)
สิกขาบทที่ต้องยกสู่ปาติโมกข์จะต้องมีการปรับอาบัติไว้ เหล่านี้เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น
สรุป สิกขาบทที่ต้องยกสู่ปาติโมกข์จะมีพระบาลีว่า "เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ"
แปลเป็นภาษาไทยว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้"
โดยไม่จำต้องคำนึงว่าสิกขาบทนั้นจะมีกี่ข้อก็ตาม ต้องยกขึ้นสู่อุเทสทั้งสิ้น
แหล่งข้อมูล :
http://watnaprapong.blogspot.com/2015/12/blog-post.html?m=1
ประเด็น "สิกขาบทที่ต้องยกขึ้นสวดปาติโมกข์ กับการบิดเบือนของวัดนาฯ?" (กรณีพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล)
ความแตกต่างระหว่างสิกขาบทที่ยกต้องสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน กับพระบัญญัติที่ต้องรักษาแต่ไม่ต้องยกขึ้นสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน
สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ต้องยกสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน (สวดปาติโมกข์) จะมีพระบาลีว่า
"เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ"
แปลเป็นภาษาไทยว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้"
ส่วนพระบัญญัติที่ต้องรักษาและปฏิบัติตามแต่ไม่ต้องยกขึ้นสู่อุเทศ (สวดปาติโมกข์)
ทุกกึ่งเดือน จะไม่มีพระบาลีดังกล่าว
ตัวอย่างเช่น
เสขิยวัตร การนุ่งห่มเป็นปริมณฑล ต้องยกขึ้นสู่ปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน ด้วยมีพระบาลีชัดเจนว่า
"เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ ปริมณฺฑลํ นิวาเสสฺสามีติ สิกฺขา กรณียา ฯ"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล."
ซึ่งแตกต่างจากพระบัญญัติทั่วไปที่ไม่ต้องยกขึ้นสู่ปาติโมกข์ เช่น เรื่องการห้ามอุปสมบทกุลบุตรที่ไม่มีจีวร
"น ภิกฺขเว อจีวรโก อุปสมฺปาเทตพฺโพ โย อุปสมฺปาเทยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ ฯ"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีจีวร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ต้องอาบัติทุกกฏ."
ดังนั้น สิกขาบทใดต้องยกสู่อุเทส โดยนำมาสวดในวันปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน ให้พิจารณาตามนี้
ข้ออ้างของวัดนาป่าพงที่กล่าวว่า
เสขิยวัตรไม่มีปรับอาบัติบ้าง
(ปฏิเสธสิกขาบทวิภังค์ว่า ไม่ใช่พุทธวจนะ)
สิกขาบทที่ต้องยกสู่ปาติโมกข์จะต้องมีการปรับอาบัติไว้ เหล่านี้เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น
สรุป สิกขาบทที่ต้องยกสู่ปาติโมกข์จะมีพระบาลีว่า "เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ"
แปลเป็นภาษาไทยว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้"
โดยไม่จำต้องคำนึงว่าสิกขาบทนั้นจะมีกี่ข้อก็ตาม ต้องยกขึ้นสู่อุเทสทั้งสิ้น
แหล่งข้อมูล : http://watnaprapong.blogspot.com/2015/12/blog-post.html?m=1