เบื้องหลังความรู้สึกของมือที่สาม (โดยไม่ทันตั้งตัว) 🙂

สวัสดีค่ะ  เราเป็นเด็กผู้หญิงคนนึงที่เติบโตมาด้วยครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่แยกทางกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เราสามารถแยกแยะได้ และไม่ได้ขาดความอบอุ่นเลยแม้แต่นิด เล่าย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 เราพึ่งจบมอ 6 และกำลังจะเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย เราอยากไปอยู่หอมาก อยากเข้ามาอยู่ในเมือง อยากไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา อยากทำงานหาเงินเองโดยไม่ต้องแม่ภาระของแม่ และตอนนั้น เราได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปประกวดดาวเดือน ต้องซ้อมกลับบ้านดึก จึงได้โอกาสขอแม่นอนหอเพื่อน ถึงแม่จะไม่ให้ แต่ด้วยความเป็นคนดื้อ ก็ขออยู่จนได้  พอได้อยู่ในเมืองบ่อยๆ ก็เริ่มอยากที่จะมีหอมีห้องของตัวเอง เลยเริ่มทำงานโดยการเป็นเด็กเสริฟ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านอาหารก็เป็นเจ้าของเดียวกันกับผับดังในตัวเมืองของจังหวัด จึงได้เริ่มมีโอกาสได้ไปเที่ยวผับกับเขาบ้าง ตอนเช้าก็เรียน ตกเย็นมาก็ทำงาน พอเที่ยงคืนเลิกงานก็ไปผับต่อ วนอยู่อย่างนี้ จนมีอยู่วันนึง เราไปเที่ยวผับกับเพื่อน แล้วตอนนั้นผับปิดแล้ว เราก็นั่งกินต่อกับเพื่อนจนกว่าเหล้าจะหมดอ่ะแหละ พอเราจะกลับ โต๊ะข้างๆที่กำลังเล่นพนันไฮโลกันอยู่ ก็มาคว้ามือเราไว้ แล้วบอกว่า “อย่าพึ่งกลับ นั่งด้วยกันก่อน เดี๋ยวพี่จ้าง 500 นั่งนับเงินให้หน่อยแปปนึง “ ด้วยความที่เราเป็นคนทำงานอ่ะ ได้ติปวันนึง 200บ้าง 300 บ้าง แต่นี่นั่งแปปเดียวได้500 เราเลยตัดสินใจนั่ง แต่เราก็ให้เพื่อนนั่งเป็นเพื่อนนะ เราไม่ได้นั่งคนเดียว  พี่ผู้ชายคนนี้ก็ดันน่ารักมาก เรารู้สึกชอบเขาด้วยแหละ เราพึ่งหัดเที่ยวใหม่ๆ เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใใครจน ใครมีนิสัยยังไง หลังจากนั้นก็แลกไลน์คุยกันปกติ ตอนแรกเขาก็บอกว่าเขาโสด เราก็โอเค ไม่ได้คิดอะไร ซึ่งถ้ามองกลับไปตอนนั้น เราถือว่าเราอินโนเซนต์มากๆ และสุดท้าย เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ ตอนนั้น เขาน่ารักมากๆเลยแหละ จนวันนึง เรามีอะไรกัน ละเราตั้งท้อง เราตกใจมากจริงๆ เราไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต  แต่เขาก็มาคุยกับเราว่าจะดูแลเราอย่างดี ด้วยความที่เขาอยากมีลูกด้วยอ่ะแหละ พอมาถึงวันนึง เราได้รู้มาจากเพื่อนเขาว่า เขาแต่งงานแล้ว แล้วยังมีเด็กอีกด้วย  เพื่อนเขาคงหลุดปากแหละ  ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเราช็อคมากๆ ทำอะไรไม่ถูก  เราเป็นคนที่เกลียดการเป็นมือที่สามที่สุดในโลก แต่เราก็ได้มาตกอยู่ในสถานะนี้แบบไม่ทันตั้งตัว นี่คือเราต้องโดนประนามว่าเป็นเมียน้อยเขาจริงๆ  ละพอนานวันเข้า นิสัยสันดาน มันก็เริ่มเผยออกมา ตอนที่ท้อง เราแทบจะเป็นโรคซึมเศร้า เขาออกไปเที่ยวทุกวัน ไปกรุงเทพ ไปติดผู้หญิงเยอะแยะมากมาย เราเคยขับรถไปตามถึงหน้าโรงแรมก็เคยมาแล้ว แต่ได้รับคำตอบกลับมาแค่ว่า “ อย่ามาเป็นบ้าตอนนี้ได้มั้ย ขนาดเมียกุยังไม่เคยมาตามแบบนี้เลย “  คำๆนี้เราจำได้ฝังใจมาตลอด เราคับแค้นใจกับการกระทำของเขาไม่เคยลืม จนพอถึงโค้งสุดท้าย 1 สัปดาห์ใกล้คลอด เขายังเลือกที่จะขึ้นไปกรุงเทพ ไปเที่ยว ทั้งๆที่เราอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง    และแล้วเราก็ปวดท้องจะคลอด  ตอนนั้น เราอยู่บ้านคนเดียว ประมาณตี1กว่า เราก็เริ่มจับเวลาความถี่ในการเจ็บท้อง พอตี4 ก็เริ่มเจ็บถี่เข้าเรื่อยๆ   จนถึงเวลา 8 โมงเช้า เรารู้สึกไม่ไหวแล้ว  เราตัดสินใจขับรถไปที่โรงพยาบาลเพื่อที่จะไปคลอด ของอะไรเราก็ไม่ได้เตรียมให้ลูก เพราะลูกคลอดก่อนกำหนด 1 อาทิตย์  พอไปถึงโรงพยาบาล มดลูกเราเปิดได้ 4 เซ็น ตอนนั้นเราก็รู้สึกอ้างว้างมากๆ คนที่มันเป็นพ่อของลูกก็ไม่คิดจะเหลียวแล แม่ก็ติดงาน ทำงานอยู่  เราก็ได้แต่เข้ามานอนในห้องรอให้มดลูกเปิดกว้างกว่านี้ และวันนั้น เป็นวันที่เราได้เจอพ่อกับแม่ของเขาวันแรก  เขาเข้ามาในห้อง ละแทนที่จะเป็นห่วงเรา เขากลับถามแต่เรื่องว่า เราทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ พ่อแม่ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่  เฮ้อ ถ้าคิดกลับไปตอนนั้น เรารู้สึกแย่มากๆเลยนะ แต่สุดท้ายเราก็ได้เข้าห้องผ่าตัด เพราะว่าเด็กตัวใหญ่มาก วินาทีที่เราเห็นหน้าลูก เราก็ตกหลุมรักเขาเลยทันที ถึงเราจะไม่ได้ตั้งใจให้เขาเกิดมา แต่เราสัญญากับตัวเองเลยว่าเราจะเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด เขาถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตเราเลย พอออกจากห้องผ่าตัด เราก็เข้ามาในห้องพัก ดีหน่อยตรงที่ว่าเราเลือกทำโครงการฝากท้องกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเอกชน เลยมีพี่พยาบาลคอยดูแลช่วย  ใช่ค่ะ เราเลี้ยงเจ้าตัวเล็กคนเดียว ตั้งแต่วันแรกที่คลอด ถึงจะเจ็บแผลปางตายมากแค่ไหน ก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ พอถึงวันกลับบ้าน ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของลูกก็มารับกลับบ้าน เขาเป็นคนมีตังค์ เขาก็ดีตรงที่เขาให้ความสะดวกสบายเรา แต่ความรักความสบายใจนั้นหาไม่ได้เลยกับผู้ชายคนนี้ กลับมาบ้านเราก็ทำทุกอย่างเอง กวาดบ้าน ซักผ้า ล้างขวดนม อาบน้ำให้ลูก บลาๆๆ ย้ำว่าทำคนเดียวจริงๆ เราก็อยู่บ้านกันสองคนแม่ลูก ดีหน่อยที่ช่วงนี้นจะเป็นช่วงโควิดระบาด เราจึงได้เรียนในออนไลน์ เราก็เลี้ยงลูกไปด้วย เรียนไปด้วย วันที่ต้องพรีเซนต์งาน เราอุ้มลูกไปด้วยพรีเซนต์ไปด้วยกินข้าวไปด้วยก็มี 😁 เจ้าตัวเล็กออกมา เขาก็เหมือนมาเป็นรอยยิ้มให้กับเรา  ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะให้ไม่ได้  แต่พอสุดท้าย โควิดจางไป เราจึงต้องไปเรียนในมหาลัย ละยังต้องฝึกงานด้วย เราจึงจำเป็นต้องเอาลูกไปให้พ่อกับแม่เขาเลี้ยง ตั้งแต่ตอนนั้น ลูกก็กลายเป็นว่าได้ไปอยู่กับฝั่งเขาซะมากกว่า พอลูกไป เราก็รู้สึกเหงามาก เราไม่มีทางเลือกอะไรเลย เราอยากนอนกอดลูก เราแทบจะทำไม่ได้ ปัจจุบันเราเรียนจบแล้ว กัว่าจะไปหางานทำที่กรุงเทพ แต่ยังทำใจไม่ได้เลย กับการที่ต้องห่างกับลูก กลัวลูกลืมเราบ้างแหละ กลัวลูกไม่รักเราบ้างแหละ 😔 เราวิดีโอคอลไปหาลูกทีไร เขาก็ไม่อยากรับสาย  เรื่องราวชีวิตที่หลงเดินเข้ามาแบบนี้มันดาร์กมาก หนักเกินกว่าเด็กน้อยผู้หญิงคนนึงจะรับไหว  เรื่องราวมันมีมากกว่านี้ แต่วันนี้ขอระบายกับเพื่อนๆเท่านี้ก่อน เราไม่รู้จะไประบายกับใคร เล่าไปก็กลัวจะมีแต่คนสมน้ำหน้า น้อยคนนักที่จะเข้าใจ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่