สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่จะมีอิทธิพลอะไรทั้งสิ้น

"ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรแน่ที่จะทำให้เราเกิดมา เราเกิดเพราะกรรมที่เราได้ทำแล้ว ซึ่งเลือกไม่ได้  และกรรมนี้ ก็ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ เพราะว่าปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นขณะแรกแล้วดับไป แต่ว่ากรรมก็ยังทำให้ดำรงภพชาติของความเป็นบุคคลนี้ยังไม่ให้ตาย ยังให้จิตเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการเห็นการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส การคิดนึก ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ทางตาที่เห็นก็เป็นเพราะกรรมหนึ่งทำให้จักขุวิญญาณจิตเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าเป็นผลของกุศลก็ทำให้เห็นสิ่งที่ดี ถ้าเป็นผลของอกุศลก็ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดี  เจ้ากรรมนายเวรไม่มีส่วนที่จะมาเกี่ยวข้องเลย  แม้แต่การเห็น เจ้ากรรมนายเวรก็ทำให้เราเห็นไม่ได้ มีจักขุปสาทเกิดเพราะกรรม เวลาใครที่ไม่มีจักขุปสาท คือคนที่ตาบอด แสดงว่าไม่มีกรรมที่จะทำให้จักขุปสาทรูปเกิด คนนั้นจึงตาบอด ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรไหนที่จะสร้างตา ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรไหนที่จะสร้างหู จมูก ลิ้น กาย ทั้งหมดตลอดเกิดขึ้นเพราะกรรม"

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/30

ตอนที่ ๓๐
สนทนาธรรม ที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ.๒๕๓๖
 
ส. เพราะฉะนั้นปัญญา ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามเหตุตามปัจจัย โดยที่ว่าไม่มีใครไปบังคับ หรือว่าไปทำอะไรได้ คืออะไรที่ยังสงสัย ข้องใจ ไม่แน่ใจ เราควรจะต้องเข้าใจเรื่องนั้นให้ถูกต้องจริงๆ เพราะสำคัญที่สุดคือความเข้าใจถูก ความเข้าใจของแต่ละคน ต่างกันแน่นอน แต่ทีนี้เวลาที่เราได้ศึกษาในเรื่องของเหตุผลแล้ว เราจะได้ค่อยพิจารณาจนกระทั่งเราเกิดความมั่นใจว่าสิ่งที่ถูกต้องนั่นคืออย่างไร และเป็นไปตามสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นไปตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือเปล่า โดยการที่ว่า ไม่ใช่เอาความเห็นของเราเท่านั้น หรือว่าเราเชื่ออะไรอยู่ก็เชื่อต่อไปโดยที่ไม่ยอมเลิก แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่มีเหตุผลก็ยังเชื่ออยู่ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่า เท่ากับว่าเราเก็บความไม่รู้ เก็บความที่ไม่มีเหตุผลเอาไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่ถึงพระพุทธศาสนาแน่นอน ผู้ที่จะเข้าถึงพระธรรม หรือพุทธศาสนาต้องเป็นคนตรง และมีเหตุผล แล้วรู้ว่า การเข้าใจถูกเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แทนที่จะไปเก็บความสงสัยความไม่รู้หรือความเข้าใจผิดไว้

ถ. ถ้าจะถามเกี่ยวกับตอนที่ผมบวชอยู่ เสียงต้องมีต้นเหตุ ถึงทำให้เราได้ยิน มีอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกตัว ตื่นขึ้นมา รู้สึกได้ยินเสียงสวดมนต์ ทีแรกสงสัยคิดว่า หูผมฝาด ก็ไปตรวจดูรอบวัดในวิหาร ก็ไม่มีที่มาของเสียง อาจารย์คิดว่าจะเป็นเพราะอะไรเสียงที่ได้ยิน

ส. ธรรมดาเวลานี้เราก็ได้ยิน เวลานี้ที่ได้ยินไม่สงสัยเลย ใช่ไหม

ถ. ผมสงสัยตรงที่ เสียงเกิดจากไหน และมาจากที่ไหน

ส. ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น เราต้องเข้าใจความจริงว่า ขณะนี้ก็มีเสียงที่ได้ยิน กำลังได้ยินเสียงขณะนี้ ไม่มีความสงสัยในเสียงที่ได้ยินใช่ไหม

ถ. ผมสงสัยที่หาที่มาไม่เจอ แต่รู้ว่ามาจากที่โบสถ์ มาจากที่นั่น แต่ผมอยากจะรู้ว่าที่มา มันคืออะไร มันมายังไง

ส. ถ้าโดยในลักษณะนี้ ไม่มีทางหมดความสงสัยแน่นอน เพราะว่ายังไม่เข้าใจเสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กับได้ยินที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เรื่องสงสัยจะมีมากๆ ตลอดชีวิต ตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงอะไรถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เสียงสวดมนต์ ขอให้ลองคิดดู ตื่นขึ้นมากลางดึกได้ยินเสียงอะไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่ใช่เสียงสวดมนต์ สงสัยแล้ว อันนี้เสียงอะไร จะเป็นเสียงหนู หรือว่าจะเป็นเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดไหน หรือจะเป็นเสียงอะไร ต้องมีความสงสัย และความสงสัยอย่างนี้ไม่มีทางที่จะหมดไปได้เลยถ้าไม่รู้ความจริงของเสียง กับได้ยินที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นของจริง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ปัญญาเป็นสภาพที่เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าในขณะนั้นมีตัวเรา มีตัวตน ต้องมีสิ่งอื่น คือนี่เสียงอะไร มาจากไหน เพราะเหตุว่ายังมีความเป็นตัวเราที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า เสียงนั้นเกิดปรากฏแล้วหมดไป ไม่มีอะไรเลย จะถูกต้องหรือเปล่า คือเราต้องเข้าใจลึกมากเวลาพูดถึง ความจริงในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้น ขณะนี้หรือขณะที่ตื่นมาจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม ถ้ายังมีเรา ยังมีตัวตน ก็จะต้องมีความสงสัยว่า นั่นเสียงอะไร แต่ความจริงเสียงหมดแล้ว สภาพที่ได้ยินหมดแล้ว และถ้าขณะนั้นมีปัญญารู้อย่างนั้นจริงๆ จะไม่สงสัยอะไรเลย จะหมดความสงสัย แต่ถ้าไม่เข้าใจจะต้องมีเรื่องสงสัยตลอดชีวิต ไม่ใช่เสียงสวดมนต์ก็เป็นเสียงอื่น ก็ยังสงสัยอยู่ เพราะว่ายังไม่มีความรู้ในลักษณะของเสียง กับลักษณะของได้ยิน ใครจะบอกยังไงก็ไม่หมดสงสัย และก็จะมีอีก ไม่ใช่แต่เฉพาะครั้งนั้นครั้งเดียว และเราจะเก็บความสงสัยนี้ไว้เรื่อยๆ หรือ คือไม่รู้ความจริงของได้ยิน กับเสียงสักทีหนึ่ง มีความเป็นตัวตนตลอดเวลา ก็ต้องมีความสงสัยไปอีก ซักวันหนึ่งตื่นขึ้นมาตอนดึกก็ต้องมีความสงสัยว่าเสียงอะไร และก็เป็นความนึกคิดที่ต่างกันว่า อันเป็นเสียงสวดมนต์ แล้วมาจากไหน ก็คิดสงสัยยาวไปอีก ซึ่งเรื่องจะตัดความสงสัย ต้องด้วยการเจริญปัญญารู้ความจริง ถ้าตราบใดที่ปัญญายังไม่รู้ความจริง ต้องมีเรื่องสงสัยอีก เพราะฉะนั้นในพุทธศาสนา คำตอบไม่ได้ไปตอบตามสถานการณ์ คนนี้มีเรื่องนี้ก็จะตอบไปว่าเป็นอย่างนั้น คนนั้นมีเรื่องนั้นก็จะตอบไปว่าเป็นอย่างนั้น แต่จะตอบถึงต้นตอคือ ให้ผู้ถามเกิดปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงด้วยตัวเอง จนหมดความสงสัยได้ ไม่อย่างงั้นคำถามนี้จะมีอีก อาจจะมาทุกวันก็ได้ มีทุกวันก็ได้ ก็ไม่หมด เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือศึกษาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของเห็นในขณะนี้ ของได้ยินในขณะนี้ ของคิดนึกในขณะนี้ และจะรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงก็คือคิด เสียงหมดไปแล้ว แต่คิดติดตามเสียงใกลจนกระทั่งว่า เสียงเกิดจากอะไรและเป็นเสียงอะไร และบางคนอาจจะตามใกลจนกระทั่งถือว่าเป็นเสียงเทวดาเป็นเสียงอะไร ค้นคว้าหาเหตุไปผูกพัน เรื่องความผูกพันคือเรื่องของความไม่รู้ และก็เป็นความนึกคิด เทวดาก็ไม่เห็น แต่เราก็ยังอุตส่าห์ไปคิดไปนึกนะว่านี่เป็นเสียงเทวดา ถึงเป็นเสียงเทพก็หมด เสียงอะไรเกิดขึ้นก็หมดทั้งนั้น และได้ยินก็ต้องดับไปด้วย และจริงๆ แล้วก็มีเพียงสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมเพียงสามอย่างซึ่งเกิดขึ้น คือเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปเท่านั้น ถ้าจะให้หมดความสงสัยจริงๆ ต้องเข้าใจเรื่องนี้ เรื่องนามธรรมหรือรูปธรรม

ถ. ภายหลังจากที่เราได้ทำกุศล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทาน เรื่องถวายสิ่งของต่างๆ และมักจะมีผู้กล่าวนำว่า ควรจะได้อุทิศส่วนกุศลให้กับคำว่าเจ้ากรรมนายเวร อยากจะให้อาจารย์ได้อธิบายให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องอีกสักครั้งว่า คำว่าเจ้ากรรมนายเวร กับผู้มีพระคุณในอดีต อนันตชาติ มีความแตกต่างกันอย่างไร

ส. ทุกคนเกิดมา นั่งที่นี่ เจ้ากรรมนายเวรทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า ต้องคิดตั้งแต่ขณะแรกที่เราเกิดมาในโลกนี้ มีเจ้ากรรมนายเวรไหนที่ทำให้เราเกิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่