ควายหลุดถนน
“มาแล้ว มาแล้ว ก้อย”
ได้ยินชื่อตัวเองจากเสียงที่คุ้นเคย ฉันจึงละสายตาออกจากจอสมาร์ตโฟนในมือ หันมองไปก็เห็นเพื่อนหนุ่มคนที่คิดไว้ ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหา’ ลัย จ้ำอ้าวก้าวพรวดเข้าประตูร้านมา
“ถ้าจะมาตอนนี้เนี่ย ก็เปลี่ยนเป็นนัดพรุ่งนี้แทนเลยดีไหม เจ้าอาร์ม” ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพร้อมช้อนสายตา ส่งความเย็นเยือกสุดขั้วหัวใจไปให้ เพื่อเสริมคำพูดของตัวเอง
“แกอย่าเพิ่งบ่นได้ไหม เจ้าก้อย ถึงฉันมาช้า แต่ก็ยังไม่ได้สายนะ รีบมาแทบตายแล้วเนี่ย รถก็ติดนรกแตก แถมขับมาก็เจอแต่อะไรไม่รู้ ทำหงุดหงิดอารมณ์เสียชะมัดเลย...เออ เอาน้ำมากินหน่อยซิ”
เจ้าอาร์มที่ร่ายยาวดึงเก้าอี้ออก จนขาของมันลากดังเอี๊ยดไปกับพื้น แล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างคนหมดแรงจริง ๆ มือคว้าแก้วน้ำอัดลมของฉัน ที่เหลือเครื่องดื่มอยู่ครึ่งหนึ่งไปดื่มอั้ก ๆ อย่างกระหาย ไม่รอให้ฉันปฏิเสธหรือตอบรับเลยสักวินาทีเดียว
“เอ่อ...ค่อย ๆ กินก็แล้วกัน ระวังจะสำลักนะเพื่อน” ทำเอาเจ้าของอย่างฉันทันแค่พอจะส่งยิ้ม และส่งคำเตือนไปให้ด้วยความหวังดีเท่านั้น
“ขอบใจว่ะก้อย สมแล้วที่เรารู้จักกันมานาน ฉันชอบแกที่แกไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมากนี่แหละ”
มันพูดพลางเติมน้ำอัดลมที่เหลืออยู่ในขวดลงแก้วน้ำจนหมด แล้วก็บรรจงส่งเข้าปากให้ไหลตรงลงไปสู่กระเพาะอาหารอีกรอบ ก่อนที่จะกระแทกก้นแก้วลงทำสีหน้าซาบซ่ายามเมื่อน้ำในนั้นหายวับไปไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“โอเค หายหิวน้ำแล้ว ไปกันเลยไหม เดี๋ยวจะไม่ทันพวกไอ้โอ๊ต ไอ้หญิงมัน”
อันที่จริงพวกเรานัดเจอกันหลายคนแหละ แต่โอ๊ตกับหญิงที่ฉันอ้างอิงชื่อ ถือเป็นบุคคลตัวแทนของเพื่อนฝ่ายชาย และเพื่อนฝ่ายหญิง จะได้ช่วยประหยัดเวลา และไล่ชื่อกันจนครบให้ต้องเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น
“ไปเลยก็ดี รถติดมากด้วย ฉันก็เลยมารับแกสายอย่างที่เห็นนี่แหละ”
พูดแล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาใหม่ เทน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในนั้นลงจนเต็มปาก เคี้ยวเสียงกร้วมฟังน่าอร่อยพิกล ใครผ่านไปผ่านมาได้ยินเจ้าอาร์มพูดแบบนั้นแล้ว คนไม่รู้ก็คงจะคิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนสายฮาร์ดคอร์กัน
แต่อันที่จริง เพราะบ้านของฉันเป็นทางผ่านนั่นละ เขาก็เลยอาสาแวะมารับ...ก็แค่นั้นเอง
“เออ ว่าแต่แกอารมณ์เสีย หงุดหงิดอะไรมาหรือ” พอดีว่าฉันนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจอยากจะให้ถาม ก็เลยถามไปอย่างนั้นเผื่อว่าจะอยากเล่า
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เรื่องมารยาทบนท้องถนนนั่นแหละ คนสมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ ขับรถกันไม่มีมารยาท ไม่รู้กฎจราจร ไม่มีน้ำใจให้เพื่อนร่วมทางกันบ้างเลย วุ้ย พูดแล้วก็ของขึ้น อะไรก็ไม่รู้ วุ่นวายจนหงุดหงิด”
ฟังแล้วก็เข้าใจอยู่ เพราะภาพบนท้องถนนที่ฉันจินตนาการขึ้นมาในหัวตอนนี้ ก็เป็นอย่างที่มันว่าไว้จริง ๆ นั่นละ
“พอ ๆ พอละ ไม่บ่นต่อดีกว่า ไม่อยากเสียอารมณ์ เดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี ไป ไปกันก้อย”
พอเจ้าอาร์มตัดบท พวกเราก็พร้อมออกเดินทางกันทันที
การจราจรบนท้องถนนในเวลานี้ หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่เจ้าอาร์มว่าไว้เป็นไหน ๆ ไม่รู้ว่าเพราะมีอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า มันถึงได้ติดหนักขนาดนี้ นี่ตั้งแต่โผล่หัวรถพ้นออกจากประตูร้านมา กว่าจะเคลื่อนตัวมาจนถึงแถวหน้าสุดตรงสี่แยกแรกได้ ก็ติดไฟแดงปาเข้าไปห้ารอบแล้ว
“ก้อยใจเย็น ๆ อย่างไรก็ทันอยู่แล้ว อาร์มรับรอง เอ้า...ฟังเพลงหน่อย จะได้ผ่อนคลายสบายอารมณ์ขึ้น...นะ”
อาร์มพูดเมื่อเห็นฉันเหลือบมองเวลาอยู่บ่อย ๆ เลื่อนมือมาหมุนปุ่มที่คอนโซลรถด้านหน้า แล้วเสียงบรรเลงจากเครื่องเสียงก็แผ่วพลิ้วล่องลอย ขับกล่อมผู้ฟังอย่างฉันให้ได้เคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นได้จริง
ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญหรือเขารู้ว่าฉันชอบ เขาจึงเปิดเพลงบรรเลงแบบนี้ให้ฉันฟัง อันที่จริง...ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เขารู้ว่าฉันชอบไปไหน อยากกินอะไร โปรดปรานกาแฟรสไหน เรียกว่ารู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่บางทีฉันก็ยังไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
จะว่าเขาเป็นคนช่างสังเกต หรือว่ารู้ใจฉันก็คงไม่ผิด นี่ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ฉันแอบนึกนิยมชมชอบเขาอยู่ในใจเหมือนกัน
ขณะอยู่ในอารมณ์ซาบซึ้ง จมความรู้สึกอยู่กับภวังค์แห่งเสียงเพลง จู่ ๆ รถก็เกิดกระชากออกตัวอย่างรวดเร็ว เสียจนความรู้สึกของฉันวิ่งตามไปไม่ทัน มองไปเบื้องหน้าก็เห็นว่าสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวเรียบร้อยแล้ว
“เอาละ...พร้อมนะ จัดไป”
ทางข้างหน้าโล่งโจ้งเป็นช่วงสั้น ๆ แต่มันก็ยาวพอให้เจ้าอาร์มระเบิดอารมณ์ และทำความเร็วขึ้นไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ รถทะยานนำลิ่วออกจากกลุ่มที่เพิ่งติดไฟแดงมาด้วยกันมาหมาด ๆ ก่อนที่ไม่อึดใจต่อมา รถของพวกเราก็ไปติดแหงก อยู่ที่ไฟแดงถัดไปด้วยกันอีกครั้งอย่าง่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้ทำให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้นเลยสักนิด
“แยกมันสั้น ไฟแดงก็ถี่ขนาดนี้ แล้วแกจะขับเร็วเบอร์นี้ทำไมเนี่ย” ฉันพูดออกไปอย่างที่คิด
“รู้อะไรไหม ก้อย ตามสถิติบนท้องถนนอะนะ รถที่ขับช้ามักเกิดอุบัติเหตุบ่อยกว่ารถที่ขับเร็วเสมอ...รู้ไหมว่าเพราะอะไร”
ฉันส่ายหัวอย่างนึกสีหน้าเหวอของตัวเองออก ไม่รู้ว่าเจ้าอาร์มจะมาไม้ไหน ที่พูดนั่นเรื่องจริงหรือเปล่า แถมมีการยกสถิติมาอ้างถึงอีกแน่ะ
“คนขับรถเร็วอะนะ...รู้ว่าตัวเองขับเร็ว ก็ต้องมีสมาธิให้กับการขับขี่ตลอดเวลา ใจต้องสงบ สายตาต้องคอยจดจ่ออยู่กับสภาพการจราจรบนท้องถนน เพราะฉะนั้นพวกนี้จะระวังและตื่นตัวอยู่เสมอ อุบัติเหตุก็เลยไม่ค่อยเกิดน่ะ”
ตอนอธิบาย ฉันลอบมองหน้าแล้ว เหมือนเจ้าอาร์มจะมีสีหน้าออกจะภูมิใจนิด ๆ อย่างไรก็ไม่รู้นะ
“ส่วนพวกคนขับช้า ๆ น่ะนะ ไม่ต้องมีสมาธิมาก ไม่ต้องจดจ่อมากไง บางทีก็เลยเหม่อบ้าง สติหลุดบ้าง เป็นพวกไม่โฟกัสไง มันก็เลยเกิดอุบัติเหตุเข้าน่ะสิ”
“จริงปะเนี่ย” นึกฉงนจนต้องเอ่ยปากถามตรง ๆ
“นี่...นี่ใคร นี่อาร์มครับ แล้วอาร์มเคยพูดโกหกหรือครับ มีบทความ มีสถิตินะครับ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวถ้าวันไหนว่าง ๆ ฉันจะหาบทความนั้นแล้วส่งไปให้แกอ่าน”
“เออ ๆ” ตอบรับไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ฉันเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่ออยู่ดี ฟัง ๆ ก็เหมือนจะเข้าท่า แต่คิดอีกทีก็เหมือนเหตุผลของคนบ้าอยู่เหมือนกัน
ขณะนั้นสัญญาณไฟแดงตรงหน้า ก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียวอีกครั้ง
“เห้ย ไฟเขียวแล้วโว้ย ไอ้คันหน้ามันทำอะไรอยู่วะ ยัง ๆ ยังไม่รีบไปอีก จะรอให้แดงอีกรอบรึไงวะเห้ย”
ตวาดแว้ดขึ้นมาพร้อมกับไฟเขียว ไม่พูดเปล่า มันกดแตรถี่ ๆ เพื่อเร่งเร้าไล่ให้คันหน้าออกไปตัวเร็ว ๆ อีกต่างหาก
“อาร์ม แกใจเย็น ๆ ดิวะ มันเพิ่งไฟเขียวเอง รถมันก็ต้องค่อย ๆ ออกตัวไหม” ฉันพยายามอ้างเหตุผลเพื่อให้มันสงบใจลง
“คือเข้าใจไงว่ารถกำลังออกตัว แต่ฉันว่ามันช้าเกินไปไง มันควรจะเร็วกว่านี้ได้ปะ...ถูกไหม”
ไม่ทันจบประโยคดี เจ้าอาร์มก็หักหัวรถทิ่มเปลี่ยนไปเลยขวาสุด แล้วก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วปานจรวด จากนั้นก็หักหัวรถกลับเข้าซ้ายอีกหน อย่างว่องไวชำนาญ เพื่อตบกลับมาตัดหน้ารถคนเดิม ที่เคยแล่นอยู่ด้านหน้าในเลนเดิม
มโนภาพรถคันนั้นที่โดนตัดหน้า จนต้องเหยียบเบรคกะทันหันจนตัวโก่ง ลอยให้เห็นอยู่ตรงหน้า เสียงบ่นด่าสาดเสียเทเสียแว่วจากที่ไหนก็ไม่รู้ ดังเข้ามาให้ได้ยินกันเลยทีเดียว
เหล่มองไปทางหน้าเจ้าอาร์ม ดูมันออกจะสะใจอยู่ไม่น้อยที่ได้ทำอย่างนั้น “จู่ ๆ แกจะเลี้ยวแบบนั้นไม่ได้สิ ไฟเลี้ยวอะ มีไหม มีก็เปิดด้วย แล้วพอเปิดแล้ว ก็รอดูด้วยว่าคันหลังเขาจะให้ทางเราหรือเปล่า”
“ก้อย แกไม่มีรถ ไม่รู้อะไรหรอก นี่ฉันจะบอกอะไรให้ เผื่อวันไหนแกซื้อรถขับ จะได้จำแล้วนำเอาไปปฏิบัติในอนาคต”
อีกแล้ว...ฉันล่ะหมั่นไส้ไอ้ท่าทางพูด แบบทำสีหน้าท่าทางทรงภูมิปัญญาของมันเสียเหลือเกิน
“ไฟเลี้ยวก็เหมือนสัญญาณปล่อยตัวนั่นแหละ ถ้าเปิดเมื่อไหร่ไอ้คันหลังมันจะเร็วขึ้นทันทีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่มีวันได้เลี้ยวหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าแกจะเปลี่ยนเลนในระยะกระชั้นชิด แกต้องคิดไวทำไว นึกปุ๊บเลี้ยวปั๊บ อย่าเปิดไฟเลี้ยวให้คันหลังรู้ตัวเด็ดขาด เข้าใจไหม”
รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวของฉันเอง คงกำลังทำสีหน้าพึลึก ๆ แปลก ๆ ออกมาอยู่เป็นแน่ นี่มันทฤษฎีบ้าบออะไรของมันเนี่ย
แล้วหลังจากนั้น บทเพลงบรรเลงนุ่มนวลจากเครื่องเสียงรถยนต์ ก็หมดความจำเป็นไปโดยปริยาย ก็ในเมื่อมีเสียงบ่นด่าจากเจ้าเพื่อนเก่าแก่คนนี้อยู่เป็นเพื่อน ดังให้ได้ยินไปตลอดทางอยู่แล้วอย่าง่นี้
“จะกลับรถแล้วขับเลนซ้ายทำไมวะ จะมาแทรกแบบนี้ก็เสียใจด้วยนะพวก ไม่ให้เข้าหรอกโว้ย ไปกลับแยกหน้าเสียเถอะ ไอ้บ้า”
“ปาดหน้ามันซะ อยากช้าดีนัก ขับเป็นเต่าขนาดนี้ ทำไมไม่ชิดซ้ายไปล่ะโว้ย”
“เข้าเลนนี้ดีกว่า เดี๋ยวค่อยไปเบียดเอาตรงคอสะพานนั่นเลย”
อ้าว...ไอ้นี่ จะเบียดมาทำไมวะ ขับมาให้ถูกเลนสิโว้ย”
“โธ่เอ้ย ไอ้พวกแล้งน้ำใจ ขอแทรกหน่อยทำเป็นไม่ให้ ขับรถนี่ ไม่มีน้ำใจกันเลยหรือไงวะ”
แล้วเจ้าอาร์มก็ขับปาดไปปาดมาอย่างไม่มีทีท่าเกรงกลัวอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเลยสักนิด นี่ถ้าสัญญาณไฟเลี้ยวหรือกฎจราจรมันพูดได้ มันคงได้บ่นว่าตัวเองคงต้องตกงานเป็นแน่
ห้องโดยสารที่แต่เดิม มีแค่ฉันกับเจ้าอาร์มเพียงสองคน ขณะนี้กลับอัดแน่นขนัดไปด้วยเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมทางสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เพื่อนหนุ่มผู้แสนดีปล่อยออกมาจากปากจนเต็มรถไปหมด
“ไอ้พวกไม่มีมารยาท ไอ้ไม่มีน้ำใจ ไอ้พวกขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ไอ้...ไอ้...ไอ้...ไอ้ควายหลุดถนนเอ๊ย”
พอเจ้าตัวที่ใหญ่ที่สุด หลุดออกมาจากปากได้สำเร็จ ใจของฉันที่เคยหวาดหวั่นกับลีลาการขับของเจ้าอาร์ม ก็กลับพลับสงบลงได้อย่างน่าประหลาด จนสามารถส่งยิ้มแสนหวานกลับไปให้ใบหน้าที่กำลังเกรี้ยวกราดของเพื่อนซี้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
พวกไม่เปิดไฟเลี้ยว พวกขับปาดหน้า พวกชอบขับเบียดขับแทรก พวกไม่รักษากฎจราจร พวกความอดทนต่ำร่างกายพร้อมปะทะ
วันนี้ฉันได้เห็นควายอยู่เต็มท้องถนนไปหมด โดยเฉพาะเจ้าตัวที่ใหญ่ที่สุดที่หลุดถนนลงมาอยู่ข้าง ๆ ฉันนี่เอง
คล้ายคนปลงตกหรือหลุดพ้น หมดคำพูดใด ๆ จะร้องเตือนเพื่อนซี้ผู้แสนดี สิ่งที่ทำได้จึงเหลือเพียงแค่บอกกับตัวเองย้ำ ๆ ว่า นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายแล้ว ที่ฉันจะมากับแก เจ้าอาร์ม เพราะขืนถ้ายังมีครั้งต่อไป ไม่วายว่าฉันคงต้องซี้แหงแก๋ ก่อนถึงจุดหมายปลายทางไปจริง ๆ แน่นอน
จบ
ควายหลุดถนน
“มาแล้ว มาแล้ว ก้อย”
ได้ยินชื่อตัวเองจากเสียงที่คุ้นเคย ฉันจึงละสายตาออกจากจอสมาร์ตโฟนในมือ หันมองไปก็เห็นเพื่อนหนุ่มคนที่คิดไว้ ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหา’ ลัย จ้ำอ้าวก้าวพรวดเข้าประตูร้านมา
“ถ้าจะมาตอนนี้เนี่ย ก็เปลี่ยนเป็นนัดพรุ่งนี้แทนเลยดีไหม เจ้าอาร์ม” ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพร้อมช้อนสายตา ส่งความเย็นเยือกสุดขั้วหัวใจไปให้ เพื่อเสริมคำพูดของตัวเอง
“แกอย่าเพิ่งบ่นได้ไหม เจ้าก้อย ถึงฉันมาช้า แต่ก็ยังไม่ได้สายนะ รีบมาแทบตายแล้วเนี่ย รถก็ติดนรกแตก แถมขับมาก็เจอแต่อะไรไม่รู้ ทำหงุดหงิดอารมณ์เสียชะมัดเลย...เออ เอาน้ำมากินหน่อยซิ”
เจ้าอาร์มที่ร่ายยาวดึงเก้าอี้ออก จนขาของมันลากดังเอี๊ยดไปกับพื้น แล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างคนหมดแรงจริง ๆ มือคว้าแก้วน้ำอัดลมของฉัน ที่เหลือเครื่องดื่มอยู่ครึ่งหนึ่งไปดื่มอั้ก ๆ อย่างกระหาย ไม่รอให้ฉันปฏิเสธหรือตอบรับเลยสักวินาทีเดียว
“เอ่อ...ค่อย ๆ กินก็แล้วกัน ระวังจะสำลักนะเพื่อน” ทำเอาเจ้าของอย่างฉันทันแค่พอจะส่งยิ้ม และส่งคำเตือนไปให้ด้วยความหวังดีเท่านั้น
“ขอบใจว่ะก้อย สมแล้วที่เรารู้จักกันมานาน ฉันชอบแกที่แกไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมากนี่แหละ”
มันพูดพลางเติมน้ำอัดลมที่เหลืออยู่ในขวดลงแก้วน้ำจนหมด แล้วก็บรรจงส่งเข้าปากให้ไหลตรงลงไปสู่กระเพาะอาหารอีกรอบ ก่อนที่จะกระแทกก้นแก้วลงทำสีหน้าซาบซ่ายามเมื่อน้ำในนั้นหายวับไปไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“โอเค หายหิวน้ำแล้ว ไปกันเลยไหม เดี๋ยวจะไม่ทันพวกไอ้โอ๊ต ไอ้หญิงมัน”
อันที่จริงพวกเรานัดเจอกันหลายคนแหละ แต่โอ๊ตกับหญิงที่ฉันอ้างอิงชื่อ ถือเป็นบุคคลตัวแทนของเพื่อนฝ่ายชาย และเพื่อนฝ่ายหญิง จะได้ช่วยประหยัดเวลา และไล่ชื่อกันจนครบให้ต้องเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น
“ไปเลยก็ดี รถติดมากด้วย ฉันก็เลยมารับแกสายอย่างที่เห็นนี่แหละ”
พูดแล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาใหม่ เทน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในนั้นลงจนเต็มปาก เคี้ยวเสียงกร้วมฟังน่าอร่อยพิกล ใครผ่านไปผ่านมาได้ยินเจ้าอาร์มพูดแบบนั้นแล้ว คนไม่รู้ก็คงจะคิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนสายฮาร์ดคอร์กัน
แต่อันที่จริง เพราะบ้านของฉันเป็นทางผ่านนั่นละ เขาก็เลยอาสาแวะมารับ...ก็แค่นั้นเอง
“เออ ว่าแต่แกอารมณ์เสีย หงุดหงิดอะไรมาหรือ” พอดีว่าฉันนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจอยากจะให้ถาม ก็เลยถามไปอย่างนั้นเผื่อว่าจะอยากเล่า
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เรื่องมารยาทบนท้องถนนนั่นแหละ คนสมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ ขับรถกันไม่มีมารยาท ไม่รู้กฎจราจร ไม่มีน้ำใจให้เพื่อนร่วมทางกันบ้างเลย วุ้ย พูดแล้วก็ของขึ้น อะไรก็ไม่รู้ วุ่นวายจนหงุดหงิด”
ฟังแล้วก็เข้าใจอยู่ เพราะภาพบนท้องถนนที่ฉันจินตนาการขึ้นมาในหัวตอนนี้ ก็เป็นอย่างที่มันว่าไว้จริง ๆ นั่นละ
“พอ ๆ พอละ ไม่บ่นต่อดีกว่า ไม่อยากเสียอารมณ์ เดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี ไป ไปกันก้อย”
พอเจ้าอาร์มตัดบท พวกเราก็พร้อมออกเดินทางกันทันที
การจราจรบนท้องถนนในเวลานี้ หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่เจ้าอาร์มว่าไว้เป็นไหน ๆ ไม่รู้ว่าเพราะมีอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า มันถึงได้ติดหนักขนาดนี้ นี่ตั้งแต่โผล่หัวรถพ้นออกจากประตูร้านมา กว่าจะเคลื่อนตัวมาจนถึงแถวหน้าสุดตรงสี่แยกแรกได้ ก็ติดไฟแดงปาเข้าไปห้ารอบแล้ว
“ก้อยใจเย็น ๆ อย่างไรก็ทันอยู่แล้ว อาร์มรับรอง เอ้า...ฟังเพลงหน่อย จะได้ผ่อนคลายสบายอารมณ์ขึ้น...นะ”
อาร์มพูดเมื่อเห็นฉันเหลือบมองเวลาอยู่บ่อย ๆ เลื่อนมือมาหมุนปุ่มที่คอนโซลรถด้านหน้า แล้วเสียงบรรเลงจากเครื่องเสียงก็แผ่วพลิ้วล่องลอย ขับกล่อมผู้ฟังอย่างฉันให้ได้เคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นได้จริง
ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญหรือเขารู้ว่าฉันชอบ เขาจึงเปิดเพลงบรรเลงแบบนี้ให้ฉันฟัง อันที่จริง...ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เขารู้ว่าฉันชอบไปไหน อยากกินอะไร โปรดปรานกาแฟรสไหน เรียกว่ารู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่บางทีฉันก็ยังไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
จะว่าเขาเป็นคนช่างสังเกต หรือว่ารู้ใจฉันก็คงไม่ผิด นี่ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ฉันแอบนึกนิยมชมชอบเขาอยู่ในใจเหมือนกัน
ขณะอยู่ในอารมณ์ซาบซึ้ง จมความรู้สึกอยู่กับภวังค์แห่งเสียงเพลง จู่ ๆ รถก็เกิดกระชากออกตัวอย่างรวดเร็ว เสียจนความรู้สึกของฉันวิ่งตามไปไม่ทัน มองไปเบื้องหน้าก็เห็นว่าสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวเรียบร้อยแล้ว
“เอาละ...พร้อมนะ จัดไป”
ทางข้างหน้าโล่งโจ้งเป็นช่วงสั้น ๆ แต่มันก็ยาวพอให้เจ้าอาร์มระเบิดอารมณ์ และทำความเร็วขึ้นไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ รถทะยานนำลิ่วออกจากกลุ่มที่เพิ่งติดไฟแดงมาด้วยกันมาหมาด ๆ ก่อนที่ไม่อึดใจต่อมา รถของพวกเราก็ไปติดแหงก อยู่ที่ไฟแดงถัดไปด้วยกันอีกครั้งอย่าง่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้ทำให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้นเลยสักนิด
“แยกมันสั้น ไฟแดงก็ถี่ขนาดนี้ แล้วแกจะขับเร็วเบอร์นี้ทำไมเนี่ย” ฉันพูดออกไปอย่างที่คิด
“รู้อะไรไหม ก้อย ตามสถิติบนท้องถนนอะนะ รถที่ขับช้ามักเกิดอุบัติเหตุบ่อยกว่ารถที่ขับเร็วเสมอ...รู้ไหมว่าเพราะอะไร”
ฉันส่ายหัวอย่างนึกสีหน้าเหวอของตัวเองออก ไม่รู้ว่าเจ้าอาร์มจะมาไม้ไหน ที่พูดนั่นเรื่องจริงหรือเปล่า แถมมีการยกสถิติมาอ้างถึงอีกแน่ะ
“คนขับรถเร็วอะนะ...รู้ว่าตัวเองขับเร็ว ก็ต้องมีสมาธิให้กับการขับขี่ตลอดเวลา ใจต้องสงบ สายตาต้องคอยจดจ่ออยู่กับสภาพการจราจรบนท้องถนน เพราะฉะนั้นพวกนี้จะระวังและตื่นตัวอยู่เสมอ อุบัติเหตุก็เลยไม่ค่อยเกิดน่ะ”
ตอนอธิบาย ฉันลอบมองหน้าแล้ว เหมือนเจ้าอาร์มจะมีสีหน้าออกจะภูมิใจนิด ๆ อย่างไรก็ไม่รู้นะ
“ส่วนพวกคนขับช้า ๆ น่ะนะ ไม่ต้องมีสมาธิมาก ไม่ต้องจดจ่อมากไง บางทีก็เลยเหม่อบ้าง สติหลุดบ้าง เป็นพวกไม่โฟกัสไง มันก็เลยเกิดอุบัติเหตุเข้าน่ะสิ”
“จริงปะเนี่ย” นึกฉงนจนต้องเอ่ยปากถามตรง ๆ
“นี่...นี่ใคร นี่อาร์มครับ แล้วอาร์มเคยพูดโกหกหรือครับ มีบทความ มีสถิตินะครับ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวถ้าวันไหนว่าง ๆ ฉันจะหาบทความนั้นแล้วส่งไปให้แกอ่าน”
“เออ ๆ” ตอบรับไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ฉันเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่ออยู่ดี ฟัง ๆ ก็เหมือนจะเข้าท่า แต่คิดอีกทีก็เหมือนเหตุผลของคนบ้าอยู่เหมือนกัน
ขณะนั้นสัญญาณไฟแดงตรงหน้า ก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียวอีกครั้ง
“เห้ย ไฟเขียวแล้วโว้ย ไอ้คันหน้ามันทำอะไรอยู่วะ ยัง ๆ ยังไม่รีบไปอีก จะรอให้แดงอีกรอบรึไงวะเห้ย”
ตวาดแว้ดขึ้นมาพร้อมกับไฟเขียว ไม่พูดเปล่า มันกดแตรถี่ ๆ เพื่อเร่งเร้าไล่ให้คันหน้าออกไปตัวเร็ว ๆ อีกต่างหาก
“อาร์ม แกใจเย็น ๆ ดิวะ มันเพิ่งไฟเขียวเอง รถมันก็ต้องค่อย ๆ ออกตัวไหม” ฉันพยายามอ้างเหตุผลเพื่อให้มันสงบใจลง
“คือเข้าใจไงว่ารถกำลังออกตัว แต่ฉันว่ามันช้าเกินไปไง มันควรจะเร็วกว่านี้ได้ปะ...ถูกไหม”
ไม่ทันจบประโยคดี เจ้าอาร์มก็หักหัวรถทิ่มเปลี่ยนไปเลยขวาสุด แล้วก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วปานจรวด จากนั้นก็หักหัวรถกลับเข้าซ้ายอีกหน อย่างว่องไวชำนาญ เพื่อตบกลับมาตัดหน้ารถคนเดิม ที่เคยแล่นอยู่ด้านหน้าในเลนเดิม
มโนภาพรถคันนั้นที่โดนตัดหน้า จนต้องเหยียบเบรคกะทันหันจนตัวโก่ง ลอยให้เห็นอยู่ตรงหน้า เสียงบ่นด่าสาดเสียเทเสียแว่วจากที่ไหนก็ไม่รู้ ดังเข้ามาให้ได้ยินกันเลยทีเดียว
เหล่มองไปทางหน้าเจ้าอาร์ม ดูมันออกจะสะใจอยู่ไม่น้อยที่ได้ทำอย่างนั้น “จู่ ๆ แกจะเลี้ยวแบบนั้นไม่ได้สิ ไฟเลี้ยวอะ มีไหม มีก็เปิดด้วย แล้วพอเปิดแล้ว ก็รอดูด้วยว่าคันหลังเขาจะให้ทางเราหรือเปล่า”
“ก้อย แกไม่มีรถ ไม่รู้อะไรหรอก นี่ฉันจะบอกอะไรให้ เผื่อวันไหนแกซื้อรถขับ จะได้จำแล้วนำเอาไปปฏิบัติในอนาคต”
อีกแล้ว...ฉันล่ะหมั่นไส้ไอ้ท่าทางพูด แบบทำสีหน้าท่าทางทรงภูมิปัญญาของมันเสียเหลือเกิน
“ไฟเลี้ยวก็เหมือนสัญญาณปล่อยตัวนั่นแหละ ถ้าเปิดเมื่อไหร่ไอ้คันหลังมันจะเร็วขึ้นทันทีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่มีวันได้เลี้ยวหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าแกจะเปลี่ยนเลนในระยะกระชั้นชิด แกต้องคิดไวทำไว นึกปุ๊บเลี้ยวปั๊บ อย่าเปิดไฟเลี้ยวให้คันหลังรู้ตัวเด็ดขาด เข้าใจไหม”
รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวของฉันเอง คงกำลังทำสีหน้าพึลึก ๆ แปลก ๆ ออกมาอยู่เป็นแน่ นี่มันทฤษฎีบ้าบออะไรของมันเนี่ย
แล้วหลังจากนั้น บทเพลงบรรเลงนุ่มนวลจากเครื่องเสียงรถยนต์ ก็หมดความจำเป็นไปโดยปริยาย ก็ในเมื่อมีเสียงบ่นด่าจากเจ้าเพื่อนเก่าแก่คนนี้อยู่เป็นเพื่อน ดังให้ได้ยินไปตลอดทางอยู่แล้วอย่าง่นี้
“จะกลับรถแล้วขับเลนซ้ายทำไมวะ จะมาแทรกแบบนี้ก็เสียใจด้วยนะพวก ไม่ให้เข้าหรอกโว้ย ไปกลับแยกหน้าเสียเถอะ ไอ้บ้า”
“ปาดหน้ามันซะ อยากช้าดีนัก ขับเป็นเต่าขนาดนี้ ทำไมไม่ชิดซ้ายไปล่ะโว้ย”
“เข้าเลนนี้ดีกว่า เดี๋ยวค่อยไปเบียดเอาตรงคอสะพานนั่นเลย”
อ้าว...ไอ้นี่ จะเบียดมาทำไมวะ ขับมาให้ถูกเลนสิโว้ย”
“โธ่เอ้ย ไอ้พวกแล้งน้ำใจ ขอแทรกหน่อยทำเป็นไม่ให้ ขับรถนี่ ไม่มีน้ำใจกันเลยหรือไงวะ”
แล้วเจ้าอาร์มก็ขับปาดไปปาดมาอย่างไม่มีทีท่าเกรงกลัวอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเลยสักนิด นี่ถ้าสัญญาณไฟเลี้ยวหรือกฎจราจรมันพูดได้ มันคงได้บ่นว่าตัวเองคงต้องตกงานเป็นแน่
ห้องโดยสารที่แต่เดิม มีแค่ฉันกับเจ้าอาร์มเพียงสองคน ขณะนี้กลับอัดแน่นขนัดไปด้วยเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมทางสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เพื่อนหนุ่มผู้แสนดีปล่อยออกมาจากปากจนเต็มรถไปหมด
“ไอ้พวกไม่มีมารยาท ไอ้ไม่มีน้ำใจ ไอ้พวกขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ไอ้...ไอ้...ไอ้...ไอ้ควายหลุดถนนเอ๊ย”
พอเจ้าตัวที่ใหญ่ที่สุด หลุดออกมาจากปากได้สำเร็จ ใจของฉันที่เคยหวาดหวั่นกับลีลาการขับของเจ้าอาร์ม ก็กลับพลับสงบลงได้อย่างน่าประหลาด จนสามารถส่งยิ้มแสนหวานกลับไปให้ใบหน้าที่กำลังเกรี้ยวกราดของเพื่อนซี้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
พวกไม่เปิดไฟเลี้ยว พวกขับปาดหน้า พวกชอบขับเบียดขับแทรก พวกไม่รักษากฎจราจร พวกความอดทนต่ำร่างกายพร้อมปะทะ
วันนี้ฉันได้เห็นควายอยู่เต็มท้องถนนไปหมด โดยเฉพาะเจ้าตัวที่ใหญ่ที่สุดที่หลุดถนนลงมาอยู่ข้าง ๆ ฉันนี่เอง
คล้ายคนปลงตกหรือหลุดพ้น หมดคำพูดใด ๆ จะร้องเตือนเพื่อนซี้ผู้แสนดี สิ่งที่ทำได้จึงเหลือเพียงแค่บอกกับตัวเองย้ำ ๆ ว่า นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายแล้ว ที่ฉันจะมากับแก เจ้าอาร์ม เพราะขืนถ้ายังมีครั้งต่อไป ไม่วายว่าฉันคงต้องซี้แหงแก๋ ก่อนถึงจุดหมายปลายทางไปจริง ๆ แน่นอน
จบ