ก่อนอื่นขออธิบายก่อนนะคะ ที่มาตั้งกระทู้วันนี้ เพราะเราตั้งใจและพยายามมากที่จะเข้าใจในตัวเขา กับคนนี้เราตั้งใจรักเขามากจริง ๆ และเข้าใจว่าทุกความสัมพันธ์มันต้องมีการปรับเพื่ออีกฝ่ายไม่มากก็น้อย จึงอยากทราบความคิดในหลาย ๆ แง่มุม จะได้ไม่คิดไปเอง
เราอายุ 19 นะคะ ปัจจุบันกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 2 แล้วค่ะ เราเรียนอยู่จังหวัดหนึ่ง ส่วนพี่ผช.อายุ 40 แล้วเป็นข้าราชการชำนาญการทำงานอยู่ในตัวจังหวัดอีกจังหวัดหนึ่งไม่ไกลกันมาก ห่างกัน 120 กม. ตัวพี่ผช.เองดูไม่แก่เลยนะคะ เป็นผช.ดูแลตัวเอง เล่นกีฬา ทรงคนเจ้าชู้เลย
ความรักครั้งนี้มันเกินคาดมาก ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เท้าความย้อนไป 4 - 5 ปีที่แล้วครั้งแรกที่เราจำได้ว่าเจอเขา ตอนนั้นเราอายุ 15 ค่ะ พึ่งจบม.3 อบต.แถวบ้านเปิดจัดโครงการให้นร.,นศ.ได้ไปทำงานในช่วงซัมเมอร์ อารมณ์เหมือนฝึกงานอะค่ะ เราเองรู้จักกับรองปลัด(เราจะเรียกว่าแม่รองนะคะ)ที่อบต.สนิทกันเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ก็สมัครไปวันแรกของการปฐมนิเทศเจอพี่แกแล้วรู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ เขาเป็นคนมีเสน่ห์ค่ะ ดูดีมีภูมิฐาน หูตาแพรวพราว หล่อนั่นแหละค่ะ (ตรงนี้เราคิดว่าเขามีความคล้ายพ่อเราด้วยซึ่งพ่อเราเสียตั้งแต่เด็กแล้วก็เลยคิดว่าไม่แปลกที่จะรู้สึกชอบผช.ที่หน้าตาเหมือนพ่อตัวเองตัวเอง) หลังจากนั้นมาเป็นความรู้สึกแอบชอบ ไปทำงานก็มีแอบมอง ไม่เคยคุยกันเลยนะ จนวันนึงเราเจอพี่เขามาซื้อของที่บ้านเราพอดี เราก็อึ้ง พี่เขาทักเราว่า "อยู่ที่นี่เองหรอ" ส่วนเราตอนนั้นวิ่งแจ่นเข้าห้องไปเลย ไปตามถามกับปู่กับย่าทีหลังว่าเขาคือใคร ถามจนปู่บอกว่าเราชอบพี่เขา ตอนนั้นโกรธปู่มากกลบเกลื่อนสุด จึงมารู้ว่าพี่แกทำงานอยู่ที่อบต.เรามา 2 ปีแล้ว และย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเราได้ปีนึงแล้วมาซื้อกับข้าวซื้อของที่บ้านเราตลอด แต่แปลกที่จำกันไม่ได้เลย จากนั้น 2 อาทิตย์มารู่ว่าพี่เขาจะย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่ เด็กน้อยก็เสียใจสิคะ เพ้อ เศร้า 55555555 เราก็แอดเฟสพี่เขาไป เขาก็รับตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เราส่องเขาทุกวัน จนคิดว่ารู้จักเขาในระดับหนึ่งบวกกับเราอยู่ในสังคมเดียวกันกับเขาก็มีคนเล่าให้ฟังบ้างว่าเขาเป็นคนยังไง พอเราได้เห็นไลฟ์สไตล์เขาผ่านเฟสบุ๊คเรายิ่งชอบไปใหญ่ ทั้งนิสัย ความคิด ทัศนคติ รู้สึกว่าเขาชอบอะไรเหมือน ๆ เราดี อย่างเช่น เป็นคนขี้เบื่อเหมือนกัน ชอบเที่ยวเหมือนกัน มุมมองการเป็นข้าราชการที่เขาแสดงให้เราเห็นแล้วเราชอบเรารู้อยากมีชีวิตเหมือนเขา ที่แบบทำงานท้องถิ่นเพราะความชอบชอบในการศึกษาวิถีชีวิต ชอบในการเรียนรู้สังคม ตรงนี้พอเราโตมาเราก็ชอบแบบเขาเลย พอถึงวันที่เขาย้ายเรามีแอบถ่ายรูปไว้ด้วยนะคะเจอกันวันสุดท้ายแล้วมาเขียนเป็นไดอารี่ในแต่ละวัน เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ จาก 1 วัน กลายเป็น 1 เดือน จาก 1 เดือน กลายเป็น 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านไปเราติดตามเขาผ่านเฟสตลอดเลย เขาก็โพสบ้าง ไม่โพสต์บ้างตามประสาคนทำงานแล้ว เราเคยมีความคิดถึงขั้นอยากไปเชียงใหม่เพียงเพระาอยากเจอเขา ฟังดูคลั่งเนาะ จนเข้าปี 3 เรามารู้ว่าเขาย้ายกลับมาทำงานที่ตัวจังหวัด ๆ หนึ่ง ใกล้ ๆ บ้านเรา ส่วนเราก็เรียนมัธยมอยู่ในตัวจังหวัดอยู่แล้ว พอเรารู้ว่าเขาย้ายกลับมาที่นี่เราก็พยายามพาตัวเองให้ไปอยู่ในวงโคจรของเขามากที่สุด แค่ได้เจอหน้าก็ยังดี ก็มีเห็นกันผ่าน ๆ บ้าง 2-3 ครั้ง ครั้งแรกบังเอิญเจอตอนติดไฟแดง ครั้งที่ 2 เมื่อตุลาปี 63 เราไปกินผัดไทยร้านประจำกับเพื่อนใกล้ ๆ ที่ทำงานเขา ใช่ค่ะวันนั้นเจอเขามากินผดไทยโต๊ะข้าง ๆ กับผญ.คนนึง ครั้งที่ 3 ตอนเราไปติดต่อขอฝึกงานที่สำนักงานเขา เราสวัสดีเขาค่ะ แต่ไม่ได้ฝึกที่สนง.นั้นนะคะ ฝึกอีกสนง.คนละชั้น (หลักสูตรมอเราให้ออกฝึกงาน 1 เดือนทุกปีการศึกษานะคะ เหมือนสังเกตการสอนของนศ.ครู) ที่เจอแต่ก็ไม่ได้ทักคิดว่าเขาจำเราไม่ได้บวกกับความตั้งใจแรกคือเราอยากเรียนจบสอบให้ติดประสบความสำเร็จก่อนค่อยกลับมาทักทายเขา เล่าให้เขาฟังว่าชีวิตเส้นทางการเป็นข้าราชการของเรามีเขาเป็นไอดอล เพราะเขาเองเขารักในการเป็นข้าราชการมาก ๆ
เรื่องกำลังเริ่มขึ้นจริง ๆ แล้วค่ะ ตลอด 30 วันที่ฝึกงาน เราถามตัวเองทุกวันว่าถ้าเจอเขาจะ ๆ จะทักเขาดีมั้ย ถ้าไม่ทักตอนนี้จะมีโอกาสทักอีกมั้ย จนสุดท้ายสนง.ใหญ่เขามีบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ประจำเดือนทุกภาคส่วนต้องไปรวมตัวกันบริเวณลานข้างหน้า เราเจอเขาเดินไป โหหห เท่สุดๆๆ ยิ่งคิดไม่ตกเลยทีนี้ ว้าวุ่นใจอยู่พักใหญ่55555 สุดท้ายเลยปรึกตัวออกมาไปทักพี่แกคนเดียว เราเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องปู่กับย่าเรา เขาบอกเขาจำเราได้ หลังจากนั้นเขาก็ชวนเราไปกินข้าว บอกเลี้ยงส่งน้องฝึกงานเสร็จ วันต่อมาได้ไปกินข้าวกัน ตลอด 3 ชั่วโมงที่นั่งคุยกันมีแต่คำว่าพี่ก็เป็นเหมือนกัน หนูก็เป็นเหมือนกัน มันทำให้เรารู้ว่านิสัยหลาย ๆ อย่าง ไลฟ์สไตล์เราเหมือนกันมาก ใจร้อนเหมือนกัน เป็นอัธยาศัยดีเหมือนกัน ขี้เบื่อเหมืนอนกัน ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวเหมือนกัน แต่ข้อนี้มารู้กันทั้งคู่ทีหลังว่า การได้ไปในที่ ๆ หนึ่งกับคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน มันดีกว่าการไปคนเดียว ในวันนั้นเอง เราได้รู้ว่า วันที่เราไปกินผัดไทยและวันที่ไปติดต่อเรื่องฝึกงาน เขาจำเราได้ แต่ไม่พูดออกมาทีเดียวเขาค่อย ๆ หลุดออกมาทีละนิด เข้าใจว่าดูเชิงเรา จากนั้นมาเขาก็เริ่มพูดหยอดเราเรื่อย ๆ เราพยายามไม่คิดอะไรเพราะคิดว่าเขาเป็นคนชอบพูดเล่นพูดแซวอยู่แล้ว ยกตัวอย่างนะคะ กล้าบอกแม่รองมั้ยว่ามากินข้าวกับพี่ รอบหน้ามาฝึกงานกับพี่นะ พี่จะรอ ไว้ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันนะพี่จะพาไปเอง มันก็เหมือนจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ นะ จนกระทั่งวันที่ไปเที่ยวกันเขาเล่าให้เราฟังว่าเขาเคยคบกับคนที่อายุห่างกัน 13 ปี เหมือนบอกให้เรารู้นัย ๆ วว่าเขาไม่มีปัญหาเรื่องอายุ เราก็บอกไปว่าที่เรายังไม่มีแฟนเหมือนเรารอเวลา รออะไรสักอย่าง หลังจากวันนั้นมามันก็ชัดเจนแล้วค่ะ เขาบอกชอบเรา บอกคิดถึงเรา
ทีนี้เข้าประเด็นคำถาม โดยนิสัยส่วนตัวเรา เราเป็นคนไม่ค่อยจู้จี้อะไรมากมาย ไม่ค่อยถามว่ากินข้าวรึยัง แล้วก็ไม่ทักใครก่อนด้วย เว้นแต่มีเรื่องให้คุย มีเรื่องอยากเล่า เรากับพี่เขาก็เป็นแบบนั้นมา คุยกันวันละไม่กี่คำถาม ส่วนใหญ่โทรมากกว่า ไม่ก็ไปเจอหน้า เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกถึงความแตกต่างของอายุคือ หรืออาจเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันศุกร์ที่ผ่านมาเขาเดินทางเพื่อไปสอบเลื่อนขั้นชนพ.ที่กทม.วันเสาร์ เราเข้าใจว่าเขาในช่วงอายุนี้เรื่องงานคือเรื่องสำคัญที่สุด เลยไม่ทักหา มีแค่ถามว่าเขาถึงรึยัง รถติดมั้ย เหนื่อยมั้ย แต่ไม่ตอบ วันก่อนหน้านั้นเรารู้ว่าเจาอ่านหนังสือ เราให้เวลาเข้าเต็มที่ไม่ทักไปกวนเลย จนวันเสาร์สอบเสร็จเราส่งแค่สติ๊กเกอร์หา แต่อ่านแล้วไม่ตอบ ไอ่เราก็ว้าวุ่นใจทั้งวันเลยดิ อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง เล่นหายไปเลย วันนี้เลยสตอรี่เขามาดู เราก็เลยทักไปอีกรอบว่าสอบเป็นยังไงบ้าง เขาก็บอกว่าเขาทำได้ดีกว่านี้ เขาเครียด ล้า เหนื่อย เราไม่พูดอะไรมาก นอกจากคำว่า เราเป็นห่วงเขานะ จากข้อความเรารู้ได้เลยว่าเขาตึงมากพอสมควร เลยปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเอง เราน้อยใจที่ว่า ในตอนที่เราอ่อนแอ เขาคอยอยู่ข้าง ๆ คอยปลอบใจ แต่พอถึงตอนที่เขาเองไม่สบายใจ เราเป็นที่พึ่งทางใจให้เขาไม่ได้เลย เขาไม่นึกถึงเราเลย อาจจะเป็นเพราะไม่คิดว่าเราช่วยอะไรได้ นี่แหละค่ะ เราข้องใจมาก อยากรู้ในมุมของคนที่มีหน้าที่ทางการงานที่ใหญ่พอสมควรว่าคิดยังไงบ้าง เพราะนอกจากเรื่องนี้ เรื่องอื่น ๆ ก็ยังรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีอยู่ วันปกติที่คุยกันเราบอกเขาตลอดว่าเราเกรงใจไม่กล้าไปบ่อย เขากฃ็พูดตลอดนะ ว่าอยากให้เราเป็นตัวเอง ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเครียดเวลาอยู่กับเขา ทักมาได้ตลอด ไม่มีคำว่ากวนไรงี้ แต่การกระทำก็นะ ทำให้คนคิดมากอย่างเราคิดไปเองอยู่เรื่อย
// ดีเทลระหว่างทางพัฒนาความสัมพันธ์มีเรื่องบังเอิญเยอะมากเลย ทั้งเรื่องที่พี่ผญ.ที่เราสนิทมากตอนไปฝึกงานแอบชอบพี่เขา เรื่องนี้ทำเราล้มทั้งยืนพอสมควร55555 ไว้จะมาตั้งกระทู้ใหม่เล่านะคะ
ความรักของผู้ชายวัย 40 กับ ผู้หญิงอายุ 19
เราอายุ 19 นะคะ ปัจจุบันกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 2 แล้วค่ะ เราเรียนอยู่จังหวัดหนึ่ง ส่วนพี่ผช.อายุ 40 แล้วเป็นข้าราชการชำนาญการทำงานอยู่ในตัวจังหวัดอีกจังหวัดหนึ่งไม่ไกลกันมาก ห่างกัน 120 กม. ตัวพี่ผช.เองดูไม่แก่เลยนะคะ เป็นผช.ดูแลตัวเอง เล่นกีฬา ทรงคนเจ้าชู้เลย
ความรักครั้งนี้มันเกินคาดมาก ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เท้าความย้อนไป 4 - 5 ปีที่แล้วครั้งแรกที่เราจำได้ว่าเจอเขา ตอนนั้นเราอายุ 15 ค่ะ พึ่งจบม.3 อบต.แถวบ้านเปิดจัดโครงการให้นร.,นศ.ได้ไปทำงานในช่วงซัมเมอร์ อารมณ์เหมือนฝึกงานอะค่ะ เราเองรู้จักกับรองปลัด(เราจะเรียกว่าแม่รองนะคะ)ที่อบต.สนิทกันเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ก็สมัครไปวันแรกของการปฐมนิเทศเจอพี่แกแล้วรู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ เขาเป็นคนมีเสน่ห์ค่ะ ดูดีมีภูมิฐาน หูตาแพรวพราว หล่อนั่นแหละค่ะ (ตรงนี้เราคิดว่าเขามีความคล้ายพ่อเราด้วยซึ่งพ่อเราเสียตั้งแต่เด็กแล้วก็เลยคิดว่าไม่แปลกที่จะรู้สึกชอบผช.ที่หน้าตาเหมือนพ่อตัวเองตัวเอง) หลังจากนั้นมาเป็นความรู้สึกแอบชอบ ไปทำงานก็มีแอบมอง ไม่เคยคุยกันเลยนะ จนวันนึงเราเจอพี่เขามาซื้อของที่บ้านเราพอดี เราก็อึ้ง พี่เขาทักเราว่า "อยู่ที่นี่เองหรอ" ส่วนเราตอนนั้นวิ่งแจ่นเข้าห้องไปเลย ไปตามถามกับปู่กับย่าทีหลังว่าเขาคือใคร ถามจนปู่บอกว่าเราชอบพี่เขา ตอนนั้นโกรธปู่มากกลบเกลื่อนสุด จึงมารู้ว่าพี่แกทำงานอยู่ที่อบต.เรามา 2 ปีแล้ว และย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเราได้ปีนึงแล้วมาซื้อกับข้าวซื้อของที่บ้านเราตลอด แต่แปลกที่จำกันไม่ได้เลย จากนั้น 2 อาทิตย์มารู่ว่าพี่เขาจะย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่ เด็กน้อยก็เสียใจสิคะ เพ้อ เศร้า 55555555 เราก็แอดเฟสพี่เขาไป เขาก็รับตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เราส่องเขาทุกวัน จนคิดว่ารู้จักเขาในระดับหนึ่งบวกกับเราอยู่ในสังคมเดียวกันกับเขาก็มีคนเล่าให้ฟังบ้างว่าเขาเป็นคนยังไง พอเราได้เห็นไลฟ์สไตล์เขาผ่านเฟสบุ๊คเรายิ่งชอบไปใหญ่ ทั้งนิสัย ความคิด ทัศนคติ รู้สึกว่าเขาชอบอะไรเหมือน ๆ เราดี อย่างเช่น เป็นคนขี้เบื่อเหมือนกัน ชอบเที่ยวเหมือนกัน มุมมองการเป็นข้าราชการที่เขาแสดงให้เราเห็นแล้วเราชอบเรารู้อยากมีชีวิตเหมือนเขา ที่แบบทำงานท้องถิ่นเพราะความชอบชอบในการศึกษาวิถีชีวิต ชอบในการเรียนรู้สังคม ตรงนี้พอเราโตมาเราก็ชอบแบบเขาเลย พอถึงวันที่เขาย้ายเรามีแอบถ่ายรูปไว้ด้วยนะคะเจอกันวันสุดท้ายแล้วมาเขียนเป็นไดอารี่ในแต่ละวัน เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ จาก 1 วัน กลายเป็น 1 เดือน จาก 1 เดือน กลายเป็น 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านไปเราติดตามเขาผ่านเฟสตลอดเลย เขาก็โพสบ้าง ไม่โพสต์บ้างตามประสาคนทำงานแล้ว เราเคยมีความคิดถึงขั้นอยากไปเชียงใหม่เพียงเพระาอยากเจอเขา ฟังดูคลั่งเนาะ จนเข้าปี 3 เรามารู้ว่าเขาย้ายกลับมาทำงานที่ตัวจังหวัด ๆ หนึ่ง ใกล้ ๆ บ้านเรา ส่วนเราก็เรียนมัธยมอยู่ในตัวจังหวัดอยู่แล้ว พอเรารู้ว่าเขาย้ายกลับมาที่นี่เราก็พยายามพาตัวเองให้ไปอยู่ในวงโคจรของเขามากที่สุด แค่ได้เจอหน้าก็ยังดี ก็มีเห็นกันผ่าน ๆ บ้าง 2-3 ครั้ง ครั้งแรกบังเอิญเจอตอนติดไฟแดง ครั้งที่ 2 เมื่อตุลาปี 63 เราไปกินผัดไทยร้านประจำกับเพื่อนใกล้ ๆ ที่ทำงานเขา ใช่ค่ะวันนั้นเจอเขามากินผดไทยโต๊ะข้าง ๆ กับผญ.คนนึง ครั้งที่ 3 ตอนเราไปติดต่อขอฝึกงานที่สำนักงานเขา เราสวัสดีเขาค่ะ แต่ไม่ได้ฝึกที่สนง.นั้นนะคะ ฝึกอีกสนง.คนละชั้น (หลักสูตรมอเราให้ออกฝึกงาน 1 เดือนทุกปีการศึกษานะคะ เหมือนสังเกตการสอนของนศ.ครู) ที่เจอแต่ก็ไม่ได้ทักคิดว่าเขาจำเราไม่ได้บวกกับความตั้งใจแรกคือเราอยากเรียนจบสอบให้ติดประสบความสำเร็จก่อนค่อยกลับมาทักทายเขา เล่าให้เขาฟังว่าชีวิตเส้นทางการเป็นข้าราชการของเรามีเขาเป็นไอดอล เพราะเขาเองเขารักในการเป็นข้าราชการมาก ๆ
เรื่องกำลังเริ่มขึ้นจริง ๆ แล้วค่ะ ตลอด 30 วันที่ฝึกงาน เราถามตัวเองทุกวันว่าถ้าเจอเขาจะ ๆ จะทักเขาดีมั้ย ถ้าไม่ทักตอนนี้จะมีโอกาสทักอีกมั้ย จนสุดท้ายสนง.ใหญ่เขามีบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ประจำเดือนทุกภาคส่วนต้องไปรวมตัวกันบริเวณลานข้างหน้า เราเจอเขาเดินไป โหหห เท่สุดๆๆ ยิ่งคิดไม่ตกเลยทีนี้ ว้าวุ่นใจอยู่พักใหญ่55555 สุดท้ายเลยปรึกตัวออกมาไปทักพี่แกคนเดียว เราเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องปู่กับย่าเรา เขาบอกเขาจำเราได้ หลังจากนั้นเขาก็ชวนเราไปกินข้าว บอกเลี้ยงส่งน้องฝึกงานเสร็จ วันต่อมาได้ไปกินข้าวกัน ตลอด 3 ชั่วโมงที่นั่งคุยกันมีแต่คำว่าพี่ก็เป็นเหมือนกัน หนูก็เป็นเหมือนกัน มันทำให้เรารู้ว่านิสัยหลาย ๆ อย่าง ไลฟ์สไตล์เราเหมือนกันมาก ใจร้อนเหมือนกัน เป็นอัธยาศัยดีเหมือนกัน ขี้เบื่อเหมืนอนกัน ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวเหมือนกัน แต่ข้อนี้มารู้กันทั้งคู่ทีหลังว่า การได้ไปในที่ ๆ หนึ่งกับคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน มันดีกว่าการไปคนเดียว ในวันนั้นเอง เราได้รู้ว่า วันที่เราไปกินผัดไทยและวันที่ไปติดต่อเรื่องฝึกงาน เขาจำเราได้ แต่ไม่พูดออกมาทีเดียวเขาค่อย ๆ หลุดออกมาทีละนิด เข้าใจว่าดูเชิงเรา จากนั้นมาเขาก็เริ่มพูดหยอดเราเรื่อย ๆ เราพยายามไม่คิดอะไรเพราะคิดว่าเขาเป็นคนชอบพูดเล่นพูดแซวอยู่แล้ว ยกตัวอย่างนะคะ กล้าบอกแม่รองมั้ยว่ามากินข้าวกับพี่ รอบหน้ามาฝึกงานกับพี่นะ พี่จะรอ ไว้ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันนะพี่จะพาไปเอง มันก็เหมือนจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ นะ จนกระทั่งวันที่ไปเที่ยวกันเขาเล่าให้เราฟังว่าเขาเคยคบกับคนที่อายุห่างกัน 13 ปี เหมือนบอกให้เรารู้นัย ๆ วว่าเขาไม่มีปัญหาเรื่องอายุ เราก็บอกไปว่าที่เรายังไม่มีแฟนเหมือนเรารอเวลา รออะไรสักอย่าง หลังจากวันนั้นมามันก็ชัดเจนแล้วค่ะ เขาบอกชอบเรา บอกคิดถึงเรา
ทีนี้เข้าประเด็นคำถาม โดยนิสัยส่วนตัวเรา เราเป็นคนไม่ค่อยจู้จี้อะไรมากมาย ไม่ค่อยถามว่ากินข้าวรึยัง แล้วก็ไม่ทักใครก่อนด้วย เว้นแต่มีเรื่องให้คุย มีเรื่องอยากเล่า เรากับพี่เขาก็เป็นแบบนั้นมา คุยกันวันละไม่กี่คำถาม ส่วนใหญ่โทรมากกว่า ไม่ก็ไปเจอหน้า เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกถึงความแตกต่างของอายุคือ หรืออาจเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันศุกร์ที่ผ่านมาเขาเดินทางเพื่อไปสอบเลื่อนขั้นชนพ.ที่กทม.วันเสาร์ เราเข้าใจว่าเขาในช่วงอายุนี้เรื่องงานคือเรื่องสำคัญที่สุด เลยไม่ทักหา มีแค่ถามว่าเขาถึงรึยัง รถติดมั้ย เหนื่อยมั้ย แต่ไม่ตอบ วันก่อนหน้านั้นเรารู้ว่าเจาอ่านหนังสือ เราให้เวลาเข้าเต็มที่ไม่ทักไปกวนเลย จนวันเสาร์สอบเสร็จเราส่งแค่สติ๊กเกอร์หา แต่อ่านแล้วไม่ตอบ ไอ่เราก็ว้าวุ่นใจทั้งวันเลยดิ อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง เล่นหายไปเลย วันนี้เลยสตอรี่เขามาดู เราก็เลยทักไปอีกรอบว่าสอบเป็นยังไงบ้าง เขาก็บอกว่าเขาทำได้ดีกว่านี้ เขาเครียด ล้า เหนื่อย เราไม่พูดอะไรมาก นอกจากคำว่า เราเป็นห่วงเขานะ จากข้อความเรารู้ได้เลยว่าเขาตึงมากพอสมควร เลยปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเอง เราน้อยใจที่ว่า ในตอนที่เราอ่อนแอ เขาคอยอยู่ข้าง ๆ คอยปลอบใจ แต่พอถึงตอนที่เขาเองไม่สบายใจ เราเป็นที่พึ่งทางใจให้เขาไม่ได้เลย เขาไม่นึกถึงเราเลย อาจจะเป็นเพราะไม่คิดว่าเราช่วยอะไรได้ นี่แหละค่ะ เราข้องใจมาก อยากรู้ในมุมของคนที่มีหน้าที่ทางการงานที่ใหญ่พอสมควรว่าคิดยังไงบ้าง เพราะนอกจากเรื่องนี้ เรื่องอื่น ๆ ก็ยังรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีอยู่ วันปกติที่คุยกันเราบอกเขาตลอดว่าเราเกรงใจไม่กล้าไปบ่อย เขากฃ็พูดตลอดนะ ว่าอยากให้เราเป็นตัวเอง ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเครียดเวลาอยู่กับเขา ทักมาได้ตลอด ไม่มีคำว่ากวนไรงี้ แต่การกระทำก็นะ ทำให้คนคิดมากอย่างเราคิดไปเองอยู่เรื่อย
// ดีเทลระหว่างทางพัฒนาความสัมพันธ์มีเรื่องบังเอิญเยอะมากเลย ทั้งเรื่องที่พี่ผญ.ที่เราสนิทมากตอนไปฝึกงานแอบชอบพี่เขา เรื่องนี้ทำเราล้มทั้งยืนพอสมควร55555 ไว้จะมาตั้งกระทู้ใหม่เล่านะคะ